Digital Autopsy นวัตกรรมใหม่ในการชันสูตรศพ
เผยเทคโนโลยี Digital Autopsy สร้างนวัตกรรมภาพ 3 มิติ ช่วยให้การชันสูตรพลิกศพรวดเร็วขึ้น ลดระยะเวลาการผ่าพิสูจน์ ช่วยบอกตำแหน่งต้องสงสัยของการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติ พร้อมบอกข้อมูลของผู้ตายได้อย่างแม่นยำ อาทิระบุตัวบุคคล วันที่ สถานที่เกิดเหตุ สาเหตุการตาย ชี้เทคโนโลยีนี้เหมาะกับการชันสูตรศพที่ต้องใช้ระยะเวลาเร่งด่วน เช่น การเกิดภัยธรรมชาติ สึนามิ หรือเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ รวมถึงศพที่ไม่สามารถผ่าได้ เช่น ศพติดเชื้อที่อาจเป็นโรคระบาดรุนแรง และศพชาวมุสลิม ขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้กระบวนการยุติธรรมสามารถคลี่คลายคดีได้ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิต คือ การชันสูตรพลิกศพ ซึ่งจะช่วยให้พิสูจน์สาเหตุของการเสียชีวิตได้อย่างถูกต้อง และจะถูกนำไปเป็นข้อมูลในชั้นศาลเพื่อให้ในการพิจารณาคดีต่อไป นอกจากนี้การชันสูตรพลิกศพยังใช้เพื่อพิสูจน์หาตัวบุคคล ในกรณีที่ไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร ทว่าการชันสูตรพลิกศพด้วยรูปแบบปกติอาจไม่สามารถทำได้ในบางกรณี เช่น ศพเน่าเปื่อย ศพติดเชื้อ ศพที่เกิดจากการก่อการร้าย ซึ่งการผ่าชันสูตรพลิกศพอาจทำให้ระเบิดที่ฝังอยู่ในศพเกิดระเบิดขึ้นมาได้ หรือศพของชาวมุสลิมที่ไม่สามารถผ่าศพได้ เนื่องจากขัดต่อหลักความเชื่อทางศาสนา ด้วยเหตุนี้ จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีการชันสูตรพลิกศพด้วยระบบดิจิตอล หรือ Digital Autopsy ขึ้นมาใช้แทนการชันสูตรพลิกศพแบบดั้งเดิม เพื่อช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว และลดภาระงานของบุคลากรนิติเวช ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการชันสูตรพลิกศพด้วยระบบดิจิตอล สถาบันวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรม สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม จึงได้จัดการบรรยายพิเศษ เรื่อง Digital Autopsy นวัตกรรมใหม่ในการชันสูตรพลิกศพ โดย ดร.ปราโมท จี บากาลี พยาธิแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช จากประเทศมาเลเซีย และมีบุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการชันสูตรพลิกศพเข้าร่วม อาทิ ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ทนายความ พยาธิแพทย์ นักนิติวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2550 ดร.ปราโมท จี บากาลี พยาธิแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช กลุ่มบริษัทอินโฟวาลเล่ย์ เปิดเผยว่า เทคโนโลยีการชันสูตรพลิกศพด้วยระบบดิจิตอล หรือ Digital Autopsy เป็นการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสแกนร่างกายของผู้เสียชีวิต และประมวลผลออกมาเป็นร่างกายแบบ 3 มิติ ซึ่งจะช่วยให้เห็นรายละเอียดของศพได้ครบถ้วน จึงใช้ในการระบุตัวผู้เสียชีวิต วันที่และสถานที่เกิดเหตุ รวมถึงลักษณะหรือสาเหตุของการเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งผลการชันสูตรด้วยระบบดิจิตอลยังสามารถนำมาใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานต่อศาลได้ และข้อมูลในส่วนนี้ยังเป็นสิ่งที่ฝ่ายคู่ความสามารถนำมาเรียกดูได้ ภาพร่างกายจำลองแบบ 3 มิติ (3D Virtual Body) ซึ่งได้จากการถ่ายโดย 16-slices CT scanner จะช่วยให้บุคลากรด้านนิติเวชมองเห็นร่างกายของผู้เสียชีวิตได้ทุกด้าน ตั้งแต่ภาพร่างกายภายนอก กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และโครงกระดูกโดยที่ไม่ต้องผ่าพิสูจน์จริง ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้สามารถทำการวิเคราะห์ร่องรอยและสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติได้ ทั้งนี้ จากสถิติที่ผ่านมาพบว่ากว่า 85% ของศพที่ถูกส่งเข้ามาชันสูตร สามารถวิเคราะห์ร่องรอยของสาเหตุการเสียชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่าศพชันสูตรเลย นอกจากนี้ยังช่วยระบุตำแหน่งในร่างกายในรายที่จำเป็นต้องผ่าพิสูจน์ ซึ่งจะช่วยลดงานของแพทย์ และลดการรบกวนร่างผู้เสียชีวิต ในกรณีที่เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อญาติอันเนื่องมาจากความเชื่อทางศาสนา การนำเทคโนโลยี Digital Autopsy เข้ามาใช้ มิได้เป็นการนำมาแทนที่การชันสูตรแบบดั้งเดิมทั้งหมด แต่เป็นการนำมาใช้เพื่อช่วยให้การชันสูตรพลิกศพในบางกรณีเท่านั้น อาทิ ชันสูตรศพที่เน่าเปื่อย ซึ่งการชันสูตรพลิกศพด้วยวิธีดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ ชันสูตรศพเพื่อระบุตัวบุคคลในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เช่น การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น สึนามิ แผ่นดินไหว การเกิดอุบัติเหตุ เช่น เครื่องบินตก และการเกิดเหตุก่อการร้าย เช่น การวางระเบิด เป็นต้น Digital Autopsy จะใช้เวลาการวิเคราะห์เพียงไม่กี่นาที โดยไม่ต้องอาศัยการชันสูตรพลิกศพ ศพจึงไม่เน่าเปื่อยจนไม่สามารถผ่าชันสูตรได้ ชันสูตรศพที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโรคระบาดร้ายแรงบุคลากรนิติเวชไม่สามารถสัมผัสศพได้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น โรคซาร์ส โรคอีโบล่า และไข้หวัดนก เป็นต้น ดร.ปราโมท กล่าว การใช้ Digital Autopsy ไม่เพียงมีประโยชน์ในแง่การชันสูตรและเป็นข้อมูลในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น หากแต่ยังมีประโยชน์ในแง่การศึกษาของนักศึกษาแพทย์ที่อาจไม่มีโอกาสได้ศึกษาจากศพจริงมากนัก ซึ่ง Digital Autopsy จะช่วยเปิดโอกาสให้นักศึกษาแพทย์ได้เห็นการเสียชีวิตในหลายกรณี ถือเป็นการช่วยเพิ่มความชำนาญให้กับแพทย์ได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การนำ Digital Autopsy มาใช้ในประเทศไทยยังต้องมีการศึกษาด้านเทคนิคต่อไป โดยเฉพาะการนำข้อมูลมาใช้ในกระบวนการยุติธรรม ต้องมีการให้ข้อมูลที่มาที่ไปของข้อมูลจากการวิเคราะห์ด้วยระบบดิจิตอลกับทนายและอัยการเพื่อใช้ในการพิจารณาคดีต่อไป
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 23:58:27 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1318 Pageviews. |
|
|