บั้งไฟลาวกับสาวๆตากลม
 
กุมภาพันธ์ 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
9 กุมภาพันธ์ 2550
 
 
พันสาระน่ารู้ พันเทคนิค พันสารพัดวิธีการเรื่องรถ...5

381. บนแก้มของยางแต่ละเส้นนั้น จะมี ตัวเลข 1 คู่ และตามด้วยตัวอักษร ซึ่งจะบ่งบอกว่า ยางเส้นนั้นๆ รับน้ำหนัก บรรทุกสูงสุด และความเร็วสูงสุดได้แค่ไหน ยกตัวอย่าง เช่น 87V ตัวเลข 2 หลักหมายถึง ดัชนีน้ำหนักบรรทุกของยาง หรือ Load Index มีหน่วย เป็นกิโลกรัม ซึ่งต้องอาศัยตารางในการเปรียบเทียบ ตัว V เป็นสัญลักษณ์ ความเร็ว หรือ Speed Symbol หมายถึง ความเร็วสูงสุดที่ยางเส้นนั้น รับได้ มีหน่วยเป็นกิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ควรใช้ความเร็ว เกินกว่าที่ยางรับได้ และถ้ายางผ่านการใช้งานมานาน ก็ไม่ควรขับถึงหรือใกล้ความเร็วสูงสุดที่ยางเส้นนั้น รับได้ เพราะอาจเกิด อุบัติเหตุยางระเบิดได้


382. เพื่อให้ยางทุกเส้นมีการสึกหรอใกล้เคียง กันที่สุด ใช้ได้จนเกือบหมด โดยควรสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร ถ้ายาง อะไหล่มีขนาดเดียวกับยางหลัก ควรนำมาสลับใช้ด้วย แม้การเปลี่ยนยางพร้อมกัน 5 เส้น จะเสียเงินมากกว่าการเปลี่ยนยาง 4 เส้น แต่ก็จะสามารถใช้ยางทั้ง 5 เส้น ได้เป็นระยะทางมากกว่า และทำการเปลี่ยนยางพร้อมๆ กันทุกเส้น เมื่อระยะ การใช้งานครบ 2 ปี

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:01:06 ]





ความคิดเห็นที่ 108

383.. การหมดอายุของยางรถยนต์ไม่ได้เกิดจากการสึกของดอกยาง เพียงอย่างเดียว เท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นตัวบ่งชี้ว่ายางรถยนต์ของคุณหมดอายุแล้ว อีก เช่น ยางไม่เกาะถนน เนื้อยางแข็ง โครงสร้างกระด้าง เกิดเสียงดังขณะขับขี่ หรือแก้มยางบวม ซึ่งการแก้ปัญหาก็คงจะหนีไม่พ้น การเปลี่ยนยาง และควรเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 4 เส้น เพราะยางผ่านการใช้งาน มาเท่ากัน ย่อมมีการสึกหรอและสภาพภายในที่ใกล้เคียงกัน โดยควรเลือกใช้ ยางรุ่น และขนาดเดียวกันทั้ง 4 ล้อ



384.ดอกยางและร่องบนหน้ายาง มีหน้าที่ ในการรีดน้ำขณะหน้ายางสัมผัสกับถนน ปัจจุบันยางมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำสูงถึง 40 ลิตรต่อนาที ในขณะที่วิ่ง ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความลึกของดอกยางมีผลต่อการรีดน้ำ และการเกาะถนนขณะที่เปียก หากประสิทธิภาพการรีดน้ำต่ำ อาจทำให้เกิดการไถลได้ง่าย ความลึกขั้นต่ำควรจะมีความลึกอย่างน้อย 1.6 มิลลิเมตร และหากดอกยางเหลือต่ำกว่า 2.0 มิลลิเมตร จะขาประสิทธิภาพในการ รีดน้ำ และเกาะถนน

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:01:36 ]





ความคิดเห็นที่ 109

385. ลักษณะการสึกของดอกยาง สึกบริเวณไหล่ยางทั้งสองข้าง เกิดจากการเติมลมอ่อนเกินไป ทำให้ไหล่ยาง ทั้งสองข้างสัมผัสกับถนนโดยตรง

386.ลักษณะการสึกของดอกยาง สึกไหล่ยางข้างใดข้างหนึ่ง เกิดจากศูนย์ล้อไม่ได้มาตรฐาน มุมแคมเบอร์ เป็นบวก หรือลบมากเกินไป


387. ลักษณะการสึกของดอกยางสึกเหมือนเกล็ดปลา เกิดจากากรถ่วงล้อไม่สมดุล ทำให้ยางสั่น และหน้ายาง สัมผัสไม่เท่ากัน

388.ลักษณะการสึกของดอกยาง สึกเฉพาะตรงกลางของยาง เกิดจากเติมลมยางมากเกินไป ทำให้ยางสัมผัส ถนนโดยตรง สึกเป็นลายขนนก เกิดจากศูนย์ล้อไม่ได้มาตรฐาน ทำให้โทอิน หรือโทเอาท์ ผิดปกติ สึกเป็นจ้ำๆรอบเส้น เกิดจากโช็คอัพเสื่อมสภาพ หรือระบบเบรกไม่สมดุล


389. การตั้งศูนย์ล้อ คือ การปรับสภาพของระบบรับน้ำหนัก ให้ได้ค่ากำหนดของโรงงานที่ผลิต หรืออีกนัยก็คือการปรับมุมช่วงล่าง เพื่อให้การขับขี่ และการบังคับพวงมาลัย เป็นไปอย่างถูกต้อง การเปลี่ยนยางใหม่ หรือการปะยางทุกครั้ง ต้องมีการถ่วงล้ออย่าง สมดุล และมีศูนย์ล้อที่เที่ยงตรง



390. การปะยาง . หากยางถูกตะปูตำ จะสามารถซ่อมแซมโดยการปะยางได้ เฉพาะในส่วนหน้ายางที่สัมผัสกับถนนเท่านั้น ไม่ควรปะยาง บริเวณแก้มยาง ซึ่งยางอาจจะระเบิดได้ง่าย เนื่องจากไม่มีโครงสร้างของชั้นผ้าใบ และเส้นลวด

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:02:08 ]





ความคิดเห็นที่ 110

391.การปะยาง ยางที่สามารถจะปะ หรือซ่อมได้ ควรมีความลึกของดอกยางไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร และควรกว้างไม่เกิน 6 มม ไม่ควรปะยางเกิน 2 ครั้งบนยางเส้นเดียวกัน และไม่ควรปะยางซ้ำรอยเดิม


392.เมื่อเกิดปัญหาไฟหน้าไม่ติด หรือหลอดไฟไม่สว่าง ก่อนที่จะไปเสียเงินซ่อม สิ่งที่ผู้ใช้ควรที่จะตรวจสอบจุดแรก คือ แผงฟิวส์โดยเฉพาะตัวเมน ต่อมาก็ที่สวิตซ์ไฟ โดยเฉพาะรถที่ใช้สวิตซ์ ไฟใหญ่โดยไม่ผ่านตัวรีเลย์ สุดท้ายก็ที่สายไฟ และ ตามขั้วหลอดไฟ


393. หลอดไฟหมดอายุผู้ใช้สามารถสังเกตว่าหลอดไฟหมดอายุหรือไม่ โดยดูจากความสว่างของหลอดไฟ ซึ่งกรณีนี้ไม่สามารถซ่อมแซมให้สว่างขึ้นได้ต้องทำการเปลี่ยนหลอดไฟใหม่เท่านั้น แต่คุณสามารถเก็บหลอดไฟเก่าไว้ได้ เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน

394. การเพิ่มกำลังส่องสว่างของไฟหน้าเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของผู้ขับขี่ โดยการเปลี่ยนหลอดไฟให้มีกำลังส่องสว่างมากขึ้นหรือจำนวนวัตต์มากขึ้นนั่นเองซึ่งในปัจจุบันจะมีหลอดฮาโลเจน สำหรับรถรุ่นใหม่ ๆ
ส่วนรถรุ่นเก่าก็สามารถเพิ่มกำลังเป็น 80/100 วัตต์ได้โดยไม่ต้องดัดแปลงขั้วหลอดสำหรับรถรุ่นเก่าที่ต้องการใช้หลอดฮาโลเจน จะต้องเปลี่ยนสายไฟและสะพานไฟใหม่ คุณจะต้องติดสวิตซ์และรีเลย์สวิตซ์เพิ่ม เพื่อป้องกันความร้อนจากกำลังไฟที่ใช้ของหลอดฮาโลเจนส่วนวิธีการติดตั้งของหลอดฮาโลเจน คงต้องพึ่งร้านติดตั้งหลอดไฟ


395 ข้อควรระวังในการเปลี่ยนหลอดไฟคือ จะต้องถอดขั้วลบของขั้วแบตเตอรี่ออกก่อนทุกครั้งถ้ามีการเพิ่มขนาดของหลอดไฟจะต้องตรวจสอบขั้วของหลอดไฟ สายไฟ และ สวิตซ์ที่ใช้ ควบคุมหลอดไฟว่าสามารถรับกำลังไฟฟ้าของหลอดไฟที่เพิ่มขึ้นได้

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:02:32 ]





ความคิดเห็นที่ 111

396. เมื่อใบปัดน้ำฝนสกปรก คุณสามารถถอดทำความสะอาดได้โดยการดึงก้านปัดน้ำฝนขึ้น และปลดปุ่มล็อคใบปัดน้ำฝนออก เมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้ว จะต้องสังเกตสัญลักษณ์ "R" (ข้างขวา) และ "L" (ข้างซ้าย) และใส่กลับเข้าไปให้ถูกข้างด้วยมิฉะนั้นที่ปัดน้ำฝนของคุณจะทำงานไม่ปรกติ และจะมีเสียงเวลาใช้งาน



397. ตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล กรณีที่คุณต้องการเดินทางไกล สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจเช็คสภาพรถยนต์ด้วยตัวคุณเอง เพื่อช่วยให้เกิดมั่นใจในการขับขี่ หรือหากพบข้อบกพร่องก็สามารถแก้ไขก่อนเดินทาง



398.ตรวจรถภายนอก ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได้ด้วยตัวเอง รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดู ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรค ไฟเลี้ยวหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:03:22 ]





ความคิดเห็นที่ 112

399. ตรวจภายในรถ ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถ ล็อคได้เรียบร้อย แตร ให้แน่ใจว่าดังดี แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรคอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่ ฟิวส์สำรองที่เตรียมไว้ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์



400 ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยก เปื่อย - สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหาย หรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ ระดับน้ำมันเบรคและคลัชท์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรคและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่วหลุดหรือไม่

401.รถเกียร์อัตโนมัติกับการเบรกเพื่อจอดก็คล้ายกัน เบรกอย่างเดียวไม่ต้องยุ่งกับการลดเกียร์ใดๆ และก็ไม่ควรปลดเป็นเกียร์ว่าง เพราะนอกจากรถจะมีแรงเฉื่อยมากขึ้นแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อเกียร์ หากรถยังไม่หยุดสนิทแล้วต้องผลักกลับมาที่เกียร์ D-เดินหน้า ชุดคลัตช์ในเกียร์จะทำงานหนักกว่าการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง การเบรกพร้อมกับการเปลี่ยนเลน หรือเปลี่ยนเลนเสร็จแล้วเบรกทันที อันตรายต่อท้ายรถของคุณ



402.การเดินทางขึ้นเขา
เลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสมกับระดับความเร็วและความชันความโค้งของเขาที่ไต่ขึ้น คอยสังเกตุป้ายระบุให้ใช้เกียร์ต่ำและกำหนดความเร็วที่ปลอดภัยที่ข้างทางอยู่เสมอถ้าไม่รีบร้อนหรือเพื่อให้ปลอดภัยที่สุดควรใช้ความเร็วตามที่ป้ายระบุหรือบวกไม่เกิน 10 ส่วนเกียร์ที่เหมาะสมในการขึ้นเขาคือเกียร์ที่สามารถรักษารวบเครื่องไว้ได้ระหว่าง 2800-3500รอบครับ ถ้ารอบเครื่องต่ำกว่า 2500รอบให้ลดเกียร์ต่ำลงโดยทันทีอย่ารอให้รอบตกมากกว่านั้นเพราะอาจจะทำให้เสียแรงส่งและอาจจะเกิดการลื่นไถลได้ ความเร็วที่เหมาะสมคือความเร็วที่เกียร์นั้นๆสามารถทำให้รถวิ่งได้ที่รอบเครื่อง 2500-3500รอบครับพยามอย่าให้รอบเครื่องสูงเกิน 3500รอบไปโดยการแช่ครับถ้าเกิน 3500รอบไปสามารถที่จะเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นได้ครับ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:04:35 ]





ความคิดเห็นที่ 114

403. การลงเขา
การลงเขาถือว่าอันตรายมากที่สุดเพราะการขึ้นเขานั้นอาศัยแค่กำลังรถเป็นตัวตั้งแต่สำหรับการลงเขาต้องอาศัยความพร้อมและสติของคนขับเป็นตัวตั้งและสมรรถนะของรถเป็นตัวรองลงมา การใช้เกียร์และความเร็ว ตอนลงก็ไม่ควรใช้เกียร์ที่สูงกว่าเกียร์3 หรือเกียร์อีโนมัติตอนขึ้นใช้D2 ตอนลงก็ควรใช้D2เช่นกันครับ แต่ถ้าเอาแบบปลอดภัยมากขึ้นก็ใช้สูตรขึ้นเกียร์ไหนเวลาลงให้ใช้เกียร์ที่ต่ำลงมา 1 เกียร์ครับ ที่ต้องจดจำก็เพราะความเร็วขาลงมันจะสูงขึ้นและรอบเครื่องจะสูงส่วนมากจึงใช้การเข้าเกียร์ที่สูงขึ้นซึ่งการกระทำดังกล่าวยิ่งจะทำให้ความเร็วรถสูงขึ้น ไม่ควรอาศัยการใช้เบรกบ่อยๆแทนจนบางครั้งเกิดความร้อนสูงในระบบเบรกจนลื่นและเบรกไม่อยู่ จำง่ายๆคือความเร็วและเกียร์ที่ปลอดภัยคือเกียร์ที่รอบเครื่องแกว่งหรือนิ่งอยู่ระหว่าง 2500-3500รอบโดยการไม่แตะคันเร่งครับถ้าอยู่ที่เกียร์ไหนเช่นเกียร์3 ก็พยามเลี้ยงรอบมันไว้ถ้าสูงเกินก็แตะเบรคนิ่มๆเพื่อลดรอบให้อยู่ในระดับครับห้ามเหยียบเบรกอย่างรุนแรงครับเพราะอาจจะเกิดเสียการทรงตัวหรือลื่นไถลได้ครับ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:05:06 ]





ความคิดเห็นที่ 115

404.เมื่อยางรถระเบิดขณะขับ รถยางระเบิดในขณะขับรถ. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคงแล้ว ถอนคันเร่งออกเบาๆ ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน ห้าม เหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลัก เพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดจากเพลา ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ



405 .เมื่อรถตกน้ำในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำลำคลองใดๆก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปในน้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำแต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงพื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้ควรตั้งสติให้ดีและ ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคนรวมทั้งผู้โดยสารด้วย อย่าออกแรงใดๆเพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นในรถ ปลดล็อกประตูรถทุกบาน. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน!ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออกเพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้.เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุดแล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของรถได้ .จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติหรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้ กรณีเช่นนี้ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติหรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอยไปในทิศทางใดให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไปก็จะไม่มีอาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆนั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:05:47 ]





ความคิดเห็นที่ 116

406.. การแซงรถ บางครั้งผู้ขับขี่รถตามหลังคันอื่นเป็นระยะทางไกลๆ เพราะว่าอัตราความเร็วที่ใช้อยู่นั้นใกล้เคียงกับรถคันอื่นๆที่อยู่ข้างหน้า บางครั้งมีความจำเป็นต้องแซงหน้าขึ้นไปจึงควรจะแซงให้ถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยของตนเองและบุคคลอื่น

407. ตามหลักในการแซงแล้วก่อนจะแซงรถต้องดูให้แน่ใจว่าถนนด้านข้างว่างพอที่จะแซงหรือยังถ้าต้องการความปลอดภัยในการแซงต้องแซงรถทางขวาเสมอและห้ามแซงในที่คับขัน


408..ไม่แซงรถตรงทางแยกเพระารถที่จะถูกแซงนั้น ผู้ขับอาจจะเปลี่ยนใจเลี้ยวขวาอย่างกะทันหันเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมีสัญญานไฟอยู่ด้วยก็ตาม เนื่องจากตรงทางแยกนั้นเราอาจมองเห็นรถคันอื่นไม่ดีเท่าที่ควร เพราะเหตุนี้เมื่อขับรถึงทางแยกควรชะลอความเร็วแล้วดูรถคันอื่นและคนเดินข้ามถนนให้ดีก่อน

409. เมื่อเวลาขับรถขึ้นเนินเขาเพราะอาจมีรถคันอื่นวิ่งสวนลงมาโดยไม่เห็นล่วงหน้าการแซงบนเนินเขามีอันตรายมากเวลาและระยะทางข้างหน้าจะมีน้อยลงเพราะต้องขับขึ้นทางลาดชันและการแซงรถเช่นนี้จะยิ่งมีอันตรายมากขึ้นในตอนกลางคืนเพราะมีหมอกลงจัด


410.ไม่ควรแซงบนทางโค้ง และควรขับในทางของตนเพราะทางโค้งทำให้เรามองเห็นทางข้างหน้าได้น้อยลง
และ ไม่ควรแซงบนสะพานหรือระยะอีก 30 เมตรจะถึงสะพาน

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:06:22 ]





ความคิดเห็นที่ 117

411. การขับรถตามหลังรถคันอื่น อุบัติเหตุจำนวนมากเกิดจากการขับรถชนท้ายหรือประสานงาคันอื่น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ ผู้ขับรถคันหลังขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป ในหลักการขับรถแล้วควรขับรถตามหลังโดยเว้นระยะห่าง 1 ช่วงคันรถ ทุกๆความเร็ว 10 กม./ชม. หรืออาจเว้นเป็น 2 เท่าก็ได้เพื่อความปลอดภัย


412. การขับรถตามกฎจราจร กฎจราจรในบ้านเรามีอยู่มากมายที่บัญญัติขึ้นมาก็เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และสังคมโดยส่วนรวมผู้ขับขี่ส่วนมากจะจำกฎจราจรได้เฉพาะตอนสอบใบขับขี่เท่านั้นหลังจากนั้นก็จะลืมกฎจราจรต่างๆ แทบหมดสิ้นและไม่ให้ความสนใจต่อไปอีกเลยอย่างน้อยการขับรถทางไกล ควรใช้กฎจราจรให้เคร่งครัดตลอดจนการให้สัญญาณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณมือสัญญาณไฟและต้องแน่ใจว่าใช้ถูกต้องและรถคันหลังหรือหน้าสามารถเห็นสัญญาณได้อย่างชัดเจน


413. การเปลี่ยนช่องเดินรถ โดยทั่วไปผู้ขับขี่ควรขับรถอยู่ในช่องเดินรถที่มีเครื่องหมายแบ่งไว้ให้แต่ถ้าไม่มีเส้นแบ่งช่องเดินรถเอาไว้ก็ควรจะขับรถในทางของตนผู้ขับขี่ต้องรู้สภาพการจราจรที่กำลังจะเกิดขึ้นและสังเกตรถคันหลังที่ตามมาด้วยถ้าผู้ขับขี่พร้อมที่จะแซงต้องให้สัญญาณล่วงหน้าก่อนเมื่อรถคันอื่นทราบความประสงค์จึงเปลี่ยนเข้าในช่องเดินรถที่ต้องการ


414. การขับรถที่ป้องกันตัวเองจากอันตราย ผู้ขับขี่รถยนต์นั้นไม่ใช่แต่จะสามารถควบคุมตัวเองได้เท่านั้นแต่ต้องเป็นผู้ที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาและมองไปด้านหน้าด้านหลัง(มองกระจกหลัง) และด้านข้างตลอดเวลา


415. คนเดินเท้า ในทางรถวิ่งหรือไฮเวย์บางสายไม่มีทางเข้าฉะนั้นเมื่อเห็นคนเดินเท้าจึงควรใช้แตรและลดความเร็วเพื่อให้คนเดินอยู่ข้างทางให้รู้ตัวโดยมารยาทแล้วนักขับขี่ที่ดีไม่ควรแซงรถตรงจุดที่มีคนเดินเท้าอยู่ใกล้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืนและวันที่มีฝนตกหนัก ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะผู้ขับขี่อาจมองไม่เห็นคนเดินเท้าได้

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:07:03 ]





ความคิดเห็นที่ 118

416. แผนที่ ถ้าผู้ขับขี่ต้องขับรถทางไกลในทางที่ยังไม่ค้นเคยควรจะได้รับการศึกษาจากแผนที่เพื่อหาทางที่คุ้นเคยควรจะได้รับการศึกษาจากแผนที่เพื่อหาทางที่จะไปได้อย่างมีจุดหมายไม่หลงทางเพราะแผนที่จะช่วยให้ทราบเส้นทางและลักษณะของถนนและระยะทางต้องคำนึงถึงเสมอให้แทน


417.การขับรถกลางคืน ต้องเพิ่มความระมัดระวังและรอบคอบขึ้นเป็นเท่าตัวแสงสว่าง สัญญาณไฟและสายตาเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้ที่สายตาไม่ดี อย่าขับรถกลางคืนโดยไม่จำเป็นระวังอย่าใช้ไฟหน้าสูงและระวังรถที่สวนมาใช้ไฟหน้าสูงทำให้ตาของท่านมองไม่เห็นอย่าใช้ความเร็วสูงตรวจสอบระบบเบรกสัญญาณไฟและแสงสว่างให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ควรมีเพื่อนร่วมทางไปด้วย


418.การขับรถในระยะทางไกลๆ ท่านจะเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย เครียด และขาดประสิทธิภาพในการควบคุมรถควรหยุดพักผ่อนหรือมีคับรถสำรองผลัดเปลี่ยน ควรหาจุดพักรถและศึกษาเส้นทางอย่างละเอียดเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาควรปรับเบาะระยะกระจกและอุปกรณ์อื่นๆให้สมดุลเพื่อความสะดวกปลอดภัยในการขับขี่

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:07:27 ]





ความคิดเห็นที่ 119

419. การขับขี่บนพื้นที่ๆ มีโคลนและทราย
เมื่อขับขี่ผ่านเส้นทางที่มีสภาพถนนเช่นนี้ ไม่ควรแตะเบรคหรือ ดึงเบรคมือ อย่างกระทันหัน เพราะจะทำให้รถเสียหลัก ควรใช้เกียร์ต่ำ ในการขับเคลื่อนผ่านเส้นทาง พยายามควบคุมพวงมาลัย หลีกเลี่ยงจุดที่มีโคลนเหลวมากๆ หรือกองทราย เพราะหากล้อชุดที่ขับเคลื่อน วิ่งผ่าน อาจเกิดเหตุการณ์ล้อหมุนฟรี และไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านไปได้


420.การขับขี่บนพื้นที่ๆ ลื่นด้วยน้ำมัน
เมื่อถนนบางเส้นทาง เกิดมีน้ำมันเครื่อง หกเกลื่อนถนน จะเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ผู้ขับขี่รถด้วยความเร็ว เมื่อแตะเบรคอย่างกระทันหัน ในบริเวณนี้ ก็จะเกิดอาการท้ายปัด รถเสียการทรงตัว และไม่สามารถควบคุมรถ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ผู้ขับขี่ ควรชะลอความเร็ว ด้วยการใช้เกียร์ต่ำ และอย่า แตะเบรคกระทันหัน ค่อยๆ เคลื่อนที่ ผ่านบริเวณดังกล่าวไป และอย่าเพิ่งใช้ความเร็วโดยกระทันหัน เพราะคราบน้ำมัน ที่เกาะอยู่กับผิวล้อ ยังไม่ทันจางหายไป ควรขับผ่านไปสักระยะหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่า คราบน้ำมัน ที่เกาะอยู่บนผิวล้อนั้นได้จากหายไป กับพื้นถนนแล้ว ค่อยเริ่มใช้ความเร็วเพิ่มขึ้น

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:07:51 ]





ความคิดเห็นที่ 120

421.การขับขี่บนพื้นที่ๆ มีลูกระนาดขวางถนน
พื้นที่เช่นนี้ มักพบในบริเวณ ตามหมู่บ้าน หรือตามซอย ที่ไม่ต้องการ ให้มีการขับขี่ ด้วยความเร็วสูง เพราะจะเป็นอันตราย กับผู้คน หรือสิ่งของละแวกนั้น ส่วนใหญ่ จะเป็นบริเวณชุมชน เมื่อขับรถผ่านลูกระนาดขวางถนน คงจะต้องลด หรือชะลอความเร็วลง จนถึงขนาดใช้เกียร์หนึ่ง ในการเคลื่อนตัวผ่าน เพราะไม่เช่นนั้น แรงกระแทกที่เกิดขึ้น ที่ล้อรถ กับบริเวณลูกระนาด อาจทำความเสียหาย ให้กับระบบช่วงล่างรถยนต์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


422.การขับขี่บนพื้นที่ๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ
หมายถึง พื้นที่บริเวณน้ำท่วมขัง ซ่อมทาง ดินทรุด หรือบริเวณพื้นผิว ที่เป็นหลุม เป็นบ่อต่างๆ ผู้ขับขี่ ควรสังเกต บริเวณที่มีขนาดหลุมที่ตื้น และปลอดภัยที่สุด ใช้เกียร์ต่ำ ควบคุมพวงมาลัยให้ดี ค่อยๆ หย่อนล้อลงไป บริเวณขอบหลุม แล้วพยายามประคองพวงมาลัยให้มั่นคง เพราะจะเกิดแรงฝืน ที่มุมล้อต้านกับความสูง-ต่ำของหลุม หลีกเลี่ยง บริเวณที่เป็นโคลน-เลน ใช้คันเร่ง และเยียบเบรค ให้เป็นจังหวะ

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:08:20 ]





ความคิดเห็นที่ 121

423.การขับขี่บนพื้นที่ๆ มีทางรถไฟขวางหน้า
ให้หลักของกฎจราจร โดยปกติ เมื่อขับรถผ่านเส้นทาง ที่มีทางรถไฟขวางถนนอยู่ ควรชะลอความเร็ว และควรหยุดรถนิ่ง ในขณะที่รถไฟ กำลังจะแล่นมา ไม่ควรเร่งความเร็วสูง เพื่อจะได้พ้นผ่านจุดดังกล่าวไป ในลักษณะของประมาท บางกรณีเช่น ค่ำคืน ดึกดื่น ยิ่งควรระวังให้มาก เพราะสิ่งที่ผู้ขับขี่มองเห็นนั้น มีเฉพาะ บริเวณด้านหน้ารถ ที่ไฟส่องสว่าง สามารถส่องไปถึงเท่านั้น แต่รถไฟ มักจะแล่นมาทางด้านข้าง ผ่านหน้าผู้ขับขี่ไป ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ ชะลอความเร็วลง มองซ้าย-ขวา ให้แน่ใจ ก่อนตัดสินใจ ขับผ่านทางรถไฟขวางถนน ซึ่งเราสามารถที่จะสังเกต เห็นป้ายสัญญาณเตือน ที่ทางราชการติดไว้ ก่อนหน้าจะถึงทางข้ามรถไฟ


424.การขับขี่บนพื้นที่ๆ มีความลาดชัน
เมื่อขับขี่ขึ้นทางลาดชัน ไม่ควรใช้ความเร็วสูง และห้ามขับแซง ยิ่งเป็นบริเวณที่ลาดชัน ผสมกับเป็นทางโค้ง เช่นบริเวณทางขึ้น-ลง เขา ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวัง เป็นพิเศษ สังเกตป้ายเตือน บริเวณริมถนน เพื่อประเมินสถานะการณ์ด้านหน้าให้ดี กรณีรถติดบนทางลาดชัน เช่นรถติดไฟแดงในเมือง ควรเว้นระยะห่าง ระหว่างรถคันหน้า และรถของเรา เผื่อไว้สักระยะหนึ่ง เพราะเมื่อมีการเคลื่อนตัวออกไป รถที่อยู่บนเนิน อาจมีอาการถอยหลัง มาชน หน้ารถของเราได้ ดังนั้น จึงควรระวังตรงจุดนี้ไว้ด้วย หากเราจำเป็นต้องจอดรถบนเนินทางขึ้น ควรดึงเบรคมือไว้ เมื่อออกตัวอีกครั้ง ให้เร่งรอบเครื่องขึ้นหน่อย เข้าเกียร์แล้วออกตัว ปลดเบรคมือลง พยายามให้รถถอยหลังน้อยที่สุด

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:08:50 ]





ความคิดเห็นที่ 122

425.การขับขี่บนขับขี่ขณะฝนตก
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ลดความเร็วลงมา พยายามควบคุมรถ ให้แล่นอยู่ในเลน ใช้เกียร์ต่ำในการขับขี่ อยากตกใจ และอย่าเบรคกระทันหัน เพราะจะทำให้รถลื่นไถล เปิดไฟหรี่ แล้วขับไปตามเลน หากเป็นไปได้ ควรขับชิดซ้าย และค่อยๆไป ในยามที่ฝนตกหนัก ควรจอดรถชิดข้างทาง และเปิดไฟกระพริบ หรือให้สัญญาณกับรถคันอื่นทราบว่า รถเราจอดนิ่งอยู่กับที่แล้ว รอสถานะการณ์ฝนซาแล้ว ค่อยเดินทางต่อไป กรณีที่มีฝ้าเกาะตามกระจกรถ เกิดจาก อุณหภูมิด้านนอกรถ เย็นกว่า อุณหภูมิด้านในรถ คงจะต้องเปิดแอร์ หรือลดอุณหภูมิ ในห้องโดยสารลง แล้วหาเศษผ้า เช็ดรอยฝ้าบนกระจกออกไป


426. การขับขี่บนขับขี่ขณะถนนลื่น
ถนนลื่น อาจเป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าว เกิดฝนตก พื้นที่บริเวณนั้น มีน้ำขังเฉอะแฉะ หรืออาจมีกรวดทราย บนพื้นถนน ถนนมีดินลื่นปะปน มีน้ำมันเครื่อง หกราดอยู่บนพื้นถนน ฯลฯ เหล่านี้ เป็นเหตุ นำไปสู่อันตรายทั้งสิ้น เมื่อขับขี่ขณะถนนลื่น ควรระมัดระวังในเรื่องการใช้ความเร็ว และการใช้เบรค อย่าพยายามเข้าโค้งด้วยความเร็ว และแตะเบรคกระทันหัน เพราะอาจทำให้ท้ายรถปัด และไม่สามารถควบคุมรถได้ เป็นเหตุนำไปสู่อันตราย กรณีขับรถอยู่บนทางสูงเช่น บนเนินเขา สภาพรถควรจะต้องพร้อม ควรใช้สมาธิในการขับขี่มากกว่าปกติ อย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะถ้าพลาดพลั้งเกิดอันตรายขึ้นมา คงมีโอกาสน้อยมากที่จะกลับมาแก้ตัวใหม่ หรืออาจไม่มีโอกาสเลยก็ได้

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:09:21 ]





ความคิดเห็นที่ 123

427.ขับขี่ขณะหมอกลงหนา
คงมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากในประเทศไทย เพราะด้วยเหตุที่ว่าอยู่ในเขตโซนร้อน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหมอกลงหนา หรือมีควันไฟจากการเผาไหม้ เข้ามาปกคลุมพื้นที่ๆ กำลังขับขี่อยู่ ควรชะลอความเร็วลง และเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากขึ้น เปิดไฟหรี่ หรือไฟใหญ่ ไม่ควรขับรถแซงรถคันหน้า เพราะอาจมีรถสวนทางมา โดยที่เราไม่รู้ตัว ช่วงเวลานี้ หากรถคันใด มีอุปกรณ์ที่เรียกว่า ไฟตัดหมอก หรือ fox lamp ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ดี ขับไปตามเลน และใช้ความเร็วต่ำ


428.การขับขี่บนขับขี่ขณะน้ำท่วม
น้ำท่วม เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงจากการขับขี่ เพราะเราไม่สามารถประเมินสถานะการณ์ สภาพถนนด้านหน้าได้เลย ยิ่ง หากเป็นเส้นทางที่ไม่เคยผ่านมาก่อน ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรใช้ความเร็วต่ำ และสังเกตการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า ขับอย่างช้าๆ พยายามควบคุมพวงมาลัยไว้ให้ดี

429. เมื่อขับรถในขณะที่น้ำท่วม มีโอกาส ที่น้ำจะเข้าไปปะปน บริเวณผ้าเบรค ไม่ว่าจะเป็นดิสก์เบรค หรือดรัมพ์เบรค ก็จะเกิดเหตุการณ์ เบรคลื่น-เบรคไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้ จึงควรเว้นระยะห่าง การขับขี่จากรถคันหน้าพอสมควร กับการคำนวณในใจว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น และจำเป็นต้องเหยียบเบรค รถของเรา จะต้องหยุด ก่อนที่หน้ารถของเรา จะไปสัมผัสกับท้ายรถคันหน้า เมื่อเบรคไม่ค่อยอยู่ อาจต้องใช้วิธีเหยียบย้ำ แทนวิธีเหยียบแช่ แต่ไม่ถึงกับขนาดต้องกระแทกรุนแรง ข้อสำคัญคือ ขับไปช้าๆ และเว้นระยะห่าง จากคันหน้าพอสมควร

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:10:20 ]





ความคิดเห็นที่ 124

430..การขับขี่บนขับขี่ขณะมีมรสุมลมแรง
กรณีที่มีมรสุม พายุเข้า และเรากำลังขับขี่อยู่บนท้องถนน ถึงแม้ว่า สภาพรถจะสมบูรณ์ และสภาพร่างกาย และจิตใจมีสมาธิดี เมื่อลมพายุเคลื่อนที่เข้าปะทะตัวรถ ด้วยความเร็วลมแรง ก็สามารถทำให้รถ เสียงการทรงตัวได้ง่ายๆ โดยเฉพาะ ปะทะเข้าด้านข้างตัวรถอย่างแรง ทำให้รถเกิดการแฉลบ เสียหลัก ผู้ขับขี่ตกใจ และสูญเสียการควบคุมที่ดี ยิ่งถ้าเป็นรถที่มีน้ำหนักเบา ยิ่งควรต้องระวังให้มาก เมื่อประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ขับขี่ ควรยึดจับพวงมาลัยให้มั่นคง แล้วชะลอความเร็วลง เมื่อประเมินสถานะการณ์ เส้นทางด้านหน้า ที่กำลังจะไป ว่ามีพายุพัดแรง ควรนำรถเข้าข้างทาง รอดูสถานะการณ์สักพัก เมื่อพายุมีความแรงลดลง จึงค่อยเดินทางต่อไป

431.การขับขี่บนขับขี่ในที่ชุมชน
ที่ชุมชน ในที่นี้ หมายถึง บริเวณ ที่มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ หรือ ในที่ๆ มีถนนไม่กว้างมากนัก เช่นในซอย ตามหมู่บ้าน หรือตามทางผ่านตลาด ผู้ขับขี่ คงต้องใช้เกียร์ต่ำ ขับผ่านด้วยความระมาดระวัง ให้สัญญาณแตรได้ตามโอกาส และสถานะการณ์


432.การขับขี่บนขับขี่เวลาค่ำคืน
สิ่งที่ต้องทำแน่นอนคือ เปิดไฟหรี่ ในเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม และเปิดไฟหน้า (ไฟใหญ่) ในเวลาที่เริ่มที่จะมองไม่เห็นภาพ หรือค่ำคืนแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อไปคือ เรื่องอุปกรณ์ให้สัญญาณไฟต่างๆ คงจะต้องดูและให้เรียบร้อย หากต้องการขับเลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวา แต่ไฟเลี้ยวเสีย ก็สามารถเกิดอันตรายได้ การขับขี่เวลาค่ำคืน คงต้องใช้สมาธิ ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะขาดแสดงสว่างจากแสดงอาทิตย์ ทำให้การประเมินสถานะการณ์ในการขับขี่ ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:10:46 ]





ความคิดเห็นที่ 125

433. เมื่อเบรคไม่อยู่
อาจเกิดเพราะผ้าเบรคหมด ผู้ขับขี่อาจควบคุมรถได้ด้วยความไม่มั่นใจเท่าที่ควร เพราะรถไม่สามารถหยุดได้ดั่งใจ ในกรณีผ้าเบรคหมด ขณะที่กำลังเหยียบเบรค เราจะได้ยิงเสียงโลหะเสียดสีกัน และดังมาจากบริเวณดุมล้อ ที่ติดตั้งระบบเบรค คงต้องนำรถเข้าตรวจเช็คระบบเบรคต่อไป แต่ในกรณีที่กำลังขับขี่ โดยใช้ความเร็วอยู่ หากเกิดเบรคไม่อยู่ (เบรคแตก) ผู้ขับขี่ ต้องอย่าตกใจ และควบคุมสติให้อยู่ พยายาม ลดความเร็วลง โดยถอนคันเร่ง ออกจากปลายเท้า แล้วลดเกียร์ลงมาใช้เกียร์ต่ำ เช่น เกียร์ 5,4,3,2,1 ตามลำดับ อย่าพยายามข้ามเกียร์ เช่น จากเกียร์ 4 มาเป็นเกียร์ 1 เพราะจะเกิดอันตรายได้ เมื่อสามารถชะลอความเร็วลงมา จนถึงระดับ เกียร์ 1 ได้ จนถึงจุดที่ รถวิ่งด้วยความเร็วต่ำแล้ว ให้ใช้เบรคมือช่วยเบรค ในระหว่างชะลอความเร็วลงมา ควรควบคุมสติ ให้มั่นคง และให้สัญญาณเสียง เปิดไฟฉุกเฉิน หรือให้สัญญาณ ด้วยวิธีใดๆ เพื่อให้รถคันอื่นรู้ว่า รถเรากำลังเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่อจอดรถเข้าข้างทาง โดยปลอดภัยแล้ว ควรติดต่อช่างมาตรวจสอบระบบเบรคต่อไป

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:11:16 ]





ความคิดเห็นที่ 126

434.เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด
เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด ก็ไม่สามารถไปไหนได้ รถสตาร์ทไม่ติด เกิดได้หลายสาเหตุเช่น น้ำมันเชื้อเพลิงหมด ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่สามารถผ่านได้ ระบบจุดระเบิดใช้งานไม่ได้ ไส้กรองอากาศอุดตัน มอเตอร์สตาร์ทเสีย แบตเตอรี่ไฟไม่พอ สายไฟจุดใดจุดหนึ่งขาด ฟิวส์-สวิตช์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสตาร์ท เสีย-เสื่อมสภาพ สวิตช์กุญแจสตาร์ทเสีย เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเป็นสาเหตุ ให้รถสตาร์ทไม่ติด ดังนั้น หากรถสตาร์ทไม่ติด ควรวิเคราะห์อาการเบื้อต้น และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อนำรถไปเข้าตรวจเช็คความผิดปกติ หรือถ้าจำเป็น ต้องขอความช่วยเหลือ จากหน่วยงานอื่นใดหละก็ ลองดูที่นี่ จะมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ จดไว้ติดตัว เผื่อเหตุฉุกเฉิน


435.เมื่อกระจกบังลมหน้าแตก
กระจกบังลมหน้าแตก เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น กรณีขับตามรถบรรทุกหิน-กรวด แล้วมีเศษก้อนหิน ลอยจากรถคันดังกล่าวมากระทบกระจกบังลมหน้าแตก หรืออาจเกิดจาก การจดรถในที่โล่ง ที่ๆ มี แดดร้อน เป็นเวลานาน
เมื่อกระจกเริ่มแตก จะเกิดร้อยร้าวขึ้นที่บริเวณที่ถูกสิ่งของตกกระทบ หากเป็นกระจกชนิดเทมเพลท จะเกิดรอยร้าว ลุกลาม ระบาด จากจุดตกกระทบของสิ่งของ ค่อยๆ ลามออกไปรอบๆ จนหมดทั้งแผ่น หากผู้ขับขี่ กำลังใช้ความเร็วอยู่ อย่าตกใจ ให้ชะลอความเร็วลง และจอดเข้าข้างทาง ในที่ๆ ปลอดภัย จากนั้น หาผ้า หรือวัสดุ แผ่นกว้าง มารองด้านในห้องโดยสาร จากนั้น ให้ใช้อุปกรณ์ เช่นเครื่องมือติดรถ มาเคาะที่กระจกด้านนอก เพื่อให้กระจก ที่เป็นรอยร้าวอยู่นั้น ตกลงบนแผ่นที่รองไว้ ควรระวัง เศษกระจก กระเด็น ถูกผิวหนัง หรือเข้าตา ต้องระมัดระวังให้มาก เมื่อเคาะเศษกระจกออกหมดแล้ว โดยเฉพาะฝั่งบริเวณผู้ขับขี่ ต้องพยายาม อย่าให้เหลือเศษกระจก เกาะอยู่ตามขอบ นำเศษกระจกที่หลุดร่วมออกมา เป็นชิ้นเล็กๆ เหล่านั้นทิ้งไป แล้วเดินทางต่อไปยัง ศูนย์บริการเปลี่ยนกระจก ระหว่างขับขี่ ควรระวัง เศษกระจก ที่อาจเกาะติดอยู่ บริเวณขอบโครงกระจก จะหลุดร่วม กระเด็นเข้าร่างกาย และหน้าตา ไม่ควรขับขี่ด้วยความเร็วสูงมาก

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:11:52 ]





ความคิดเห็นที่ 127

436.เมื่อรถติดเลน-ตกหล่ม
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ล้อรถ จะหมุนฟรีอยู่กับที่ ยิ่งเร่งเครื่อง ยิ่งจมลงไปเรื่อยๆ อย่าพยายามฝืน ควรหาวัสดุ ที่มีความแข็ง ผิวหยาบ มารองบริเวณล้อที่ขับเคลื่อน เช่นก้อนหิน ก้อนอิฐขนาดพอสมควร หลายก้อน มารองบริเวณหน้ายาง หรืออาจใช้ไม้ที่มีความแข็งแรง มารองหน้ายาง แล้วใช้เกียร์ 1 ในการขับเคลื่อน ให้พ้นออกมา บางกรณีเช่น รถที่สำหรับลุยป่าเขาต้องขับเข้าพื้นที่ๆ มีเลนมาก และรถผ่านไม่สะดวก แต่จำเป็นต้องไป ก็อาจใช้โซ่โลหะ มัดเป็นพวง ร้อยรัดหน้ายาง และขอบยาง สำหรับการขับเคลื่อนผ่านจุดดังกล่าวไป

437.เมื่อความร้อนขึ้นสูง (Over heat)
รถที่ความร้อนขึ้นสูง ส่วนใหญ่ จะเกิดจาก ระบบระบายความร้อน หรือหล่อเย็น โดยมีสาเหตุจากน้ำในหม้อน้ำ มีปริมาณน้อย หรือน้ำไม่หมุนเวียน ทำให้การระบายความร้อนจากเครื่องยนต์ ออกไปสู่ภายนอกได้น้อย สาเหตุที่ เป็นปัญหา ในระบบระบายความร้อน อาจเกิดจาก หม้อน้ำรั่ว ท่อยางหม้อน้ำเสื่อม-ชำรุด-เป็นรูรั่วเล็กๆ ปั๊มพ์น้ำไม่ทำงาน วาล์วน้ำเสีย-เสื่อมสภาพ พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน หรืออาจเกิดจาก ฝาหม้อน้ำ เสื่อม-ชำรุด ไม่สามารถ เก็บแรงดันของน้ำ ในหม้อน้ำไว้ได้ น้ำเดือดจึงทะลักออกไปทางฝาหม้อน้ำ มากมายกว่าที่ควรจะเป็น

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:12:24 ]





ความคิดเห็นที่ 128

438. เมื่อเกิดเหตุการณ์ความร้อนบนเกจวัดอุณหภูมิขึ้นสูง ควรชะลอความเร็ว และจอดรถไว้ข้างทาง ในที่ๆ ปลอดภัย เปิดฝากระโปรงหน้าสักพัก รอจนกว่าเครื่องจะเย็นลง หาเศษผ้าขนาดอุ้งมือ ค่อยๆ เปิดฝาหม้อน้ำ ค่อยๆ ปิดเกลียวฝาหม้อน้ำ เปิดออกอย่างช้าๆ เมื่อแน่ใจว่า ไม่มีน้ำร้อนพุ่งออกมาแล้ว ค่อยเปิดฝาหม้อน้ำออกให้หมด แล้วหาน้ำสะอาด มาเติมให้เต็ม ปิดฝาหม้อน้ำ แล้วเดินทางต่อ พยายามสังเกต เกจวัดอุณหภูมิ หากขึ้นสูง ให้รีบจอดพักข้างทาง แล้วใช้วิธีการเดิม หลังจากนั้น ควรให้ช่างตรวจเช็คความผิดปกติ ของระบบระบายความร้อนต่อไป


439.ขับรถในที่มีน้ำท่วมขังอย่าขับรถลุยเข้าไปในน้ำที่ท่วมขังด้วยความเร็วสูงๆ เป็นอันขาด เพราะรถจะเสียการทรงตัวทันทีที่ถูกบังคับให้พุ่งลงไปในน้ำ และขณะที่ขับก็ควรรักษา ระดับความเร็วให้พอเหมาะ และสม่ำเสมอ การเร่งเครื่องแรงบ้างเบาบ้าง จะทำให้เกิดระลอกคลื่นกระฉอกย้อนกลับมากระแทก กับเครื่องยนต์จนเกิดความเสียหายได้ และยังอาจเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับ ผู้ร่วมสัญจรอื่นๆ บนถนนอีกด้วย ข้อสำคัญก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเกียร์ ไปมาบ่อยๆ ขณะที่อยู่ในน้ำ และพยายามขับรถตามร่อง ที่คันข้างหน้าขับไป เพื่อหลีกเลี่ยงหลุมที่อาจอยู่บนพื้นถนนที่มองไม่เห็น


440. ระมัดระวังคนเดินถนน และรถจักรยานยนต์ ฝนตกลงมาใหม่ๆ ผู้คนเดินถนน อาจมัวชุลมุนวุ่นวายกับการหนีฝน จนลืมสังเกตรถของท่านที่ขับอยู่ นอกจากนั้น ยังควรระวังรถจักรยานยนต์บางคันที่ขับขี่อยู่ด้านหน้า ที่อาจลื่นไถลจนล้มมาขวางหน้ารถท่านได้เช่นกัน


441. ชะลอความเร็วก่อนเปิดที่ปัดน้ำฝน เวลาเปิดใบปัดน้ำฝนใหม่ๆ กระจกรถด้านหน้าจะเกิดฝ้ามัวขึ้น ขณะหนึ่งก่อนที่จะใส ดังนั้น ก่อนที่จะเปิดใบปัดน้ำฝนให้ทำงาน ผู้ขับควรชะลอความเร็วรถ แล้วจึงกดปุ่มฉีดน้ำล้างกระจก พร้อมกับการเปิดใบปัดน้ำฝน ให้ทำงานในจังหวะที่เร็วที่สุด เมื่อกระจกเริ่มใสดีแล้ว จึงลดความเร็วของการปัดตามความหนักเบาของสายฝน

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:13:13 ]





ความคิดเห็นที่ 129

442.. ตรวจเช็คเบรกและน้ำมันเกียร์ หลังจากขับรถผ่านพื้นที่น้ำท่วมขังมาแล้ว ให้ระมัดระวังให้มาก เพราะประสิทธิภาพการเบรกจะลดน้อยลงไป วิธีแก้ไขก็คือ ให้ดูว่าไม่มีรถตามหลังมาในระยะกระชั้นชิด จากนั้นก็ขับรถด้วยเกียร์ต่ำ ใช้ความเร็วประมาณไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เลี้ยงระดับความเร็วเอาไว้ด้วยเท้าขวา จากนั้นก็ใช้เท้าซ้ายเหยียบลงไปบนแป้นเบรกเบาๆ ที่เรียกว่า "ย้ำเบรก" แตะปล่อยๆ สัก 4-5 ครั้งติดๆ กัน จนรู้สึกว่า รถเริ่มชะลอตัวมากขึ้น เมื่อเหยียบเบรก จึงเพียงพอจะแสดงว่า น้ำได้ถูกไล่ออกจากระบบเบรกเรียบร้อยแล้ว

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:13:40 ]





ความคิดเห็นที่ 130

443.ขับเกียร์อัตโนมัติแบบง่ายๆ ในยุคน้ำมันแพง ขับรถเกียร์อัตโนมัติไม่ยาก แต่เหยียบคันเร่งเป็นอย่างเดียวใช้ได้” ซึ่งจริงๆแล้วการขับรถที่ใช้เกียร์อัตโนมัตินั้นไม่ยากอะไรหรอก ก็คล้ายๆกับที่เขาว่าๆกันนั่นแหละ แต่มันมีเทคนิคและวิธีการที่ทำให้การขับรถเกียร์อัตโนมัติได้ประหยัดน้ำมัน ในขณะเดียวกันก็สนุกกับการกดคันเร่งแช่เพียงอย่างเดียว

444. ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ เกียร์ต้องอยู่ตำแหน่ง P หรือ N เสมอ ทุกครั้งก่อนสตาร์ตเครื่องยนต์ สำหรับรถที่ใช้เกียร์อัตโนมัติเป็นตัวส่งกำลัง เกียร์ต้องอยู่ที่ตำแหน่ง P หรือ N เสมอ และต้องเหยียบแป้นเบรกไว้ด้วย จึงจะสตาร์ทเครื่องยนต์ได้

445. เร่งแซงในที่ขับขัน กดคันเร่งให้สุด หลายคนที่ขับรถเกียร์อัตโนมัติไม่ชำนาญ มักบอกว่าเวลาที่เร่งแซงเกียร์ไม่ยอมเปลี่ยนให้ นั่นแสดงว่า ระบบ Kick Down ยังไม่ทำงาน ถ้าจะเร่งแซงให้กดคันเร่งให้สุดระบบของเกียร์จะสั่งให้ลดอัตราทอของเกียร์ลง เพื่อเพิ่มกำลังในการเร่งแซง เมื่อแซงพ้นเรียบร้อยก็ถอนคันเร่งได้ครับ เกียร์ก็จะเลื่อนตำแหน่งมาอยู่ในอัตราทดที่เหมาะสมกับความเร็วรถขณะนั้น

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:14:05 ]





ความคิดเห็นที่ 131

446. อยากประหยัดน้ำมันให้ “กด” แล้ว “ถอน” และ “กด” ซ้ำอีกครั้ง หากต้องการขับแบบประหยัดน้ำมันมากๆ เกียร์อัตโนมัติก็ทำได้ ง่ายๆทุกครั้งที่เราออกรถ เท้าของท่านก็กดแช่ไว้ที่แป้นคันเร่ง อัตราทดเกียร์ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากเกียร์ 1 ก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 และเกียร์ 3 ตามลำดับ แต่ถ้าเราต้องการให้ตำแหน่งเกียร์เลื่อนเปลี่ยนไวขึ้นเพื่อการเซฟน้ำมัน แค่ถอนคันเร่งขึ้นเล็กน้อย และกดแป้นคันเร่งซ้ำไปอีกครั้ง เท่านี้ตำแหน่งของเกียร์ก็จะเปลี่ยนไวขึ้นครับ เป็นการขับแบบเซฟน้ำมัน สามารถช่วยได้ในยุคน้ำมันเช่นนี้ครับ


447 ก่อนจะออกรถทุกครั้ง ต้องเหยียบเบรกไว้ก่อน การออกรถทุกครั้งต้องเหยียบเบรกไว้ก่อนเสมอ เนื่องจากเมื่อท่านเลื่อนเกียร์จากตำแหน่ง N มาที่ ตำแหน่ง D กำลังจากจากเครื่องยนต์จะถูกถ่ายทอดไปสู่ชุดเกียร์แบบทันทีทันใด หากท่านไม่เหยียบเบรกไว้ รถก็จะกระตุกและพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ถ้าบังเอิญด้านหน้ารถท่านจอดชิดกับท้ายรถคันหน้ามากเกินไป ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:14:38 ]





ความคิดเห็นที่ 132

448. ไม่ควรออกกระชากแรงๆบ่อยครั้งนัก หลายคนที่ชอบขับรถสไตล์นักซิ่ง ชอบออกรถแบบกระชากให้ล้อได้ร้องเอี๊ยดอ๊าดกันแทบทุกครั้ง แบบนี้ถ้าใช้กับรถเกียร์อัตโนมัติบ่อยๆ จะทำให้ท่านต้องเสียเงินซ่อมเกียร์ไวขึ้น เนื่องจากผ้าคลัตซ์ในชุดเกียร์จะหมดไวกว่าปรกติ 2-3 เท่า รวมถึงจะทำให้ชุดทอร์คคอนเวอร์เตอร์ พังไวกว่าปรกติ


449. ลากรถเกียร์อัตโนมัติใช้ความเร็วเกิน 60 กม./ชม. ในกรณีที่ต้องลากรถที่ใช้เกียร์อัตโนมัติส่งกำลัง และล้อที่ขับเคลื่อนต้องสัมผัสกับพื้นถนนเวลาลาก เช่น รถขับเคลื่อนล้อหน้าถูกชนท้าย ต้องลากรถทางด้านท้าย และให้ล้อคู่หน้าซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อนสัมผัสกับพื้นถนนเวลาลากรถไป แบบนี้ต้องให้เกียร์อยู่ในตำแหน่ง N ซะก่อน หลังจากนั้นค่อยลากรถไปด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. หากต้องลากรถติดต่อกันเป็นระยะทางไกลๆ ควรหยุดพักอย่างน้อย 1 ชม. ทุกๆระยะทาง 70-80 กม. เพื่อป้องกันไม่ให้เกียร์เสียหาย

จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 28 พ.ย. 49 00:15:12 ]





ความคิดเห็นที่ 133

450.การตรวจรถยนต์ประจำวัน ตรวจระดับน้ำมันเครื่องและรอยรั่ว ตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำ, ถังพักน้ำสำรอง, ถังน้ำล้างกระจก ตรวจระดับน้ำกรดในแบตเตอรรี่, และระบบไฟฟ้า ตรวจระดับน้ำมันเบรก, น้ำมันคลัตช์และเบรกมือ ตรวจระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถังจากมาตรวัด ตรวจความดันลมยาง, สภาพดอกยางรวมทั้งยางอะไหล่ด้วย ตรวจเสียงดังของเครื่องยนต์ และบริเวณตัวถังรถยนต์



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2550 0:20:55 น. 0 comments
Counter : 627 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

บั้งไฟลาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ

[Add บั้งไฟลาว's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com