'ประกันบำนาญ' ทางเลือกใหม่
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4256 ประชาชาติธุรกิจ
'ประกันบำนาญ' ทางเลือกใหม่...ของผู้ลงทุนมีอันจะกิน
ภาย หลังที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้กรมสรรพากรไปปรับปรุงค่าลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนการออมใน รูปแบบการประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 บาท จากเดิมลดหย่อนภาษีได้แค่ 100,000 บาท เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาออมเงินผ่านช่องทางนี้ ซึ่งจะเริ่มมีใช้ตั้งแต่ปีภาษี 2553 (1 ม.ค.-31 ธ.ค. 53) และให้นำไปยื่นแบบเสียภาษีได้ในปีหน้า
กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่เคยมีบริษัทประกันชีวิตแห่งใดนำออกมาขาย ดังนั้นก่อนที่จะไปหาซื้อกรมธรรม์ประเภทนี้ ควรจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวกันให้ชัดเจนก่อน
ตาม นิยามของกรมสรรพากร กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญจะมีลักษณะคล้ายกับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบทั่ว ไป กล่าวคือจะต้องมีการออมหรือจ่ายเบี้ยประกันอย่างต่อเนื่องทุกปี เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และเป็นกรมธรรม์ที่ออกโดยบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และจะต้องผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบ ธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ด้วย
ส่วนประเด็นที่มีความแตกต่างกันนั้นคือ กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญจะต้องไม่มีการจ่ายเงินปันผลหรือผลประโยชน์ใดใน ระหว่างปีที่จ่ายค่าเบี้ยประกัน หรือก่อนกรมธรรม์จะครบอายุตามสัญญา
แต่ บริษัทประกันชีวิตจะไปจ่ายผลประโยชน์ดังกล่าวได้ ก็ต่อเมื่อผู้ทำประกันมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี โดยเงินที่ผู้ทำประกันจะได้รับคืนจะมีทั้งรูปแบบของการจ่ายเป็นรายงวดอย่าง สม่ำเสมอ หรือได้รับเป็นเงินบำนาญคืนเต็มจำนวนเมื่อครบอายุสัญญา โดยผู้ที่ซื้อประกันแบบบำนาญสามารถนำเบี้ยประกันไปหักลดหย่อนภาษีได้
แต่ ถ้าผู้ทำประกันไม่ได้มาชำระค่าเบี้ยประกัน จนมีผลทำให้บริษัทประกันต้องยกเลิกสัญญา ก่อนที่กรมธรรม์จะมีอายุเกินกว่า 10 ปีขึ้นไป ตรงนี้ถือว่าผิดเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ ผู้ทำประกันจะต้องนำเงินที่ได้จากการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในอดีตมาชำระคืนกรม สรรพากร โดยการยื่นแบบเสียภาษีเพิ่มเติม
สำหรับการคำนวณค่าลดหย่อน ภาษี กรณีของประกันชีวิตแบบบำนาญจะมีความสลับซับซ้อนพอสมควร หากผู้เสียภาษีใช้วิธีการยื่นแบบเสียภาษีแบบปกติ (ยื่นกระดาษ) แต่ถ้ายื่นผ่าน internet คงจะไม่มีปัญหา เพราะขณะนี้กรมสรรพากรกำลังดำเนินการปรับปรุงซอฟต์แวร์ไว้รองรับงานนี้
ตาม ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่......กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ จากการทำประกันชีวิตไว้ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งการทำประกันแบบบำนาญถือเป็นการทำประกันชีวิตรูปแบบหนึ่ง จึงได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเช่นเดียวกับการทำประกันชีวิตแบบทั่วไป
อธิบาย แบบง่าย ๆ คือ นำค่าเบี้ยประกันบำนาญที่จ่ายไปจริง เข้าไปใช้สิทธิหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบปกติให้ครบ 1 แสนบาทก่อน จากนั้นให้นำค่าเบี้ยประกันบำนาญส่วนที่เหลือไปใช้สิทธิ หักลดหย่อนภาษีในส่วนของประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่ง ครม.อนุมัติให้นำมา หักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 15% ของเงินได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท และเมื่อนำไปรวมกับเงินสะสมที่ผู้มีเงินได้จ่ายเข้าสมทบกองทุนสำรองเลี้ยง ชีพ (กสล.) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสงเคราะห์ครู และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้ว จะต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
ดัง นั้นก่อนที่ท่านจะไปซื้อกรมธรรม์แบบบำนาญ คงจะต้องไปตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของท่านให้ชัดเจนก่อนว่า ที่ผ่านมาได้ลงทุนใน RMF หรือ กบข.ไปแล้วเท่าไหร่ เหลือวงเงินที่จะไปซื้อประกันแบบบำนาญอีกเท่าไหร่ เพราะเพดานสูงสุดกำหนดไว้ที่ 5 แสนบาท หากเกินกว่านี้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่ได้
ยกตัวอย่าง (ดูตามตาราง) กรณีที่ 1 มีเงินได้ปีละ1 ล้านบาท ที่ผ่านมาจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไปปีละ 10,000 บาท ฉะนั้นจึงเหลือสิทธิลดหย่อนภาษีที่ยังไม่ได้ใช้อีก 90,000 บาท ส่วนหลักเกณฑ์ใหม่ของกรมสรรพากร กำหนดให้ซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท กรณีนี้จึงมีวงเงินเหลือที่จะไปซื้อประกันชีวิตแบบ บำนาญได้อีก 150,000 บาท รวมแล้วกรณีที่ 1 สามารถซื้อประกันแบบบำนาญได้เต็มที่เกือบ 240,000 บาท/ปี และยังมีวงเงินเหลือพอที่จะไปลงทุนใน กบข., กสล., RMF และกองทุนสงเคราะห์ครูได้อีกไม่เกิน 260,000 บาท ถึงจะเต็มเพดานสูงสุดที่กำหนดไว้ 5 แสนบาท แต่ถ้ามีการจ่ายเงินสมทบเข้า กบข. หรือ RMF อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว คงจะต้องไปปรับแต่งให้อยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนด เช่น ลงทุนใน RMF หรือ กบข. รวมกัน 400,000 บาท ก็จะเหลือวงเงินที่จะไปซื้อประกันบำนาญได้อีก 100,000 บาท เป็นต้น
ส่วนกรณีที่ 2 ก็คล้าย ๆ กัน เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า ถ้าจ่ายเงินซื้อประกันบำนาญไปถึง 400,000 บาท แต่นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 290,000 บาทเท่านั้น และถ้าไม่ดูให้ดีว่าที่ผ่านมาเข้าไปลงทุนใน RMF หรือ กบข.เท่าไหร่ จะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะอาจจะนำมาใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้น้อยลง หรือไม่ได้เลยก็เป็นไปได้
ปัจจุบันกรมสรรพากรให้สิทธิลดหย่อนภาษี เพื่อสนับสนุนการออม มี 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ คือ กลุ่มแรก ประกันชีวิตทั่วไป หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท กลุ่มที่ 2 เป็นการออมประเภทบำนาญ อาทิ กบข., กสล., กองทุนสงเคราะห์ครู และ RMF ซึ่งเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วจะต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี และกลุ่มที่ 3 เป็นประกันชีวิตแบบบำนาญตัวใหม่ หากใครทำประกันประเภทนี้มีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ทั้งในกลุ่มแรกและกลุ่มที่ 2 รวมกันแล้วเกือบ 3 แสนบาท
ส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) จัดเข้าไปไว้หมวดของการลงทุน จึงไม่ได้นำเข้ามาปะปนกับเรื่องของการออม ใครที่ลงทุนใน LTF ก็ยังคงได้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 5 แสนบาทเหมือนเดิม โดยที่ไม่มีตัวหาร
ฉะนั้น หลัง ครม.อนุมัติเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับการออมระยะยาวเพื่อการบำนาญแล้ว ก็คงเป็นหน้าที่ของผู้ประกันเองที่จะต้องนำการออมแต่ละตัวมาคำนวณสิทธิที่ตน เองจะได้
Free TextEditor
Create Date : 14 มกราคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 14 มกราคม 2555 17:41:30 น. |
Counter : 2300 Pageviews. |
|
|
|