CyberGal [ Episode 29 - 31] Ending
Episode XXIX


ภายในห้องประชุมที่เงียบสงัด บรรยากาศยังคงอึมครึมและเยือกเย็น... นายตำรวจผู้กำลังคลี่คลายปมลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ ลุกขึ้นและเดินไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขามองเหม่อออกไปยังภาพด้านนอกซึ่งขณะสายฝนเริ่มซาลงแต่ความขุ่นมัวของกระจกยังบดบังทัศนียภาพและความจริงที่อยู่เบื้องหลัง...

“แต่เรื่องที่ว่า ไม่มีภาพของเธอในฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยที่เธอเรียน... มันก็ไม่แปลกนี่ครับ บางทีอาจมีข้อผิดพลาดใน database ก็เป็นได้” เบิ้มพยายามเสนอความเป็นไปได้กับนายตำรวจ

“เป็นไปได้ไม๊ครับว่า แป๋มเขาเจาะเข้าไปในฐานข้อมูลของสถาบันที่เธอเรียนเพื่อลบข้อมูลบางอย่างของเธอไป” คานิซาว่าเสนอมุมมองในฐานะของแฮ๊กเกอร์และหันไปมองเบิ้ม

ชายหนุ่มในเครื่องแบบเบือนหน้าจากหน้าต่างและหันมองมายังชายทั้งสามที่นั่งอยู่หลังโต๊ะประชุมตัวใหญ่... เขาค่อยๆ เดินมาที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามกับชายทั้งสาม ก่อนจะหยิบแฟ้มสีดำขึ้นดู แสงสว่างของโคมไฟที่กลางโต๊ะสาดแสงไม่โดนใบหน้าของนายตำรวจที่ยืนอยู่....

เขาพลิกแผ่นกระดาษซักพักก่อนจะนั่งลงและอธิบาย “จากการที่เราตรวจสอบไปพบว่าแป๋ม หรือ Pamela Alex มนีแมน มีที่อยู่ที่ลอนดอน.. ซึ่งที่อยู่ของหล่อนคือ 55 Parklane London W1... มันก็คงไม่แปลกหรอกนะครับที่เธอจะอยู่ที่ลอนดอน.. แต่ที่แปลกก็คือ บ้านหลังนี้เป็นของผู้มีอิทธิพลคนนึงในลอนดอนทีเดียว....” เขาวางแฟ้มลงเมื่อพูดจบ
“และที่อยู่แห่งนี้.. เจ้าของมีสายสัมพันธ์อันดีกับอดีตผู้นำของเรา... ซึ่งเคยเข้าพักที่นี่เมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยนะครับ” เขานิ่งเมื่อพูดจบ... บุคคลทั้งสามดูจะตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน..
แสงสว่างวาบจากสายฟ้าภายนอกหน้าต่างฉายเข้ามาในห้องจนเห็นแววตาของทุกคู่ในห้องประชุม

“เรื่องมันชักจะปะติดปะต่อกันเป็นนิยายซ่อนเงื่อน......แนวๆ ทฤษฎีสบคบคิดกันแล้วสินะ” ธนารำพึงรำพันขณะเอนหลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฝ้าเพดาน

“ข้อมูลจากเทมาเส็กคงเป็นที่ต้องการของคนบางคนที่อยู่ที่ลอนดอน... เขาอาจต้องการข้อมูลเหล่านี้เพื่อกลับเข้าประเทศเราก็เป็นได้”
“แต่เมื่อกี้นี้คุณว่า มันอาจย้อนกลับไปถึงการขุดคอคอดกระ.... แสดงว่าข้อมูลที่มาจากเทมาเส็ก มันไม่ใช่แค่ข้อมูลที่แค่คนๆ นึงที่อยู่ที่ลอนดอนต้องการสินะ”
“เรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศเรา.. เกี่ยวกับผลประโยชน์มหาศาลที่เกิดขึ้นกับผู้บริหารประเทศตั้งแต่ยุคหลายสิบปีก่อน... แต่บุคคลเหล่านี้เมื่อเราลองมาลากความสัมพันธ์กัน... มันเกี่ยวข้องกันไปหมด... ถ้าข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกไป.. มันจะเกิดเรื่องใหญ่โตชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน.. พวกเราทั้งหมดในที่นี้อาจจะอยู่กันอย่างยากลำบากในประเทศนี้... จะว่าไปอาจจะอยู่กันไม่ได้เลยในโลกใบนี้”

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ!!” เบิ้มทำสีหน้าไม่สู้จะดี

ตรู๊ดดดด
ทุกคนสะดุ้งตกใจกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังสนั่นขึ้นระหว่างบทสนทนา ทุกคนหันไปมองเครื่องโทรศัพท์บนโต๊ะด้วยความตกตะลึง
นายตำรวจค่อยๆ หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาทาบที่หูก่อนที่สีหน้าเขาจะเปลี่ยน
“ครับ ผม... ได้ครับ ตอนนี้เลยเหรอครับ... เดี๋ยวผมขับรถเข้ารายงานตัวเดี๋ยวนี้เลยครับ... อะไรนะครับ.. โอเคได้ครับ ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

นายตำรวจค่อยๆ วางโทรศัพท์และนิ่งเงียบไม่พูดอะไร.. สีหน้าเขาดูซีด แววตาดูตึงเครียด

“ทาง ผอ. เรียกเข้าพบด่วน.. บอกว่ามีภารกิจลับเฉพาะ ตอนนี้รถจากกลาโหมมาจอดรออยู่ที่ด้านล่างแล้ว” เสียงเขาดูเคร่งเครียดกว่าที่ผ่านมา
“ผมไม่แน่ใจ... เกรงว่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้... อาจมีสายรายงานตรงต่อหน่วยเหนืออีกชั้นนึงก็เป็นได้”
เขาลุกยืนและเก็บแฟ้มต่างๆ ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบบัตรสีดำและโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่า วางกลางโต๊ะต่อหน้าชายหนุ่มทั้งสาม “ยังไง......ถ้าผมไม่กลับมา.. หรือถ้าผมไม่โทรกลับมาที่เครื่องนี้ใน 20 นาที.. พวกคุณช่วยหนีออกทางประตูหลังนะครับ.. ผมจะวางบัตรคีการ์ดนี้เอาไว้ให้ มันจะพาคุณไปออกทางด้านหลังของตัวตึกได้”

“เบอร์โทรศัพท์ในเครื่องนี้ผมเพิ่งจะซื้อมาจากร้าน เป็นเบอร์ใหม่ ไม่มีใครรู้นอกจากผมคนเดียว.. ส่วนเรื่องที่พวกผมไปช่วยพวกคุณออกมาจากท่าเรือร้างนั่น มีแค่ผมกับลูกน้องในทีมเท่านั้นที่รู้ปฏิบัติการครั้งนี้...... ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกคุณอยู่ในห้องนี้ ยังไงถ้าออกจากที่นี่ไป ใช้ลิฟท์ขนของตัวใกล้บันไดหนีไฟนะครับ ใช้คีการ์ดใบนี้จะพาคุณไปที่ชั้นจอดรถด้านหลัง... หลังจากนั้นก็ให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ จนกว่าผมจะติดต่อกลับไป”

นายตำรวจหนีบแฟ้มที่ข้างตัว ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไปด้วยสีหน้าเคร่งครึม.....

……………………………………………..

ทั้งสามนิ่งเงียบเมื่อนายตำรวจรีบออกจากห้องนั้นไป... คานิซาว่าเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือสีดำที่กลางโต๊ะ “กูว่า.. มันชักจะยังไงๆ อยู่นะ มึงเชื่อเรื่องที่นายตำรวจคนนึ้พูดรึเปล่าวะ” เขาพูดพลางพลิกมือถือไปมา

“ใขเย็นๆ เหอะ.. พวกเราวุ่นกันมาทั้งอาทิตย์แล้ว กูอยากใจเย็นรอเหตุการณ์บ้างว่ะ” แฮ๊กเกอร์หนุ่มพยายามลดดีกรีความตึงเครียดภายในห้องให้ลดลงและลุกเดินไปยืนทอดอารมณ์ที่ริมหน้าต่าง
“สรุปมึงคิดว่า ข้อมูลที่สารวัตินั่นบอก.. มันลึกลับขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ธนาหันไปมองเบิ้มเพื่อถามความคิดเห็น
“ก็เป็นไปได้นะ.. ดูแกเครียดๆ ตอนเล่า… สายตาดูจริงจัง” เบิ้มตอบ
คานิซาว่าหันกลับมาสนทนากับเพื่อนทั้งสองขณะยืนพิงผนังกระจก “เป็นไปได้ไม๊วะ ว่าข้อมูลที่อยู่ในไฟล์พวกนั้นเป็นข้อมูลหลอกๆ เพื่อให้เกิดกรณีชาตินิยมแบบที่พวกผู้นำในอดีตชอบเอามาหลอกพวกชาวบ้านด้วยกันเพื่อปลุกปั่นให้เกิดกระแสอะไรบางอย่าง…. เห็นหลอกไปตายกันหลายหนแล้วนะ.. บางทีก็เกือบมีสงครามระหว่างประเทศก็เพราะไอ้เรื่องชาตินิยมนี่แหละ”

เบิ้มจับเคราที่คางและทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะแสดงทัศนะ “อืม.. มันก็จริงของมึงนะ.. เหตุการณ์บ้านเมืองเราที่ผ่านมา.. ประชาชนมักตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจเสมอๆ เลย.. และหลายหนมันก็เรื่องผลประโยชน์ชัดๆ เลย”
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ยิ่งถ้าเป็นเรื่องราวที่อันตรายๆ แบบที่นายตำรวจนั่นบอกด้วยแล้ว..กูยิ่งอยากจะหลุดจากวงจรนี้ซะจริงๆ.. ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันธ์ด้วยเล้ย.. ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากรู้เรื่องลึกลับอะไรนั่นเลยด้วยซ้ำ… กูว่า ยิ่งเรารู้อะไรมาก เรายิ่งไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตนะ … ยังไงกูขอไม่สนใจ.... กลับบ้านไปเล่นกับหมาดีกว่า”… ธนาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนกับกรณีนี้

ทั้งสามเงียบงันและไม่สนทนากันต่อ…. สายฝนด้านนอกเริ่มหยุดตก กระจกที่ฝ้ามัวเริ่มจางหายและเผยภาพตึกสูงภายนอก… เวลาผ่านไปนานตามกำหนดเวลานัดหมาย ทุกคนเฝ้ารอการติดต่อ แต่ดูเหมือนจะไม่มีการตอบกลับจากนายตำรวจผู้ออกจากห้องไป…

“กูว่า.. เราไปกันได้แล้วว่ะ.. ท่าทางชักไม่ดีแล้ว” ธนาพูดขึ้นกลางความเงียบพร้อมถอนหายใจ
“เกิดเราหนีออกไป แล้วดันเป็นไปตามแผนที่มันวางไว้ล่ะ.. แบบว่ามันอาจเป็นคนวางแผนหลอกให้เราหลงเชื่อและหนีไป.. มันอาจตั้งใจให้เป็นแบบนี้ก็เป็นได้นะ… กูไม่ค่อยเชื่อตำรวจนายนี้เลยจริงๆ” คานิซาว่าทำสีหน้าไม่สู้จะดีนัก

“เอาว่ะ… ไปก็ไป.. มีอะไรค่อยว่ากัน กูก็เบื่อเต็มทน จะจริงไม่จริงก็ช่างมันเหอะ.. เกิดเรื่องเป็นแบบที่สารวัตินั่นว่า.. เราก็ไม่ปลอดภัยที่จะนั่งอยู่ที่นี่เหมือนกันแหละว่ะ” เบิ้มพยายามสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อสยบความแตกแยกในกลุ่มก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมพร้อม
ธนาลุกตามและหันไปมองคานิซาว่าที่ยังนั่งนิ่ง
“โอเคๆ… ไปก็ไปวะ!!”… แฮ๊กเกอร์หนุ่มลุกขึ้นยืน เขาหยิบคีการ์ดบนโต๊ะและเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือสีดำเครื่องเก่าที่กลางโต๊ะประชุมเครื่องนั้นไปด้วย “เอาไปก่อน.. เผื่อมีประโยชน์” เขามองไปที่เพื่อนทั้งสองที่มองไปที่สิ่งของที่เขาหยิบ

ทั้งสามค่อยๆ เปิดประตูและออกมายืนหน้าห้องที่โถงทางเดิน.. พวกเขาเดินไปตามเส้นทางที่นายตำรวจอธิบาย.. และไม่นานนักทั้งสามก็มาสุดที่ปลายทางที่มีลิฟท์สีเงินซึ่งสะท้อนเงาของพวกเขาอยู่ที่เบื้องหน้าตั้งตระหง่านรออยู่… เบิ้มหันไปมองคานิซาว่าซึ่งกำลังหยิบบัตรสีดำออกดูก่อนจะเสียบมันเข้าที่ช่องสีเงินด้านขวาของประตูลิฟท์… ไม่นานนักสัญญาณพร้อมแสงสีเขียวใกล้ๆ ช่องเสียบบัตรก็ปรากฏขึ้นและประตูก็ค่อยๆ เปิดออก… แสงไฟจากภายในลิฟท์ค่อยๆ สาดส่องออกมาตามช่องที่ค่อยๆ เปิดกว้างออก… ทั้งสามยืนลุ้นอยู่ที่หน้าประตูด้วยความไม่แน่ใจ แต่เมื่อประตูเปิดกว้างเต็มทีก็ไม่มีอะไรผิดปกติที่ภายใน... ทั้งสามพุ่งเข้าไปในลิฟท์อย่างไม่รอช้า.. คานิซาว่าซึ่งยืนรออยู่เป็นคนสุดท้ายดึงคีการ์ดออกจากช่องเสียบและเดินตามเข้าไปสู่ภายในตัวลิฟท์นั่น

ภายในลิฟท์ คานิซาว่าเสียบบัตรที่ช่องเสียบด้านข้าง จอแสดงผลสีดำสว่างขึ้นและมีปุ่มตัวเลขชั้นต่างๆ ปรากฏขึ้นบนจอแบบสัมผัส…. เขาหันมามองเพื่อนทั้งสองก่อนที่เบิ้มจะส่งสัญญาณชี้ให้กดปุ่มเพื่อลงไปที่ชั้นใต้ดิน… ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลงและนำชายทั้งสามดำดิ่งลงสู่จุดหมายที่ด้านล่าง… ทั้งสามใจเต้นระทึกและลุ้นถึงสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ที่ด้านล่าง…..

ที่ชั้นใต้ดิน B1 ของอาคารสำนักงาน DSI ดูโล่ง มีรถจอดอยู่ไม่กี่คันในบริเวณชั้นนี้ เบิ้มมองไปรอบๆ เพื่อหาทางออกจากตึก ไม่นานนักคานิซาว่าก็สะกิดเขาให้มองตามเขา ป้ายไฟแสดงทางออก “exit” ที่สว่างชัดเจนในความมืด มันเป็นประตูเหล็กสีเทากันไฟของช่องบันไดหนีไฟ

ทั้งสามมุ่งตรงไปยังประตูนั้นและขึ้นบันไดไปตามลูกศรทีชี้ขึ้นไปสู่ชั้น G ที่ระดับพื้นถนน.. พวกเขาพบประตูเหล็กสีดำอีกหนึ่งบานที่ติดป้ายสัญลักษณ์ทางออกของเจ้าหน้าที่ Staff Exit ไว้พร้อมช่องเสียบบัตรผ่าน.. ชายทั้งสองหันไปยังแฮ๊กเกอร์หนุ่มผู้ถือบัตรสีดำที่ใช้ในลิฟท์เมื่อครู่... เขาไม่รอช้า หยิบบัตรออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเสียบมันยังช่องโลหะที่ด้านข้างประตู.. ชั่วครู่สัญญาณสีแดงก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว ตัวล๊อกแม่เหล็กที่ด้านบนปลดล๊อกตัวมัน ธนาเอื้อมมือไปดึงมือจับสีเงินที่กลางประตู เสียงรถบนถนนที่ภายนอกที่เบาลอดผ่านประตูเหล็กที่เปิดกว้างทำให้ทั้งสามรู้ว่าพวกเขาเกือบที่จะออกจากอาคารนี้ได้แล้ว

ละอองฝนมองเห็นจากลำแสงของไฟถนนสังเกตเห็นได้ในระยะไกล ชายหนุ่มทั้งสามออกมายืนที่ข้างตึกที่มืดเปลี่ยว พวกเขาหันมองดูรอบๆ ตัวเพื่อความมั่นใจก่อนจะค่อยๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังถนนใหญ่ เบื้องหน้าของพวกเขาแสงไฟจากรถยนต์เคลื่อนตัวด้วยความเร็วพร้อมเสียงสายน้ำที่พื้นถนนที่ถูกยานพาหนะเหล่านั้นวิ่งผ่านจนเกิดคลื่นน้ำสีหม่นสาดกระเซ็นขึ้นบนทางเท้าที่สกปรกของเมืองหลวง

ไม่นานนักทั้งสามก็มายืนอยู่ริมฟุตบาทหน้าตึก ธนารีบโบกเรียกรถแท็กซี่สีชมพูที่มองเห็นจากระยะไม่ไกลนัก “ไปไหนวะเนี่ย” เขาหันมาถามบุรุษทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเขา
“ไปห้องกูก่อนละกัน น่าจะใกล้ที่สุดแล้วล่ะ” เบิ้มพูดอย่างไม่ต้องคิดมาก

ทั้งสามโดดขึ้นแท็กซี่ก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวออกจากอาคารตำรวจแห่งนั้น





Episode XXX


เสียงเพลงลูกทุ่งบรรเลงในความมืดของรถแท็กซี่ขณะที่มันวิ่งฝ่าสายฝนที่โปรยปรายในช่วงปลายของฤดูฝนอันยาวนาน ความหนาวเหน็บจากเครื่องปรับอากาศในรถแท็กซี่ยามค่ำคืนทำให้ความอึดอัดที่เก็บกดในจิตใจของชายหนุ่มทั้งสามยังคงขมวดเกลียวไม่ผ่อนคลาย

ในขณะที่ยานพาหนะซึ่งกำลังนำทางกลุ่มคนทั้งสามมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางที่ห้องพักย่านกลางเมืองของเบิ้ม รายการเพลงลูกทุ่งก็ถูกสับเปลี่ยนด้วยรายการข่าวต้นชั่วโมง..... ซึ่งข่าวแรกที่ลอดผ่านลำโพงวิทยุก็เป็นข่าวด่วนที่ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามตกใจ

“ข่าวด่วนต้นชั่วโมง Hotnews – เกิดเหตุยิงปะทะกันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บอีก 5 คน โดยเหตุเกิดเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เบื้องต้นทางศูนย์ข่าวของเราได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า มีการยิงต่อสู้ของนายตำรวจด้วยกันเอง ซึ่งเกิดหลังจากที่ร้อยตำรวจเอกภาคภูมิถูกเรียกตัวเข้าสอบในคดีลักลอบขายข้อมูลราชการลับให้กับต่างชาติ ซึ่งทางหน่วยต้นสังกัดเรียกเข้ารายงานตัวและเตรียมจับกุมแต่เกิดการขัดขืน จึงทำให้เกิดการยิงปะทะกัน.... นายตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าร้อยตำรวจเอกภาคภูมิได้ถูกเรียกตัวเข้าสอบกรณีข้อมูลลับรั่วไหลแต่เกิดการขัดขืนการจับกุมและมีการยิงต่อสู้ เป็นเหตุให้นายตำรวจ 5 นายได้รับบาดเจ็บ… ส่วนร้อยตำรวจเอกภาคภูมิถูกยิงเสียชีวิตพร้อมนายตำรวจในบังคับบัญชาอีก 2 นาย… ขณะนี้ทางสตช.ได้ตั้งกรรมการสอบสวนพิเศษเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างเร่งด่วนและทางสถานีจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป”

“ชิปหายแล้ว!!” ธนาสบถขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียดท่ามกลางความเงียบ
“ใจเย็นเว้ย” คานิซาว่าหันไปทางชายทั้งสองและยกมือขึ้นในระดับต่ำเพื่อไม่ให้ทั้งหมดตื่นตระหนกจนเกิดพิรุธ “ใกล้ถึงบ้านไอ้เบิ้มแล้ว เดี๋ยวเราค่อยคุยกันดีกว่าว่ะ” น้ำเสียงของเขาดูนิ่งและจริงจัง
ทั้งสามนิ่งเงียบแต่สีหน้าดูเคร่งเครียดกับข่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่สำนักงานตำรวจและการตายของร้อยตำรวจเอกภาคภูมิ
ไม่นานนักแท็กซี่ก็ใกล้มาถึงจุดหมายที่ตึกคอนโดฯกลางเมืองของเบิ้ม ขณะที่เบิ้มซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับคอยสังเกตุสิ่งต่างๆ อยู่เสมอนั้น เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่รอพวกเขาอยู่… เขาสังเกตเห็นรถตำรวจจอดอยู่ที่หน้าตึกของเขาและกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าตึก

“เอ่อ พี่.. ผมเปลี่ยนใจแล้ว ช่วยเลยไปที่ขนส่งตรงแยกบางนาเลยละกันครับ อยากไปหาเพื่อนแถวชลบุรีซักหน่อย”
“จะไปขนส่งตะวันออกเหรอน้อง… ได้ๆ….. คนสมัยนี้เปลี่ยนใจกันเร็วจัง” แท๊กซี่รับด้วยสำเนียงเหน่ออีสาน
“เฮ้ย ไปไหนวะเบิ้ม ไม่กลับห้องแล้วเหรอ” ธนาถามจากด้านหลังด้วยความสงสัย
คานิซาว่าจับขาของธนาและทำสีหน้าให้ธนามองไปที่เบื้องหน้าซึ่งเป็นตึกคอนโดฯ ที่เบิ้มอยู่
เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่เมื่อพยายามเพ่งมองดูภาพที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา… “เออๆ.. ไปก็ไปวะ” ธนาตอบขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์ในแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลเข้ม
แสงไฟสาดส่องเข้ามาในรถเป็นจังหวะเมื่อรถค่อยๆ แล่นออกนอกเมืองด้านตะวันออกด้วยความเร็วในยามค่ำคืน เสียงเพลงลูกทุ่งบรรเลงจากลำโพงที่ท้ายรถแต่ชายทั้งสามไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ทั้งสามไม่พูดอะไรต่างมองเหม่อไปนอกหน้าต่างและครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมา

……………………………………….

แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างมุ้งลวงกรอบไม้บานเก่าที่ทรุดโทรม เสียงคลื่นกระทบฝั่งแว่วมาไม่ขาดสาย ลมทะเลพัดเข้ามาในห้องพักจนม่านสีหม่นปลิวตามแรงลม…. เบิ้มค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากอาการเหนื่อยล้า “นี่เราฝันไปหรืออย่างไร” เขาคิดเมื่อค่อยๆ รวบรวมสติ.. ขณะยันกายลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง.. ภาพโขดหินและหาดทรายที่เบื้องหน้ามองลอดผ่านช่องหน้าต่างทำให้เขาต้องหรี่ตาเพราะความสว่างของมัน… “นี่เราหนีมาถึงที่นี่เลยเหรอเนี่ย” เบิ้มคิดในใจ

“ตื่นแล้วเหรอวะ” เสียงงัวเงียแหบพร่าของธนาดังมาจากด้านข้างของเขา หากแต่ผู้ร่วมชะตากรรมอีกคนนึงดูจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย
“เมื่อเช้ารู้สึกไอ้คานิซังมันจะเดินออกไปไหนไม่รู้ว่ะ.. สงสัยออกไปจีบสาว” ธนาลุกขึ้นนั่งตาปรือหัวยุ่งเหยิงครึ่งหลับครึ่งตื่น
“เดี๋ยวกูเดินออกไปดูหน่อย ข้างในนี้ชักจะร้อนแล้ว” เบิ้มขยับตัวขึ้นนั่งที่ขอบเตียงเก่าขนาด6ฟุตครึ่ง
“โชคดีที่มาเกาะนี้.. กูรู้จักอยู่หลายคน ไม่งั้นคงหาห้องพักยากว่ะ” ธนารำพึงรำพัน “เดี๋ยวกูไปด้วยดิ.. นอนต่อไม่ไหวแล้ว” เขาลุกขึ้นและค่อยๆ เดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา

ทั้งสองเดินออกจากบังกะโลเก่าไปตามทางเดินปูนที่ทอดตัวตามโขดหินระหว่างสองหาดด้านทิศตะวันออกของเกาะใต้ร่มเงาของต้นไม้ เมื่อเดินมาถึงพื้นทรายของชายหาด ทั้งสองก็เริ่มสังเกตเห็นคานิซาว่าผู้ซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ร้านอาหารริมหาดกลมกลืนไปกับนักท่องเที่ยว
“อ้าว.. เฮ้ย ตื่นแล้วเหรอวะ” เขาหันมาทักทายชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังเดินมาตามหาดทรายสีขาว
“ตื่นนานแล้วเหรอวะ.. มึงนี่แปลงตัวได้แนบเนียนดีจังเลยนะ” เบิ้มทักทายพร้อมแซวเพื่อนเพลบอยผู้อยู่ในชุดกางเกงเลสีสันสดใส
“เอ๊า.. กูซื้อจากร้านป้าข้างๆ เนี้ยแหละ.. “ เขายิ้มตอบ “เออ นั่งก่อนๆ ลองดูข่าวนี้ดิวะ” เขาพับหนังสือพิมพ์ไปที่หน้าแรกและชี้ให้ชายหนุ่มทั้งสองดู.. ทั้งสองขยับเก้าอี้ไม้หยาบๆ ที่หนาหนักก่อนจะนั่งลงและพิจารณาที่หัวข้อข่าวต่างๆ
“ตกลงตำรวจนั่นโดนวิสามัญเลยเหรอเนี่ย.. กูว่าเขาดูเก่งดีออกนะ ตกลงว่าเป็นคนขายข้อมูล หรือเป็นคนรู้ความลับที่น่ากลัวนั่นกันแน่วะ” ธนาเงยหน้าขึ้นถามหลังจากอ่านหัวข้อข่าวพาดหัว

“อันนี้ก็ไม่รู้ว่ะ.. แต่จริงๆ มันมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อคืนวันก่อนนั้นมากกว่าที่เรารู้นะ” คานิซาว่าชี้นิ้วไปที่เนื้อข่าวย่อยในหน้าแรก

“ในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ขึ้นที่อาคาร DSI ซึ่งมีเปลวไฟและระเบิดเกิดขึ้นภายในห้องทำงานของสำนักงานตำรวจคดีพิเศษชั้นที่ 13 ซึ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าท่อส่งแก๊สที่ด้านหลังเกิดรั่วและทำให้เกิดไฟไหม้ที่สำนักงานตำรวจคดีพิเศษ ทางศูนย์ข้อมูล DSI แจ้งว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับร้อยตำรวจเอกภาคภูมิซึ่งเข้ารายงานตัวที่ สตช... ซึ่งขณะนี้หน่วยดับเพลิงได้เข้าสกัดเพลิงไหม้ และตอนนี้สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่คาดว่าความเสียหายจะทำให้ฐานข้อมูลทั้งหมดศูนย์สูญเสียและยังไม่สามารถประเมินได้ว่าฐานข้อมูลทั้งหมดจะสามารถกู้คืนได้”

“นี่มันหนังสือพิมพ์เก่านี่หว่า.... ข่าวไม่ทันสมัยเลย” ธนาบ่นขณะเพ่งอ่านเนื้อหา
“อยู่บนเกาะก็อย่างนี้แหละ ร้านป้าแกมีให้อ่านก็ดีแล้ว.. คนที่นี่เขาไม่รีบร้อนเหมือนคนกรุงหรอกว่ะ นี่ก็ข่าวแค่สองวันก่อนเอง.. เอาไรมากวะ” คานิซาว่าพูดพลางหยิบถ้วยกาแฟขึ้นซด

“มีการโยกย้ายนายตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษของ DSI ที่ขึ้นตรงกับร้อยตำรวจเอกภาคภูมิ อัตฮาฟ ให้ไปประจำการที่เขตชายแดนรัฐปัตตานีด่วน”

ทั้งสองอ่านเนื้อข่าวด้วยความตกตะลึง.... “อย่างนี้ข้อมูลก็ถูกทำลายไปหมด.. ไม่รู้ใครบงการในเรื่องนี้สินะ.. หรือกลุ่มอำนาจเก่า หรืออำนาจใหม่.. มึงว่าพวกเราจะปลอดภัยไม๊วะ” ธนาหันมามองเพื่อนทั้งสอง
“ตั้งแต่พวกเรามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่คืนวันก่อน ไม่มีใครรู้นะว่าเราข้ามมา... ส่วนนึงเพราะเราข้ามมาตอนกลางคืน และที่นี่ก็มีแต่เจ้าหน้าที่คอยมาเก็บเงินค่าเข้าอุทยานฯ... มันไม่ตรวจบัตรอะไรละเอียดหรอกว่ะ... มันไม่เหมือนตอนเราอยู่ในกรุงเทพหรอก... ที่นั่นแม่งตรวจคนเข้าออกละเอียด ใครไม่พกบัตรให้สแกนก็โดนติดตามและปรับหนักแล้ว จะว่าไปก็ตั้งแต่มีพวกวางระเบิดบ่อยๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนโน่น” เบิ้มตอบและพยายามหันไปมองพนักงานเสิร์ฟที่ด้านในร้าน

คลื่นทะเลที่ไม่ห่างออกไปนักยังคงยังคงซัดเข้าฝั่งอย่างไม่หยุดหย่อน แสงแดดเริ่มร้อนแรงมากขึ้น ชาวต่างชาตินอนอาบแดดอ่านหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้านต่อแสงแดด... ใต้ร่มเงาไม้ชายทั้งสามยังสนทนากันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขาและปริศนาซ่อนเร้น

“ตกลงเรื่องไซเบอร์เกิล ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดกับพวกเรานี่... มึงว่ามันจะเกี่ยวข้องกับปริศนาที่สารวัตินั่นพูดทิ้งเอาไว้ก่อนจะโดนฆ่ารึเปล่าวะ” ธนาเอ่ยขึ้นขณะกำลังดื่มน้ำเย็นหลังอาหารเช้าที่ร้านอาหารของบังกะโล
“อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่ะ... ตามที่กูคิดนะ.. ไซเบอร์เกิลก็คือแป๋ม ที่วางแผนทุกอย่างให้พวกเราเข้าไปขโมยข้อมูลจากเทมาเส็กเพื่อเอากลับไปลอนดอนให้กับผู้มีอำนาจคนนึงซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลลับพวกนั้น” คานิซาว่าพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด... “ซึ่งน่าจะอยู่ที่ๆ นายตำรวจคนนั้นบอกไว้ก่อนจากเราไปในคืนนั้น…. มีใครจำที่อยู่อันนั้นได้บ้างไม๊วะ” คานิซาว่าหันมองทุกคนขณะเอนหลังพิงพนักพิงไม้ก่อนจะหยิบซองบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ที่ไหนซักแห่งในลอนดอน.. แต่เขาว่าเป็นที่อยู่ที่คนมีอำนาจในอดีตของไทยเคยไปพัก” เบิ้มตอบและมองเหม่อดูขอบฟ้าที่เจิดจ้า
“ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วละว่าเธอมีความเกี่ยวข้องกับฐานอำนาจเก่าบางคนและคงทำงานให้พวกนั้นเพื่ออะไรซักอย่าง... กูว่าไม่นานเราคงจะได้รับรู้ทางข่าวหน้าจอหรือหนังสือพิมพ์แหละเพราะมันได้ข้อมูลที่มันต้องการแล้วนี่” ธนาสวนเสริมความน่าจะเป็นเกี่ยวกับแป๋ม
“มันก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละว่ะ... โชคร้ายที่พวกเราดันโชคดีกลายเป็นเหยื่อของความงามของหล่อน” เบิ้มพูดพลางถอนหายใจยาว

“ผ่านมากี่ปีๆ..... ที่นี่มันก็ยังเหมือนๆ เดิมนะ.. เกาะที่ไร้ระเบียบแบบไทยๆ.. แต่ความไม่เป็นระเบียบนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ.. คนที่เบื่อกับระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดของเมืองหลวงและความแออัดยัดเยียดก็มักจะหนีมาอยู่เกาะนี้กัน” เบิ้มพรรณาเมื่อมองไปรอบๆ

“เออ แล้วมือถืออันนั้นมึงหาที่ชาร์จแบ๊ตได้ยังวะ เห็นมันเปิดไม่ติดตั้งแต่ก่อนเราจะข้ามฟากมาเมื่อวานนี้นี่หว่า” ธนาเอ่ยถาม
“เมื่อเช้ากูไปยืมสายชาร์จของคนแถวนี้แล้วว่ะ พอดีมันเป็นรุ่นเก่าที่ไม่ค่อยมีใครใช้กันแล้ว.. น่าจะเป็นรุ่นซักสิบปีได้แล้ว เดี๋ยวเดินไปดูก่อน.. ฝากเขาชาร์จไว้ที่เคาน์เตอร์ว่ะ” คานิซาว่าตอบพลันลุกขึ้นและขยี้บุหรี่ที่เหลือครึ่งมวนกับที่เขี่ยแก้วใสบนโต๊ะไม้ตัวเก่า เขาเดินเท้าเปล่าในชุดกางเกงเลสีม่วงเข้มเปลือยอกเข้าไปภายในร้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตามสไตล์เพลบอย......... ไม่นานนักเขาก็เดินกลับมาและยื่นมือถือมาให้ธนา

“อ้าว มึงเปิดดูยังวะ” ธนาถาม
“ยังเลย.. เดี๋ยวนี้กูหวาดระแวงกับอุปกรณ์ไฮเทคแล้วว่ะ.. ถึงแม้เครื่องนี้มันจะล้าสมัยไปซักหน่อย แต่มาอยู่เกาะนี้ได้สองวันกูไม่ได้แตะต้องเทคโนโลยีเลย... รู้สึกดีไงไม่รู้” เขายิ้ม
“อ้าว ไรกันวะเนี่ย” ธนาทำสีหน้างุนงงและหันมาทางเบิ้ม... “มึงลองเปิดดูละกัน มึงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นนี่หว่า กูเป็นแค่เหยื่อผู้โดนลูกหลงเท่านั้นเอง” เขายื่นมือถือสีดำเครื่องเก่านั้นให้เบิ้ม..

เขารับมันมาและพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน.. “เป็นรุ่นเก่าซักสิบปีแล้ว แต่เป็นรุ่นธรรมดาๆ ไม่ได้มีช่องเสียบการ์ดเมมโมรี่....” เขาลองกดปุ่มเปิดค้างไว้ซักครู่จนหน้าจอเริ่มสว่างขึ้น “ไม่มีเบอร์ใครเก็บไว้ในนี้เลยว่ะ คงอย่างที่มันบอกมาละว่ามือถือนี้ซื้อซิมมาใหม่ไม่มีใครรู้เบอร์”
“อย่างนี้เราก็เอามาใช้ได้เลยดิ” ธนายิ้ม

“เอ.. มันแปลกๆ ว่ะ เครื่องมันขึ้นข้อความว่า ’low memory space’ พื้นที่เก็บข้อมูลใกล้เต็ม... เดี๋ยวกูเช็คดูก่อนว่าเครื่องมันเพี้ยนๆ รึเปล่า.. หรือมันเก็บพวกข้อความหรือรูปภาพอะไรอยู่” เบิ้มพูดขณะพิจารณามือถืออย่างจริงจังจนคานิซาว่าเริ่มสนใจและขยับเก้าอี้เข้าใกล้
“ไหนวะ ขอกูดูหน่อย” แฮ๊กเกอร์หนุ่มเริ่มสนใจขึ้นมาทันทีจนเบิ้มต้องส่งมือถือให้คานิซาว่าตรวจสอบ

เขาพลิกมือถือและกดเช็คสิ่งต่างๆ อย่างตั้งใจ.. “พื้นที่เก็บข้อมูล 50 MB ในตัวเครื่องถูกใช้เก็บข้อมูลจนเกือบเต็ม.. ถึงจะเป็นรุ่นที่ต่อการ์ดเก็บความจำภายนอกไม่ได้.. แต่ก็เป็นรุ่นที่มีหน่วยความจำในตัว.. สิบปีก่อนเครื่องมือถือแทบทุกรุ่น แม้แต่รุ่นกระจอกๆ แบบนี้ก็มีพื้นที่เอาไว้เก็บข้อความและเพลงต่างๆ ได้พอควรเลยนะ” คานิซังอธิบายถึงเทคโนโลยีมือถือเมื่อสิบปีก่อนจะกดปุ่มเช็คข้อมูลต่างๆ ในเครื่อง

“ไม่มีข้อความ ไม่มีภาพอะไรพิเศษ มีแต่ของพื้นๆ ในเครื่องเอง.. น่าแปลกจริงๆ...” เขาเพ่งที่หน้าจอของมือถืออย่างสงสัย... “หรือว่ามันจะใช้พื้นที่เก็บข้อมูลที่อ่านไม่ได้จากตัวเครื่องมันเอง อาจเก็บข้อมูลแทนพวก thumb drive ก็ได้” เขาสันนิฐาน

“อย่างนี้เราคงต้องเอาไปต่อกับคอมพ์เพื่อเช็คดูแล้วละว่ามีอะไร.. กูว่าอาจจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นายตำรวจคนนั้นบอกไว้ก็ได้” คานิซาว่าเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง

..............................................

แสงแดดเวลาเที่ยงวันแผดเผาให้ทรายที่ชายหาดร้อนระอุ เมฆฝนที่ปลายฟ้าด้านทิศตะวันออกดูจะไกลจากเกาะแห่งนี้มากนัก ทั้งสามค่อยๆ เดินก้มหน้าหลบแดดไปยังร้านอาหารที่ชายหาดอีกฝั่งหนึ่งของโรงแรมใกล้ๆ กับที่พักของพวกเขา... เพื่อทำให้พวกเขาดูกลมกลืนไปกับนักท่องเที่ยววัยรุ่นบนเกาะพวกเขาจึงนั่งสั่งอาหารกลางวันเพื่อนั่งทานใต้ร่มเงาต้นสนขนาดใหญ่ หมาหลายตัวนอนหลับใต้โต๊ะไม้ไผ่เพื่อหลบไอร้อนของแสงแดด.. น้ำแข็งในถังพลาสติกสีแดงบนโต๊ะดูจะทนกับสภาพความร้อนได้ไม่นาน เช่นเดียวกับพวกเขาที่ดูอยากจะคลี่คลายความสงสัยทั้งหมดจากสมมติฐานที่ว่ามือถือเครื่องนี้อาจเป็นที่เก็บข้อมูลลับสุดท้ายของนายตำรวจที่ทิ้งไว้ให้กับพวกเขาทั้งสาม

ไม่นานหลังจากทั้งสามเสร็จกิจกับอาหารทั้งหมด พวกเขาค่อยๆ ทยอยลุกไปที่ห้องอินเตอร์เน็ทใกล้ล๊อบบี้ของโรงแรมขนาดเล็กที่ด้านหลังนั่น เบิ้มติดต่อกับบริเวณเคาน์เตอร์เพื่อขอใช้บริการ... ธนาหายไปเข้าห้องน้ำที่ด้านหลัง ส่วนคานิซาว่านั่งสูบบุหรี่รอที่เก้าอี้ไม้ไม่ไกลจากล๊อบบี้นัก... ชั่วอึดใจเบิ้มก็กลับมาพร้อมบัตรสำหรับเข้าสู่ระบบและทั้งสองก็เดินเข้าห้องอินเตอร์เน็ทโดยธนาตามมาสมทบจากด้านหลังของล๊อบบี้

ภายในห้องกระจกสี่เหลี่ยมขนาด 5 ตารางเมตรมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ 5 เครื่องและมีหญิงชาวต่างชาติอยู่เพียงคนเดียวซึ่งหล่อนดูจะไม่สนใจกับชายหนุ่มทั้งสาม.. เมื่อพวกเขามาถึงคอมพิวเตอร์เครื่องที่กำหนด คานิซาว่าเอื้อมมือไปที่ด้านหลังของตู้เครื่องสีเงินที่ใต้โต๊ะและดึงสายเคเบิ้ลอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

“กันเอาไว้ก่อน เผื่อข้อมูลนี้มันอาจทำให้เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นได้” เขาหันมาบอกชายทั้งสองที่นั่งอยู่ด้านข้างก่อนจะหยิบสายเชื่อมต่อสัญญาณที่ดึงออกมาจากด้านข้างของคีบอร์ดและต่อเข้ากับส่วนล่างของมือถือสีดำนั้น.... “ดีที่มันเชื่อมกับช่องต่อ USB 4.50 ได้พอดี”

แฮ๊กเกอร์หนุ่มกดปุ่มต่างๆ บนคีบอร์ดอย่างคล่องแคล่งและระมัดระวัง ไม่นานนักหน้าจอก็ปรากฏข้อมูลต่างๆ แสดงถึงหน่วยความจำของที่เก็บข้อมูลต่างๆ บนเครื่องรวมไปถึง drive ใหม่ที่ปรากฏขึ้นซึ่งมันคือมือถือที่ตอนนี้เปลี่ยนตัวเองเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล flash drive ไปเสียแล้ว..

คานิซาว่าคลิ๊กเมาส์ไร้สายอย่างชำนาญการก่อนที่หน้าต่างข้อมูลต่างๆ จะแสดงขึ้นที่หน้าจอ... หญิงสาวผิวขาวชาวต่างชาติที่ปลายสุดของห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ดูจะไม่ได้สังเกตหรือสนใจกับความผิดปกติภายในห้อง ไม่นานนักเธอก็ลุกขึ้นและเดินจากไป กลุ่มชายหนุ่มหันมองจนหญิงสาวเดินหายออกจากห้องไปและหันกลับมาพิจารณาข้อมูลต่างๆ ที่เรียงตัวเองอยู่บนหน้าจอ

“ข้อมูลพวกนี้น่าจะเป็นข้อมูลที่สารวัติภาคภูมิดึงออกมาจากเครื่องโน๊ตบุ๊คของแนน หรืออาจเป็นข้อมูลจากสถาบันเทมาเส็กที่ถูกถอดรหัสแล้วก็เป็นได้” คานิซาว่าเพิ่งพิจารณาข้อมูลต่างๆ อย่างสนใจก่อนจะกดปุ่มอะไรต่างๆ บนแป้มพิมพ์.... ไม่นานนักหน้าต่างข้อความก็ปรากฏขึ้นเรียงตัวอันหลายอันซ้อนทับกันเหมือนเอกสารที่ถูกเปิดออกจากแฟ้ม

“เฮ้ย.. กูจำข้อความนี้ได้ว่ะ เหมือนเคยเห็นที่เครื่องคอมพ์ของแนนตอนที่เธอมาที่โรงแรมในวันนั้น” เบิ้มทำตาโตเพ่งมองที่ข้อความที่ขึ้นหัวของเอกสารแผ่นแรก.... “มันอาจเป็นชื่อย่อของ CyberGal666 ก็เป็นได้นะ” เขาชี้นิ้วไปที่ข้อความนั้นเพื่อให้ทุกคนสังเกตเห็น

Cyber G.A.L.– Government Alliance Leading System V. [June 1999]






Episode XXXI


Cyber G.A.L.– Government Alliance Leading System V. [June 1999]

“มึงกำลังจะบอกว่า CyberGal ย่อมาจาก Government Alliance Leading System งั้นเหรอวะ” ธนาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจกับข้อความนั้น
“กูจำได้แล้วว่ะ ตอนนั้นแนนเขาเปิดโน๊ตบุ๊คของเธอเพื่อตรวจสอบไฟล์ที่อยู่ใน XXD card ที่ได้มาจากเทมาเส็ก ถ้าจำไม่ผิดเครื่องของหล่อนหน้าจอมันเคยขึ้นว่า Cyber-G.A.L. Backdoor Gateway หรืออะไรซักอย่างเนี่ยแหละ” เบิ้มพยายามนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน

“Backdoor GateWay เหมือนเป็นทางเข้าข้อมูลเพื่อควบคุมตัวโปรแกรมอีกทีนึง..” คานิซาว่าเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เบิ้มเล่าถึง
“มึงดูตัวเลขในวงเล็บด้านหลังสิ มันเขียนเหมือนเป็นเวอร์ชั่น ที่เขียนว่า june 1999 ซึ่งคือ 20 ปีก่อน.. เป็นช่วงก่อนเข้าสหัศวรรษใหม่ เคยมีคนบอกว่าปีนั้นมีตัวเลข 666 ซึ่งเป็นรหัสของปีศาจปรากฏขึ้นจากปี 1999 ที่มองกลับหัว.. ซึ่งมันก็ตรงกับชื่อ CyberGal666 เลยนะ” เบิ้มวิเคราะห์รายละเอียดจนเพื่อนทั้งสองทำหน้าตกตะลึง
“ลองดูเนื้อหาใต้หัวข้อนี้ดีกว่าว่ะ... มันเป็นภาษาอังกฤษว่ะ” เบิ้มชี้ชวนให้เพื่อนทั้งสองอ่านรายละเอียดในเอกสารที่เกี่ยวกับ CyberGal666 นั้น

“มันบอกว่า CyberGal เป็นโปรแกรม bot ที่ทำงานด้วยตัวเองสำหรับควบคุมประชากร ใช้มอมเมาและล้วงข้อมูลได้จากทุกที่... เป็นยุทธศาสตร์กำหนดความคิดของประชากรในประเทศว่ะ.... เฮ้ยไม่น่าเชื่อ!!!” เบิ้มทำสำหน้าตกใจ

“ตรงนี้น่าสนใจ... เพื่อควบคุมประชากรของประเทศโลกที่สาม.. CyberGal ถือเป็น 1 ในหลายๆ สิ่งที่กลุ่มผู้นำของประเทศที่มีอำนาจในโลกส่งให้ผู้นำประเทศล้าหลังนั้นๆ นำไปใช้.. ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องพื้นๆ พวกนี้จะเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมประชากรได้ด้วยว่ะ.... ไม่น่าเชื่อจริงๆ” ธนาทำสีหน้าประหลาดเมื่ออ่านข้อมูล... “มันบอกว่าเพื่อจัดระเบียบโลกใหม่ new world order ด้วย..”

“สื่อมอมเมาต่างๆ ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ท สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสำคัญ แต่เป็นอาวุธใช้ควบคุมความคิดประชากรได้งั้นหรือนี่” เบิ้มเสริม

“จะว่าไปก็เป็นไปได้ว่ะ” คานิซังมองที่หน้าจอก่อนจะเสริมต่อ “ตั้งแต่กูจำความได้ แทบจะทุกบ้านในประเทศเราแม่งดูละครน้ำเน่าก่อนนอนทุกวันเลย.. สมัยเด็กๆ กูก็เป็นนะ หลายคนที่กูเคยนั่งดูละครด้วยกันบางทีก็เบลอๆ ไป.. หลายหนชอบตกอยู่ในภวังค์เรียกแล้วไม่ตอบ เหมือนถูกสะกด.... 2-3 ชั่วโมงที่หายไปก่อนนอนนี่มันจะเรียกว่ากล่อมประสาทได้รึเปล่านะสำหรับคนแทบจะทุกครอบครัวในบ้านเมืองเรา คนได้ดูอะไรที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า มึงว่ามันจะทำให้ฉลาดน้อยลงรึเปล่า” เขาตั้งคำถามกับเพื่อนทั้งสอง

“มองย้อนกลับไป...คนในบ้านเมืองเรานี่ก็ไหลไปตามกระแสและถูกครอบงำง่ายซะด้วยสิ” เบิ้มเสริม

“ลองดูข้อมูลหน้าอื่นดูสิ มันอาจจะบอกมึงเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นก็ได้ แต่ไอ้เรื่อง CyberGal666 นี่มันใช้ครอบงำประชาชนได้.... กูยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่ะ” ธนายังไม่เชื่อข้อมูลที่แสดงบนหน้าจอ

“สมัยเรียนกูมีเพื่อนหลายคนนะที่เล่นเน็ทจนติด บางคนนั่งคุยกับใครก็ไม่รู้วันๆ นึงก็หลายชั่วโมง ตอนเรียนแรกๆ มันเรียนดีมากนะ หลังๆ แม่งติดเน็ทมากจนการเรียนเสียหมดเลย หลายคนมึงก็เคยเจอ มันบ้าพวกเกมออนไลน์ นั่งคุยกับใครก็ไม่รู้ เพ้ออยู่ในโลกแห่งความฝัน.. เคยมีคนบอกไว้เหมือนกันว่าอะไรๆ มันช้าลงไปกว่าแต่ก่อนเยอะ ยิ่งเทคโนฯ ต่างๆ แม่งพัฒนาเร็วขึ้นไปมากเท่าไหร่ ประเทศชาติเรายิ่งพัฒนาช้าลงเท่านั้น... จะว่าไปแทบจะทุกออฟฟิตก็เล่นโปรแกรมแช๊ต (Chat) กันตลอดเวลาเลยนะ มันทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ” เบิ้มชี้ถึงความเป็นไปได้ของพิษร้ายของโลกไซเบอร์ที่อยู่ในสังคมมาเกือบ 20 ปี

“ไร้สาระว่ะ ใครๆ แม่งก็เล่นกันมั้ง มึงก็คิดมากเกินไป” ธนาทำน้ำเสียงไม่ค่อยเชื่อ “แล้วมันจะไปเกี่ยวข้องกับเทมาเส็กอะไรนั่นยังไงวะ” เขาแย้งขึ้น
เบิ้มทำสีหน้านิ่งราวกับกำลังหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อของเขา

“เฮ้ย พวกมึงเลิกเถียงกันดีกว่า.. กูว่าที่เบิ้มมันพูดก็มีเหตุผลนะ.. มึงลองดูเอกสารตัวนี้ดู” เขาชี้ให้ชายทั้งสองสนใจข้อมูลที่หน้าจอ “มันว่า CyberGal จะเลียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจนกลมกลืนกับวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ” เขาแปลข้อความและอ่านให้เพื่อนทั้งสองฟังก่อนจะหันมาที่เบิ้ม “กูว่าที่แนนมันเข้าสู่ Back Door Gateway ของ CyberGal ได้ มันก็คงจะใช้ความสามารถในตัวโปรแกรมตัวนี้เพื่อสวมรอยและเจาะเข้าข้อมูลของที่ต่างๆ ได้..”

“เฮ้ย ดูตรงนี้สิ.. มันเขียนว่าโครงการไซเบอร์เกิลปิดตัวลงไปตั้งแต่ปี 2010 ประมาณ 10 ปีก่อนแล้ว.. ตั้งแต่ตอนน้ำท่วมใหญ่คราวก่อนโน้นที่เทมาเส็กเจอปัญหาน้ำท่วมหนักจากภาวะโลกร้อน” เบิ้มเพ่งสายตาอ่านข้อความภาษาอังกฤษที่บรรทัดล่างๆ
“แต่สถาบันเทมาเส็กยังตั้งอยู่ในหลายๆ ประเทศที่มันให้การช่วยเหลือนี่หว่า.. พวกเราก็เคยไปกันมาไม่ใช่เหรอ” คานิซาว่าหันไปบอกกับเบิ้ม

“นั่นสินะ.. แต่ถ้ามันบอกว่าโปรแกรม CyberGal สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองและปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของแต่ละชาติ แสดงว่ามันต้องเป็นโปรแกรม AI (Artificial Intelligence) ที่อาจฝังตัวเองไว้ในไซเบอร์สเปซก็เป็นได้“
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น “แนนเคยทำงานที่เทมาเส็ก แป๋มกับแนนเป็นเพื่อนกับอยู่ที่ลอนดอนและอยู่ที่บ้านที่อดีตผู้มีอำนาจในไทยเคยไปอยู่ อันนี้ก็คงจะบอกได้ว่าแป๋มและแนนน่าจะทำงานให้กับใครซักคนที่เคยมีอำนาจและอยู่ที่ลอนดอน..... นายตำรวจคนนั้นก่อนจากเราไปเคยบอกว่าข้อมูลเหล่านี้เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศเราตั้งแต่อดีตกาล.. เขายังพูดถึงดาวเทียมและรวมไปถึงคอคอดกระด้วย” เบิ้มรำพึงรำพันและพยายามเรียบเรียงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน..... “เป็นไปได้ไม๊ว่าข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในเทมาเส็ก เป็นข้อมูลที่อดีตผู้มีอำนาจของประเทศเราเคยได้ทำเอาไว้ร่วมกับเทมาเส็กตั้งแต่อดีต... แต่ถ้าเกิดเขาเหล่านั้นต้องการล้างมลทินก็จำเป็นต้องกำจัดข้อมูลลับเหล่านั้นให้หมด... สำหรับคนที่เคยอยู่ฝ่ายพัฒนาข้อมูลของเทมาเส็กอย่างแนน หล่อนคงจะรู้ว่าเคยมีโปรแกรม CyberGal ที่ใช้ควบคุมประชากรและใช้เจาะข้อมูลที่ไหนก็ได้” เบิ้มหยุดนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวิเคราะห์ต่อ.. “ก็อย่างที่เรารู้ว่าเทมาเส็กมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น ทั้งสองเลยต้องหาคนที่จะมาขโมยข้อมูลเหล่านั้นแทนพวกหล่อนเพื่อหลบเลี่ยง.. ซึ่งเราก็เป็นผู้โชคดีได้เป็นตัวแทน” เบิ้มสรุปปิดท้าย

“ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญว่ะ กูว่าพวกมันคงเลือกตัวผู้เล่นเอาไว้แล้วล่ะ.. ถ้าลองเอาใครมามั่วๆ จะแก้ปริศนาต่างๆ หรือเจาะข้อมูลได้แบบที่เกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ.. จะว่าไปมันก็ทิ้งปริศนาเอาไว้หลายจุดนะ อาจจะลองมาแล้วกับหลายคน แต่มึงดันแก้ปริศนาได้ ก็เลยหลุดไปทีละด่านจนเอาข้อมูลออกมา.. แม้แต่ถอดรหัสเข้าเครื่องของแนนพวกเราก็ทำกันมาแล้ว ซึ่งบางครั้งมันไม่ใช่แค่จะเป็นแฮ๊กเกอร์ก็ทำได้นะ ปริศนาบางอย่างกูใช้เทคนิคทางโปรแกรมหาไม่ได้นะ” คานิซาว่าเสริมขณะเพิ่งมองและเลื่อนข้อมูลต่างๆ บนหน้าจอ...

“มันก็จริงนะ.. เหมือนมีการวางแผนเอาไว้เหมือนกัน” เบิ้มหันไปที่สวนด้านนอกห้องกระจก ผู้คนดูจะไม่มีใครสนใจกลุ่มของพวกเขาในห้องกระจก... ผู้คนต่างเฮฮากับบรรยากาศโดยรอบ บ้างก็นั่งเล่นไพ่กันอย่างจริงจัง… “ถ้าจำไม่ผิด สมัยเด็กๆ เวลาเข้าเวปเล่นเกมปริศนาหรือเวปอะไรก็ตาม มันก็จะให้เราสมัครลงทะเบียนและต้องใส่ชื่อกับพาสเวิร์ดไว้แทบจะทุกเวปเลย... ข้อมูลพวกนี้ถ้าเราเข้าหลายๆ หนมันก็พอจะมีประวัติหรือสถิติอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้นะ.. ยิ่งถ้าบอกว่า CyberGal เป็นโปรแกรมที่ฝังตัวอยู่ในเน็ทและเจาะข้อมูลเข้าได้ทุกที มันก็คงจะหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราได้จากหลายๆ เวปในช่วงหลายปีนี้... กูว่าถ้าแนนหรือแป๋มเข้าควบคุมโปรแกรม CyberGal ได้ เธอก็น่าจะรู้ได้ว่าใครที่เธอพอจะใช้ได้ ใครที่ชอบเรื่องราวแบบไหน ใครถอดรหัสอะไรได้”

“ก็เป็นไปได้... ถ้าเราได้เข้าไปควบคุมโปรแกรม CyberGal จากโน๊ตบุ๊คของแนนดู.. เราก็คงจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้.. แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันก็ไหม้ไฟไปหมดแล้ว นับว่าเป็นการทำลายหลักฐานได้ดีทีเดียว” คานิซาว่าสรุป

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะกระจกใสจากด้านนอกทำให้ชายทั้งสามสะดุ้ง... หญิงสาวจากเคาน์เตอร์เดินมาเปิดประตูและไม่พูดอะไร เธอเดินตรงมาที่เครื่องที่กลุ่มชายหนุ่มทั้งสามนั่งก่อนจะก้มลงมองที่ตัวเครื่องและหันมามองคานิซาว่า “สายเคเบิ้ลมันหลุดได้ไงกันคะเนี่ย”.. เธอทำหน้าฉงน

“อ้าว เหรอครับ.. มิน่าละเข้าเน็ทไม่ได้เลย” แฮ๊กเกอร์หนุ่มแกล้งทำซื่อ “เดี๋ยวผมต่อสายให้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” เขาก้มหยิบสายเคเบิ้ลเส้นเล็กมาถือไว้พลางยิ้มให้กับพนักงานสาว.. เธอมองไปที่หน้าจอที่ยุ่งเหยิงก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่ใยดีอะไร

ทั้งสามถอนหายใจยาวและมองหน้ากัน... ธนาเอ่ยขึ้นในความเงียบ “กูว่ามึงจะดูอะไรก็รีบดูเหอะว่ะ เดี๋ยวความซวยเข้ามาเยือนอีก คราวนี้กูไม่เอาด้วยแล้วนะ” เขาตัดบทด้วยความเบื่อหน่าย

“เดี๋ยวขอตรวจดูข้อมูลอีกทีนึงก่อนว่ะ.. เผื่อจะแก้ปริศนาอะไรได้” คานิซาว่าตอบและหันไปเพ่งพิจารณาที่หน้าจออีกครั้งนึง
“กูว่าเราสรุปกันได้แล้วละ” เบิ้มพูดเสียงเนิบๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นความซวยของพวกเราทั้งหมดที่เขาไปเป็นหมากให้กับผู้มีอำนาจ... ซึ่งจะว่าไปเราก็เหมือนคนอีกหลายคนที่เป็นเหยื่อหรือเป็นเบี้ยให้กับผู้ที่อยู่ในระดับชั้นปกครอง”

เขานิ่งก่อนจะพูดต่อ “บ้านเมืองเรา.. ต่อให้เรารู้ความลับอะไรมากมาย เราก็ทำอะไรไม่ได้.. มันเหมือนมีอำนาจมืดหรืออิทธิพลอะไรบางอย่างที่เรามองไม่เห็น แต่พวกนี้มันคอยดูเราอยู่นะ” เขาหยิบมือถือสีดำขึ้นดู “ลองมึงเผยแพร่ข้อมูลพวกนี้ออกไป ก็ต้องมีคนมาแถลงข่าวว่าไม่จริง อำนาจพวกนี้มันครอบสื่อแทบจะทุกแขนง มึงจะไปสู้อะไรได้ คนส่วนใหญ่ก็พลอยจะคล้อยตามอยู่แล้วด้วย”
“สุดท้ายเราอาจมีชะตาแบบนายตำรวจคนนั้น.. คนที่อยากจะทำอะไรดีๆ กับบ้านเมือง” เบิ้มสรุปปิดฉากก่อนจะดึงสายเคเบิ้ลสีเทาออกจากมือถือเครื่องนั้น

คานิซาว่าไม่ได้ตอบอะไร เขาหันไปที่หน้าจอและกดปิดหน้าต่างทุกหน้าที่แสดงอยู่... เขาล้างข้อมูลอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยว่าได้มีการเปิดข้อมูลเหล่านี้ในเครื่องก่อนจะกดปุ่ม restart เครื่องเพื่อให้โปรแกรมล้างเครื่องใหม่อีกรอบก่อนจะก้มลงเสียบสายเคเบิ้ลเข้าที่ด้านหลังของเครื่อง

ทั้งสามเดินออกมาจากห้องกระจก เบิ้มเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายค่าอินเตอร์เน็ทส่วนชายทั้งสองเดินตรงไปที่หาดทรายและยืนรอบเขา.. ไม่นานเบิ้มก็ตามมาสมทบพวกเขายืนดูกลุ่มเมฆฝนที่เคลื่อนตัวผ่านไปพร้อมความเย็นที่สัมผัสได้.. ลมพัดให้เมฆลอยหายไปทางหลังเขา คานิซาว่าหยิบมือถือสีดำเครื่องนั้นขึ้นมาดูและส่งต่อให้เบิ้ม... เขาหยิบมันขึ้นมาดูและกดปุ่มปิดเครื่อง.... ทั้งสามเดินตามชายหาดผ่านผู้คนมากมายไปที่โขดหินที่แบ่งอ่าวทั้งสองออกจากกัน...

เบิ้มซึ่งเดินนำเลยมาที่โขดหินเดินอ้อมขึ้นไปนอกเส้นทางเดินเท้าตามปกติและมาหยุดที่ใต้ต้นสน เพื่อนทั้งสองเดินตามขึ้นมาอย่างแปลกใจ เบิ้มซึ่งยืนรออยู่เอ่ยขึ้น “กูว่า ช่างหัวมันเหอะว่ะ ตอนนี้ขออยู่อย่างปลอดภัยซักหน่อยดีกว่า รัฐบาลบ้านเมืองเราแต่ละชุดก็ไม่เคยจะทำให้ประชาชนไทยชื่นใจได้ซักที เรื่องที่เรารู้นี้บอกออกไปเราก็มีแต่เดือดร้อน”

เขานั่งลงที่โขดหินและดึงถุงพลาสติกออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะใส่มือถือลงไปและพันถุงรอบมือถือ “ไว้รอเวลาเหมาะๆ ให้เรื่องพวกนี้มันจางหายไปก่อน แล้วเราค่อยส่งต่อข้อมูลนี้ให้คนที่ควรจะได้รับดีกว่า” เขามองไปรอบๆ ตัวและหยิบก้อนหินมาขุดหลุม เขาขุดอยู่ซักพักนึงจนเหงื่อเริ่มไหลเต็มใบหน้า “คงจะได้แล้วล่ะ” เบิ้มวางถุงที่ใส่มือถือนั่นลงในหลุมก่อนจะกลบมันด้วยดินที่ขุดขึ้นมา ทั้งสามช่วยกันกลบจนมิดชิดก่อนจะวางหินอีกหลายก้อนทับลงไปเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงตำแหน่ง.....

“ซักวันนึง เราจะกลับมาเอาข้อมูลนี้กลับไป.. วันที่มีคนดีๆ ที่มีอำนาจเข้ามาบริหารประเทศ.. วันที่อำนาจมืดและอิทธิพลหมดไปจากประเทศ.. วันที่ประเทศเราพัฒนาและไม่ได้อยู่ในอำนาจของประเทศไหน” เบิ้มพูดจบและลุกขึ้นยืนเช็ดเหงื่อที่ไหลเต็มใบหน้า

“มันจะมีวันนั้นรึเปล่า.... นั่นคือสิ่งที่กูสงสัยเท่านั้นแหละ” ธนามองเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าที่เคลือบไว้ด้วยความสงสัย

ทั้งสามเดินกลับสู่เส้นทางเดินเท้า และเดินกลับสู่ที่พักที่อยู่ไม่ห่างออกไป... เสียงคลื่นยังดังตามจังหวะที่คลื่นซัดเข้ากระทบกับโขดหินอย่างที่มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่โบราณกาล... แสงแดดกลับมาสาดส่องอีกครั้งหลังเมฆฝนถูกพัดหายไป ชายทั้งสามเดินกลับโดยทิ้งปมเรื่องราวต่างๆ ไว้ที่ด้านหลัง... สิ่งที่พวกเขาสัญญาและหวังเอาไว้ ภายในจิตใจของทั้งสามก็รู้ว่ามันมีความเป็นไปได้และไม่น่าจะเป็นไปได้พอๆ กัน.. แต่บางอย่างในบ้านเมืองนี้มันก็คงจะเกินความสามารถที่พวกเขาจะแก้ไขได้ บางอย่างหมักหมม บางอย่างฝังรากมาแต่กาลก่อน ผู้คนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทุกอย่างก็เพื่ออำนาจและบารมี.. สุดท้ายอำนาจและลาภยศก็ไม่อยู่ยั่งยืน... ทั้งหมดก็กลับสู่ดินและหนีไม่พ้นความจริงตามธรรมชาติ..

ไซเบอร์เกิลจะมีจริง หรือจะเป็นแค่กระแสไฟฟ้าในโลกเสมือนแห่งไซเบอร์สเปซก็ตาม สุดท้ายเมื่อโลกถึงกาลอวสาน ก็คงไม่มีอะไรจะคงอยู่เป็นนิรันดร์ได้...

The End



Create Date : 13 มีนาคม 2550
Last Update : 13 มีนาคม 2550 19:04:02 น.
Counter : 459 Pageviews.

8 comments
  
ว้าว จบจนได้

เขียนดีขึ้นกว่าตอนที่หนึ่งมากมาย

สู้เค้านะเฮียเบิ้ม *-*
โดย: PADAPA--DOO IP: 210.75.123.194 วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:19:47:55 น.
  
โอ้ว กำลังจะบอกว่าดีจังวันนี้เข้ามาได้อ่านตอนยาวๆ ติดต่อกันเต็มอิ่มเลย
อ้าว ปรากฏว่าจบแล้วเหรอค่ะ .. อ่านกำลังเพลินเลยน๊าขอบอก ..
โดย: JewNid วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:22:20:36 น.
  
เกรงใจคนอ่านน่ะครับ... ทิ้งเอาไว้นาน พาลจะเบื่อ
โดย: biggg วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:22:52:36 น.
  
ตอนจบเนี่ยเข้ายุคสมัยปี 2007 ดีจัง

บุคคลทั้งสามที่มีความทรงจำฝังแน่นตั้งแต่สมัย 10 กว่าปีก่อน ทั้งเรื่องการเมือง สังคม อิทธิพล

หวังว่าในอนาคตสังคมคงไม่ได้มีแต่เรื่องการเมือง จนลืมเรื่องวัฒนธรรม ความมีน้ำใจ ความรัก ที่ควรมีต่อกัน

แล้วทั้งสามคนเนี่ยไม่มีแฟนเลยเหรอ น่าสังเกตนะ อยู่มาตั้งนานไม่มีหญิงสาวข้างกาย

.
.
.

ขอบคุณค้า ได้อ่านจนจบ เต็มอิ่ม
โดย: belittle big IP: 125.25.144.69 วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:10:38:53 น.
  
โอ ว้าวว!!
มาทีเดียวสามตอน แล้วจบแล้ว
จะทะยอยอ่านครับ
(ขณะพิมพ์ ยังไม่ได้อ่านครับ )
โดย: King Of Pain วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:11:44:32 น.
  
จบแล้วนี่นา ตอนจบนี่สะท้อนได้ถึงหลายๆ อย่างเลยนะครับ
โดย: เข็มขัดสั้น วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:13:06:15 น.
  
ยังอ่านไม่จบเลยครับท่าน
ติดภาระบางอย่าง สิ้นเดือนจะมาอ่านให้จบครับ
โดย: King Of Pain วันที่: 22 มีนาคม 2550 เวลา:19:32:44 น.
  
ฉํนชื่อ ไอโก๊ะ ไอจังอยากได้ ...ผ
โดย: ไอโก๊ะ IP: 117.121.214.74 วันที่: 25 สิงหาคม 2551 เวลา:18:08:41 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biggg
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



my everyday life on EARTH

New Comments
มีนาคม 2550

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
13 มีนาคม 2550