การเดินทางคือประสบการณ์ใหม่ๆ

ใกล้เข้าสู่ปีใหม่แล้วในอีกไม่กี่วันหลายคนคงเดินทางไปพักผ่อนท่องเที่ยวตามต่างจังหวัดและต่างประเทศ ส่วนตัวผมเองปีใหม่นี้ก็คงอยู่กทม.ละครับไม่ได้ไปไหน จริงๆที่ทำงานเขาให้หยุดมาตั้งแต่เมื่อ 19 ธ.ค. ก็เลยว่าจะแบ่งๆ ไปหลายๆ ที่ก็เลยได้พาแม่ไปเยือนมาเก๊ามาเมื่อช่วง 21-23 ธ.ค. ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ของผมเนื่องจากเคยไปมาแล้วหนนึงเมื่อ 2ปีก่อนหน้านั้นแต่อยากพาแม่ให้มาดูบ้านเมืองของที่นี่บ้าง

เอ่ยถึงมาเก๊าร้อยละ 99 คงคิดว่าเป็นเมืองแห่งการพนัน ซึ่งก็คงไม่ผิดอะไร แต่จริงๆ แล้วมันมีวัฒนธรรมต่างๆ รวมทั้งสถานที่ซึ่งเป็นมรดกโลกอยู่มากมายทีเดียว ผมมามาเก๊า 2 รอบไม่ได้เสียเงินกับการพนันเลยซักบาทเดียว บอกไปคนก็คงงงว่ามันมาทำอะไรที่มาเก๊า ก็มาเดินเที่ยวชมสถานที่ วิถีชีวิตของผู้คนและประวัติศาสตร์ของเมืองเขาน่ะ


เรื่องการท่องเที่ยวมาเก๊านั้นคงไม่ขอเอ่ยมากนะครับเพราะว่าคงมีคนรีวิวกันมากมายตามเวปบอร์ดต่างๆ หาไม่ยากหรอกครับ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะพูดถึงคือการท่องเที่ยวแบบธรรมดาๆ นี่แหละ ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็ได้ไปท่องเที่ยวกับครอบครัวตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศโดยทั่วไปเราจะไปตามแหล่งท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงกันอยู่แล้ว ซึ่งก็คงสวยงามน่าประทับใจละครับ การท่องเที่ยวมันมีอยู่ 2 วิธีที่มนุษย์ทั่วๆ ไปเขาทำกัน คือ (1) ซื้อทัวร์ และ(2) ไปเอง ซึ่งวิธีซื้อทัวร์นั้นเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด เหมาะกับผู้ที่ขี้เกียจดำเนินการทำอะไรให้ปวดหัวและเหมาะกับผู้สูงวัยด้วยเพราะมันใช้พลังงานน้อยที่สุด ส่วนอย่างหลังคือการเดินทางไปด้วยตัวเองซึ่งอาจจะวุ่นวายนิดหน่อย แต่สมัยนี้ก็ทำได้ไม่ยากนักใครหาข้อมูลเก่งๆ หน่อยก็จะยิ่งสะดวกสบายมากขึ้นยิ่งเทคโนโลยีไปไกลและเร็วทำให้ข้อมูลข่าวสารหาได้ง่าย


ความต่างระหว่างการเดินทางด้วยทัวร์และการเดินทางด้วยตัวเองนั้นนอกจากความสะดวกสบายแล้วประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะพูดถึงคือประสบการณ์ที่เราได้รับที่แตกต่างกัน ลองนึกดูนะครับการท่องเที่ยวด้วยทัวร์คุณจะเจออะไรบ้างคุณอาจได้ไปเห็นสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งอย่างสะดวกสบายด้วยการเดินทางที่ทางทัวร์จัดการให้ (ส่วนใหญ่จะเป็นรถบัส) เวลาบนรถบัสมักเป็นเวลาส่วนใหญ่ของการท่องเที่ยว ส่วนเวลาสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวมักจะมีเวลาให้ประมาณ 30 นาที (หรือขึ้นอยู่กับขนาดของสถานที่ท่องเที่ยว) เช่น นั่งรถมา 1 ชม. ดูสวน 30 นาที หลังจากนั้นก็จะพาไปกินอาหาร (มักเป็นโต๊ะจีน) ที่ร้านอาหารที่ทัวร์กำหนดไว้แล้ว อาหารแบบกลางๆ ที่กินได้ไม่ยากนัก กินเสร็จก็เดินทางต่อไปยังสถานที่อื่นต่อไปด้วยรถบัสและจะมีแวะซื้อของในสถานที่ซึ่งทัวร์กำหนดไว้แล้ว (ก็เขาได้ส่วนแบ่ง) โดยสถานที่ซื้อของเหล่านี้มักให้เวลาในการซื้อเต็มที่



ในขณะที่การเดินทางด้วยตนเองนั้นมันวุ่นวายตั้งแต่ตอนจะคิดไปเมืองไหนแล้วละ มาเก๊าอาจจะเป็นอะไรที่ง่ายหน่อยเพราะมันไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่ถ้าเป็นประเทศที่มีรายละเอียดเยอะก็จะต้องมีการวางแผนการท่องเที่ยวต่างๆ นาๆ วางแผนการเดินทาง กำหนดเส้นทาง จองโรงแรม จองกิจกรรมต่างๆ หาร้านกิน ฯลฯ ซึ่งมันจะเหนื่อยกว่าไปทัวร์เยอะ แต่กิจกรรมและเวลาต่างๆ ที่ได้พูดถึงด้วยรูปแบบการท่องเที่ยวแบบซื้อทัวร์นั้นจะตรงกันข้าม กินอาหารแบบคนท้องถิ่น (อาจเป็นร้านข้างทาง) เดินทางแบบคนท้องถิ่นเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวตั้งแต่สถานีรถไฟหรือป้ายรถเมล์ไปจนถึงตัวสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ใช้เวลาตามแต่อารมณ์และบรรยากาศ... แต่มันก็จะเหนื่อยและเมื่อยขา (ไม่แนะนำสำหรับผู้สูงวัย)


จริงๆ ประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงมันไม่ได้เกี่ยวกับความต่างของทั้ง 2 รูปแบบการท่องเที่ยวหรอกครับ การเดินทางท่องเที่ยวที่ไหนๆ นั้นมันย่อมดีอยู่แล้ว การเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆจะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมความรู้ ไปท่องเที่ยวในประเทศก็จะได้เจอสถานที่แปลกใหม่และได้พักผ่อนแต่ถ้าได้เดินทางไปต่างประเทศจะยิ่งทำให้เราค้นพบอะไรใหม่ๆ มากมายมากกว่าในหนังสือหรือในอินเตอร์เน็ทที่ไม่สามารถบรรยายทุกสิ่งอย่างในสถานที่แห่งหนึ่งได้


ยกตัวอย่างเช่น เรามาถึงวัดโบราณแห่งหนึ่ง ในอินเตอร์เน็ทก็สามารถแสดงรูปภาพได้ในระดับหนึ่ง ในมุมมองของช่างภาพที่ต้องการถ่ายทอด ในหนังสืออาจบรรยายสภาพของสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และสภาพแวดล้อมได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเราไปยืนอยู่ที่นั่น สิ่งที่เราสัมผัสได้นอกจากทางการมองเห็นด้วยตาแล้วยังมีเสียงที่เราได้ยิน กลิ่นที่เราสูดดมได้ อากาศที่แตกต่าง สภาพความเก่าของอาคาร กลิ่นของควัน ลมพัดที่เย็นหรือร้อน ความชื้นที่เรารู้สึก ผู้คนรายรอบ ถนนที่ปูด้วยหินโบราณ ป้ายไม้ที่แกะสลักมาหลายร้อยปี หินที่มีรอยขูดขีดอายุนับพันปี คนแก่ที่มานั่งเล่นหมากรุกที่ใต้ต้นไม้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเล่าได้หมด หรือบรรยายได้เพียงหน้าเวปไซต์หรือหนังสือเพียง 1-2 บท แม้แต่คนเขียนอาจไม่มีประสบการณ์หรือการรับรู้ที่เหมือนกับเรา


การที่มีคนพูดว่าเที่ยวเมืองไทยให้ครบก่อนเถิดค่อยไปต่างประเทศ หรือการไปต่างประเทศมันเป็นการเสียดุลย์การค้าให้กับต่างชาติมันเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เราต้องเพิ่มเติมให้กับตัวเรานอกเหนือจากความบันเทิงแล้วมันคือประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่เราจะได้จากการเดินทาง แต่ไม่ใช่การเดินทางประเภทช๊อปปิ้งนะครับ ผมพูดถึงการเดินทางและศึกษาสภาพแวดล้อมศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็ทำกันอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่ได้ทำก็อยากจะเชิญชวนให้เดินทางสู่สถานที่ใหม่ๆ นอกประเทศบ้าง


การเดินทางออกนอกประเทศยังช่วยพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเดินทางไปยังประเทศที่เจริญกว่าเราจะพบว่าประเทศเรายังมีอะไรหลายๆ อย่างที่ต้องปรับปรุง เอาเรื่องง่ายๆ แค่พวกระบบขนส่ง ระบบสาธารณูปโภค ปัจจัยพื้นฐานการอยู่อาศัยของประชาชนในเมืองนั้นๆ อาหารการกิน ฯลฯ เรื่องเหล่านี้แค่เราไปยังเมืองๆ หนึ่งเราก็พอจะแยกแยะได้แล้วว่าเมืองนี้มันดีกว่าหรือแย่กว่าเมืองที่เราอยู่ เช่นสมมติไปเมืองไคโร อียิปต์ เราจะพบว่า เทศบาลของที่นี่ทำงานได้ย่ำแย่กว่าของไทยเยอะ สกปรกกว่าไทย อากาศมีฝุ่นละอองมาก อากาศแห้ง ถนนหนทางแย่กว่าไทย ทางเท้าทรุดโทรมกว่า ไม่มีการออกแบบที่เอื้อสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ (คล้ายๆ ไทย) มีแมวจรจัดมาก ไม่มีขายแอลกอฮอล์ อินเตอร์เน็ทช้ามาก สินค้าคุณภาพต่ำ การดูแลสถานที่ท่องเที่ยวบางครั้งปล่อยปละละเลย (ดีที่ของโบราณมันมีมากมายมหาศาล) การข้ามถนนทำได้ยากยิ่งกว่ายาก รถยนต์มีแต่บุบๆ ไม่มีเงาแบบเมืองไทย มารยาทการขับรถก็แย่ เป็นต้น


ในขณะที่ถ้าคุณไปยังเมืองโตเกียว คุณจะพบว่าทางเท้ากว้างใหญ่เรียบเนียนและมีเส้นทางจักรยานบนทางเท้า มีการใช้จักรยานกันมากมาย ผู้คนมีระเบียบวินัย ถังขยะไม่มีมากมายแต่ผู้คนไม่ทิ้งขยะซี้ซั้ว มีการแยกขยะอย่างยอดเยี่ยม มีทางลาดสำหรับรถเข็นและจักรยานทุกจุดตัดกับถนน ระบบขนส่งยอดเยี่ยม ผู้คนตรงต่อเวลา สถานที่ต่างๆ ได้รับการดูแลทั้งจากรัฐและจากผู้คนที่รับผิดชอบ ก็คงไม่แปลกที่ใครๆ ที่เคยไปเยือนญี่ปุ่นจะหลงรักในประเทศนี้


แต่ละเมืองจะมีความต่างที่ทำให้เราได้นำมาเปรียบเทียบและนำมาพัฒนาบ้านเมืองและตัวเราเอง การท่องเที่ยวแบบทัวร์ก็จะได้สัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวและประวัติศาสตร์ของสถานที่เหล่านั้นแต่อาจขาดรายละเอียดของเรื่องราวนอกเหนือจากสถานที่เหล่านั้น ซึ่งจะได้พบเจอเมื่อเราได้สัมผัสวิถีชีวิตของเมืองเหล่านั้นและเรื่องเหล่านี้มันก็ไม่ได้มาจากห้างสรรพสินค้าหรือร้านขายของแบรนด์เนมตามเมืองต่างๆ แต่มันมาจากการใช้ชีวิตแบบคนในท้องถิ่น เดินเท้าแบบคนทั่วไปกินอาหารและพบปะผู้คนในเมืองนั้นๆ และสังเกตสิ่งรอบๆ ตัวเรา จากเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ ตัว ไปถึงเมืองใหญ่ที่ห่างไกล จากประเทศยากจนและจากประเทศเจริญแล้ว

ลองออกไปเดินบนฟุตบาทแถวปากซอยแล้วลองดูว่าเราจะเดินอย่างไม่ระวังตัวได้ไหม อิฐตัวหนอนที่ปูมันจะไม่กระเดิดขึ้นมาขัดขาเราให้ล้มข้อเท้าพลิกหรือตะแกรงเหล็กที่ปิดท่อระบายน้ำจะแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักตัวเราไม่ให้ตกลงไปจนบาดเจ็บ แท่นปูนขนาดใหญ่ที่ตู้โทรศัพท์ที่ถูกยกออกไปแล้วยังวางอยู่รอคนมาเดินเตะให้เล็บแตก แท่งเหล็กอะไรซักอย่างที่โผล่จากพื้นรอคนมาเตะ หรือจะมีน้ำสกปรกหยดลงมาใส่หัวเราขณะเดิน หรือรถเมล์ที่บริการแย่ๆ ของไทยที่ผ่านมาตลอดชีวิตของผมก็เห็นการพัฒนาแบบเต่าคลานเทียบไม่ได้กับหลายๆ ประเทศเลย นี่คือสิ่งที่ถ้าเราไม่ออกไปมองในเมืองอื่นๆ ก็จะไม่มีทางพบว่านี่คือมาตรฐานที่คู่ควรกับคุณภาพชีวิตของคนในเมืองนี้ ลองนึกถึงพ่อแม่ของเรา หรือผู้สูงอายุที่เดินบนทางเท้าในกทม.ว่าถ้าวันไหนเขาพลาดเจอกับดักเหล่านี้มันจะเป็นยังไง 

นอกเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวไปบ้างแต่ก็เป็นอีกแง่มุมนึงที่เราควรพิจารณาเปรียบเทียบ อย่าภาคภูมิใจแค่ว่าหนังสือหรือเวปไซต์อะไรก็ไม่รู้มากล่าวชื่นชมว่ากรุงเทพคือเมืองน่าเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของโลก คิดดูให้ดี ถ้าคิดไม่ออกก็ต้องออกไปดูบ้านเมืองคนอื่นว่าเขามีมาตรฐานอะไรที่ดีกว่าเรา

ทุกสถานที่ย่อมมีสิ่งละอันพันละน้อยที่เพิ่มประสบการณ์ให้กับความคิดของเราไม่มากก็น้อยนะครับ




Create Date : 29 ธันวาคม 2558
Last Update : 29 ธันวาคม 2558 22:33:27 น.
Counter : 1229 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biggg
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



my everyday life on EARTH

New Comments
ธันวาคม 2558

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog