เมื่อเช้าตอนนั่งส้วมอ่าน a day เล่ม 55 ได้อ่านบทความของ "โน๊ต อุดม" เกี่ยวกับชีวิตของเขาในช่วงนี้ มีอยู่เรื่องนึงที่ผมอ่านแล้ว เออ ชอบทฤษฏีนี้ว่ะ..
เขาว่า พระเจ้าได้ใส่ความเหงาลงมาในตัวมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้มีแรงขับดันทำอะไรต่อมิอะไร (คำพูดไม่ตรงนัก อันนี้เอามาพัฒนา develop ต่ออีกหน่อยแล้ว)
คิดไปคิดมา มันก็เป็นส่วนหนึ่งในแรงขับนะครับ ถ้าอ่านพวก ซิกมัน ฟรอยด์ มักจะพูดว่า มนุษย์มีแรงขับทางเพศ แรงขับทางการดำรงชีพ ที่ทำให้อยากอยู่ในโลก (sex drive.. etc.) แต่มันก็แล้วแต่จะคิดนะ เพราะเรื่องพวกนี้มันเป็นนามธรรม พิสูจน์ไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ที่ชอบแนวคิดของอุดมคือ เขาว่า เวลาเราเหงา เราก็ต้องไปหาเพื่อน ไปหาอะไรทำให้มันยุ่งๆ จะได้ไม่เหงา... ไปเที่ยว ไปร่วมกับสังคม ฯลฯ
บางทีเหงาก็โทรหาเพื่อน
- เฮ้ย ไงวะ คิดถึงกูดิ...
- เออ กูเหงาไง
- เออ กูก็เหงาเหมือนกัน
ผมว่า ถ้าคนเราไม่เหงา มันจะสร้างโทรศัพท์เอาไว้ติดต่อกันทำ... อะไร
ถ้าไม่เหงา มันจะเขียน จม. หากันทำอะไร
ถ้ามันไม่เหงา มันจะหาเพื่อนไปทำไม
ถ้ามันไม่เหงา มันจะนั่งเครื่องบินไปเยี่ยมญาติทำไม
ถ้ามันไม่เหงา มันจะเชิญแขกมางานแต่งงานทำไม
ถ้ามันไม่เหงา มันจะเขียนบล๊อกไปทำไม (เฮ้ย)
ถ้ามันไม่เหงา มันจะชวนเพื่อนไปเที่ยวทำไม
ถ้ามันไม่เหงา มันจะประดิษฐ์ทีวี วิทยุ กันทำไม
ฯลฯ
ใครอ่านบล๊อกนี้ต้องคิดว่า ผมแม่ง ขี้เหงาชิปเป้งเลย
คือจริงๆ แล้วเนี่ย มองว่า คนในเมืองส่วนใหญ่นะ จะเหงา.. ไม่รู้ทำไม อีกอย่างคือ ยิ่งอายุมาก ยิ่งเหงา ทำงานน้อย ก็เหงา ทำงานหนัก ก็เหงา กินข้าวคนเดียวก็เหงา เพื่อนไม่รักก็เหงา เพื่อนน้อยก็เหงา เที่ยวคนเดียวก็เหงา ดูหนังคนเดียวก็เหงา..
แต่ความเหงามันเป็นนามธรรมไง เหมือนความรัก ที่จับต้องไม่ได้ เหมือนศาสนา ที่มองไม่เห็น แต่เราเชื่อว่ามันมี.. เราคิดว่ามันอยู่รอบๆ ตัวเรา และเราเชื่อว่า เราต้องยืดมั่นกับมันขนาดไหน มีศรัทธาขนาดไหน และมากไปกว่านั้น เราเริ่มงมงายในศาสนา ความเชื่อ ความรัก หรือความเหงานั้นขนาดไหน....
เอเมน.. สาธุ
ว่าแล้วแวบไปทำงานต่อ เดี่ยววันจันทร์จะอดได้รับเช็คค่าขนม