Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2566
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
27 กุมภาพันธ์ 2566
 
All Blogs
 

ธาตุรู้

               

                สิ่งที่เราจะทำให้กับผู้อื่นได้ ก็คือคอยประคับประคองคอยสนับสนุนให้เขาไปในทางบุญทางกุศล ถ้าเขารับได้ก็เป็นบุญของเขา แสดงว่าเขามีบุญ ถ้ารับไม่ได้ก็เหมือนกับไม่มีภาชนะมารองรับอาหารที่เราจะตักให้เขา ถ้ามีแต่มือก็รับได้แค่ที่มือของเขาจะรับได้ ปัญหาจริงๆมันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่เรา เราลืมไปว่าเรากำลังวุ่นวายใจ กำลังสร้างความทุกข์ให้กับเรา เราลืมมองตัวเรา มัวแต่ห่วงคนอื่นมากจนเกินไป ระหว่างใจเรากับร่างกาย เราก็เป็นห่วงร่างกายมากกว่าใจของเรา แทนที่จะปล่อยร่างกายไปตามสภาพของมัน คือไม่ได้ปล่อยแบบทิ้งไปเลย แต่ให้มันทำหน้าที่ของมัน เรามีหน้าที่ดูแลก็ดูแลไป ร่างกายก็เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ถึงเวลาเติมน้ำมันก็เติม ถึงเวลากินข้าวก็กิน ถึงเวลาเข้าอู่ซ่อมก็เข้าอู่ซ่อม ถึงเวลาเข้าหาหมอเข้าโรงพยาบาลก็เข้าไป ซ่อมได้ก็ซ่อมไป รถก็เหมือนกัน บางครั้งซ่อมได้ก็ซ่อมไป ซ่อมไม่ได้ก็ขายทิ้งไป เปลี่ยนใหม่ดีกว่า ถ้ามีเงินมากก็ได้ซื้อรถที่ดีกว่าคันเก่า ไม่ต้องเสียดายคันเก่า มีรุ่นใหม่ๆให้เลือก ส่วนจิตไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย เคยเป็นอย่างไรก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ร่างกายจะค่อยๆหมดแรงไป ก็ปล่อยมันเป็นไปตามความเป็นจริง เดินไม่ได้ก็นั่ง นั่งไม่ได้ก็นอน หายใจไม่ได้ก็ไม่ต้องหายใจ คอยดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้นก็พอ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอื่น ให้อยู่กับปัจจุบัน
 
 นี่คือวิธีรักษาใจไม่ให้ตกนรก ไม่ให้วุ่นวาย ไม่ให้ทุกข์ เพราะใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย เพราะใจไปห่วงร่างกายมากกว่าห่วงใจ ก็เลยไม่ได้ดูแลใจ จึงวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเรามองไม่เห็นใจ ส่วนใหญ่จะมองที่กายอย่างเดียว เวลาใจเป็นอะไรจึงไม่ค่อยเห็น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เรามีสติอยู่ที่เวทนา อยู่ที่จิต ให้ดูอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ว่าเป็นอย่างไร ฟุ้งซ่าน วุ่นวาย สงบ หรือไม่ สิ่งที่เราไปเกี่ยวข้องด้วย เราก็ต้องรู้ขอบเขตของเขา ว่าเป็นอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปเกี่ยวข้องด้วยล้วนเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น อย่างวันก่อนที่โยมถามว่าธาตุที่ ๕ คืออะไร ก็คือธาตุรู้ คือจิต ส่วนธาตุ ๔ นั้นก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในรูปแบบต่างๆ ต้นไม้ก็เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ร่างกายของเราก็เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างตรงที่ว่าต้นไม้ไม่มีจิตเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของ ส่วนร่างกายมีจิตเข้ามาครอบครอง แต่มันก็เป็นการมารวมกันของธาตุ ๔ หรือ ธาตุ ๕ ถ้าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลก็มี ๕ ธาตุมารวมกัน ถ้าเป็นต้นไม้ใบหญ้าก็มีธาตุ ๔ รวมกันแล้วก็ต้องแยกจากกันไป นี่เป็นธรรมชาติของธาตุ มันไม่นิ่ง ไม่เสถียร มีการรวมตัวและมีการแยกกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อส่วนที่จะแยกมีกำลังมากกว่าส่วนที่จะรวม ก็ต้องแยกตัวออกจากกันไป ตอนเริ่มต้นส่วนที่จะรวมมีกำลังมากกว่า ก็ดึงให้ธาตุมารวมกันให้เป็นรูปเป็นร่างต่างๆ
 
 ทีนี้ปัญหาก็คือธาตุรู้ คือจิตหรือใจนี่ไม่รู้จริง ไม่มีปัญญา ถ้าไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็จะไม่รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธาตุ ๔ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถ้าไปหลงไปยึดไปติด ก็ต้องเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เพราะว่าเวลาได้มาก็ดีใจ เวลาเสียไปก็เสียใจ ทุกข์ใจ มันก็ไม่ยากเย็นอะไรถ้าเข้าใจหลักที่ว่า พยายามรักษาใจด้วยธรรมะ คือศีล สมาธิ ปัญญา หรือทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นเครื่องรักษาใจ เป็นเหมือนยา ที่พูดนี้เราพูดเรื่องปัญญา ปัญญาก็มีสมาธิเป็นเครื่องสนับสนุน สมาธิก็ต้องมีศีล มีทานเป็นเครื่องสนับสนุน ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเป็นปัญญาแบบสักแต่ว่าฟัง ฟังได้คิดได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะมันไม่มีจุดปลงวาง จุดที่จิตปลงวางก็คือสมาธินั่นเอง ถ้าอยู่ในจุดที่ไม่สงบ มันก็ปรุงแต่ง พอปรุงแต่งก็จะมีอุปาทาน มีตัณหา ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ถ้าทำจิตให้สงบมันก็คิดไม่ได้ ปรุงไม่ได้ ตัณหาก็ทำงานไม่ได้ อุปาทานก็ทำงานไม่ได้ถ้าทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง ต่อไปก็จะมีความสงบที่ต่อเนื่อง เบื้องต้นจะสงบเป็นระยะๆ เป็นเวลาๆ นั่งทีก็สงบที พอออกจากสมาธิมันก็คิดปรุงต่อ กลับไปยึดไปอยาก ถ้าทำให้มันสงบอยู่เรื่อยๆ ทั้งในขณะที่นั่งและไม่ได้นั่ง คือเวลาที่ไม่ได้นั่งก็ต้องควบคุมสังขารความคิดปรุง อย่าปล่อยให้มันไปคิดเรื่อยเปื่อย ให้อยู่กับพุทโธๆๆไปก่อน ให้มันสงบ ให้มันนิ่ง แม้ในขณะที่มีความจำเป็นที่จะต้องทำภารกิจต่างๆ ก็ยังภาวนาได้ พุทโธๆๆไป ไม่ว่าจะทำอะไร เช่นกินข้าวก็พุทโธๆๆไป
 
 ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของร่างกายมากจนเกินไป ร่างกายมันไม่สนใจตัวมันเอง มันไม่มีความรู้สึกตัว มันไม่มีความรู้ มันเป็นเหมือนกระติกน้ำใบหนึ่ง มันไม่รู้ว่ามันดีมันชั่ว มันจะแตกมันจะเสียเมื่อไร เป็นอย่างไรมันไม่รู้ ใจผู้รู้มันหลงมันอยาก ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย เป็นปัญหาของใจ ต้องปฏิบัติเพื่อละความอยากนี้ให้ได้ มันไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ถ้าไม่ได้ปฏิบัติมันก็ยาก นอกจากคนที่เคยปฏิบัติมาแล้ว มีพื้นฐานอยู่แล้ว พอฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวก็ตัดได้  ทำใจได้ เหมือนกับของที่เราหลงคิดว่าเป็นของเรา แต่ความจริงมันเป็นของคนอื่นเขา พอเขามาทวงคืน เราก็ไม่ยอมให้เขา เพราะคิดว่าเป็นของเรา อย่างที่มีเด็กสลับกันอย่างนี้ ไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่งตั้งสิบกว่าปี เพราะคิดว่าเป็นลูกของตัวเอง ต่อมาเขาก็มาบอกว่าไม่ใช่ ถ้าทำใจได้ก็ตัดใจไปเลย ถ้าไม่ใช่ของเราก็เอาคืนไป ร่างกายเราก็แบบเดียวกัน เกิดมาเราก็คิดว่ามันเป็นของเรา แต่มาเจอพระพุทธเจ้าตรัสว่ามันไม่ใช่ของเรา ดูว่าใจเราจะเด็ดเดี่ยวพอไหม ตัดไปเลย เอาไปเลย มันไม่ใช่ของเรา ปล่อยไม่ปล่อยเขาก็เอาคืนไปอยู่ดี ถึงเวลาเขาก็เอาคืนไป ถ้าปล่อยมันก็สบาย ใจก็เบา ถ้าไม่ปล่อยก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายว้าวุ่นอยู่ตลอดเวลา พยายามหัดปลงๆไว้ว่ามันต้องไป มันไม่ใช่ของเรา เหมือนเงินทองที่ญาติโยมวันนี้เอามาถวายพระ เงินนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ที่ให้ทำทานก็เป็นการหัดปลงหัดวาง ไม่ให้ยึดไม่ให้ติด ปลงได้แล้วใจมันสบาย ใจมันจะสงบ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
 ถาม    ธาตุที่ ๖ ที่ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นอากาศเฉยๆ
 
 ตอบ   ความว่างรอบๆตัวเราก็คืออากาศธาตุ ถ้าไม่มีอากาศธาตุแล้ว สิ่งต่างๆจะตั้งไว้ตรงไหน จะอยู่ที่ไหน อากาศธาตุเป็นสิ่งที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล
 
 ถาม   ท่านอาจารย์คะ ธาตุรู้นี่เวลาเสวยวิมุตติแล้ว มันหมดใช่ไหมคะ
 
 ตอบ    ธาตุรู้ยังอยู่ ที่หมดก็คือกิเลสตัณหา หมดไปจากธาตุรู้ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ถูกทำลายหายไปหมด ก็เหลือแต่อากาศว่างๆ มีอากาศแต่เหมือนกับไม่มีเพราะมันว่าง ถ้าไม่มีอากาศแล้วของต่างๆจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เหมือนไปซื้อคอนโดฯ ก็ต้องถามว่ามีเนื้อที่เท่าไร กว้างเท่าไร ยาวเท่าไร สูงเท่าไรเพราะจะต้องเอาของไปตั้งไว้ เนื้อที่ก็คือความว่าง เวลาเราไปซื้อบ้านใหม่ๆมันไม่มีอะไร แต่เราต้องการเนื้อที่ คำว่าเนื้อที่ก็เหมือนกับอากาศธาตุนั่นแหละ เพียงแต่เนื้อที่ของเรามันมีขอบเขต เช่นมีฝามีเพดานกำหนดไว้ แต่เนื้อที่จริงๆคืออากาศธาตุมันไม่มีขอบเขต ไม่มีสิ้นสุด ต่อให้นั่งจรวดยานอวกาศไปเรื่อยๆ ก็จะไปไม่สุดขอบของอากาศธาตุ
 
 ถาม   เขาเรียกจักรวาล มันไม่มีขอบเขต
 
ตอบ    จักรวาลมีพวกดาวต่างๆ ที่เกิดจากธาตุ ๔ ลอยอยู่ในอวกาศ ร่างกายเราก็อยู่บนโลกนี้ที่เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง มีดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้ามีปฏิกิริยาต่อกันก็กลายเป็นต้นไม้ภูเขาแม่น้ำมหาสมุทรขึ้นมา ถ้ามีจิตมาครอบครองก็เป็นสัตว์ต่างๆขึ้นมา จิตก็คือธาตุรู้ รวมทั้งหมดก็มี ๖ ธาตุด้วยกัน คือดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุรู้ และอากาศธาตุ ในภพนี้ก็มีเท่านี้เอง แต่ไม่ได้หมายถึงไตรภพ ไตรภพนี้อยู่ในตัวจิต ในธาตุรู้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามภพคือภพของมนุษย์ ของเทพ ของเดรัจฉาน ของเปรต ของอสุรกาย และของสัตว์นรก มันอยู่ในธาตุรู้นี้แหละ ภพของพรหมก็อยู่ในธาตุรู้เหมือนกัน
 
ถาม   แม้กระทั่งสัมภเวสีก็อยู่ในธาตุรู้
 
 ตอบ    ใช่ นรกก็อยู่ในธาตุรู้ นิพพานก็อยู่ในธาตุรู้  ถ้ามีกิเลสมาก มีบาปกรรมมาก ก็เป็นพวกสัมภเวสี พวกสัตว์นรก พวกเปรต พวกอสุรกาย ถ้ามีบุญเช่น มีหิริโอตตัปปะ มีเมตตากรุณาก็เป็นเทพ เป็นพรหม ถ้ามีวิปัสสนา มีไตรลักษณ์ มีปัญญารู้ทันก็เป็นอริยบุคคลขั้นต่างๆ ก็อยู่ในตัวธาตุรู้ทั้งนั้น ตัวสำคัญก็คือธาตุรู้ ท่านจึงสอนให้เราชำระธาตุรู้ให้สะอาด ธาตุรู้นี้ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับทองคำ ที่ยังมีสารอย่างอื่นปนเปื้อนอยู่ ที่เราต้องสกัดออกไป เหมือนกับการถลุงเหล็กเพื่อจะได้เหล็กที่บริสุทธิ์ แยกธาตุอื่นๆที่ผสมอยู่ให้มันออกไป เพื่อจะได้เหล็กล้วนๆ หรือทองล้วนๆ สิ่งที่เราปฏิบัติกันทุกวันนี้ ก็เพื่อแยกโลภโกรธหลง ให้ออกจากธาตุรู้นี้ ให้ธาตุรู้เป็นธาตุบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน
 
 ถาม   ถ้าอย่างนั้นธาตุนี้ก็มีทั้งที่บริสุทธิ์ และที่มีตัวอวิชชาใช่ไหมคะ
 
 ตอบ    ใช่ พระพุทธเจ้าก็ธาตุรู้อันนี้ พวกเราก็ธาตุรู้อันนี้ ต่างกันตรงที่ของพระพุทธเจ้าได้ชำระจนบริสุทธิ์ ได้สกัดเอาพวกสารแปลกปลอมต่างๆออกไปหมดแล้ว คือโลภ โกรธ หลง ด้วยมรรค ๘ ด้วยทาน ศีล ภาวนา ที่เราทำบุญทำทานรักษาศีลกัน ที่เรานั่งสมาธิกัน ฟังเทศน์ฟังธรรมกัน เจริญวิปัสสนากันนี้ ก็เพื่อสกัดเอาโลภโกรธหลง ให้ออกไปจากธาตุรู้ ทุกวันนี้ธาตุรู้มันหลง เมื่อหลงก็ทำให้เกิดโลภ เมื่อโลภแล้วก็ทำให้เกิดความโกรธ ในเมื่อโลภอยากจะได้อะไรแล้วไม่ได้ดังใจก็โกรธ โกรธบ้าง เสียใจบ้าง ทุกข์บ้าง เช่นอยากจะอยู่ไปนานๆ แล้วไม่ได้อยู่มันก็ทุกข์แล้ว ความอยากอยู่ก็เป็นความโลภอย่างหนึ่ง เมื่อมีอะไรมากั้นความอยากนี้มันก็อารมณ์เสีย พอรู้ว่าไม่สบายอารมณ์ก็เสียแล้ว  เกิดจากความหลง ที่ไม่เข้าใจว่าร่างกายต้องเป็นอย่างนี้ ท่านจึงสอนให้เจริญอยู่เรื่อยๆว่า เกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แต่พวกเราไม่ค่อยอยากจะเจริญกัน เพราะคิดว่าเป็นอัปมงคล แต่ความจริงมันเป็นปัญญา มันเป็นตัวทำลายความหลง เมื่อรู้แล้วก็จะได้ไม่โลภ เมื่อไม่โลภก็จะไม่โกรธ ไม่เสียใจ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน จึงต้องเจริญอยู่เรื่อยๆ การปฏิบัติจึงต้องเป็นอย่างนี้ ต้องอาศัยทาน ศีล ภาวนา หรือศีล สมาธิ ปัญญา เป็นขั้นๆไป
 
 ถ้าไม่มีพื้นฐานก็ไม่สามารถขึ้นไปสู่ธรรมขั้นสูงได้ เหมือนกับถ้ายังไม่ได้เรียนชั้นประถม จะไปเรียนชั้นมัธยมก็จะเรียนไม่รู้เรื่อง จะเข้าไปฟังครูสอนก็ได้ แต่จะเข้าใจสิ่งที่เขาสอนได้ต้องมีความรู้พื้นฐานรองรับอยู่ ถ้าไม่ได้เรียนมาก่อนเรียนไปก็ไม่เข้าใจ จึงข้ามขั้นตอนไม่ได้ ต้องทาน ศีล ภาวนา แต่ทำไปพร้อมๆกันได้ ทานก็ทำไป ศีลก็รักษาไป ภาวนาก็ภาวนาไป แล้วจะก้าวไปเป็นขั้นๆ ถ้าทำทานได้มากเท่าไร ศีลก็จะบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ถ้ายังมีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติเงินทองอยู่ ก็ยากที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้อง ได้สละหมดสมบัติข้าวของเงินทอง แล้วออกบวช การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ย่อมง่ายกว่า เพราะบางทีต้องโกหกคนนั้นคนนี้บ้าง เพื่อรักษาเงินทองของเราไว้ คนมาขอยืมเงินก็บอกว่าไม่มีหรอก นี่ก็โกหกไปแล้ว แต่ถ้าไม่มีจริงๆก็บอกไม่มีจริงๆ ถ้าสละไปหมดแล้ว ใครมาขอยืมก็บอกว่าไม่มีแล้ว คนส่วนใหญ่จึงไม่มายืมเงินพระ เพราะรู้ว่าไม่มี ก็รักษาศีลได้เต็มที่ เมื่อมีศีลมากก็ทำให้สมาธิมีมากไปด้วย แต่บางคนอาจจะไม่ได้บวช แต่สละทางใจไปแล้วก็ได้ในเรื่องเงินทอง ถึงแม้จะมีอยู่ ก็คิดว่ามันไม่ใช่เป็นของเขาแล้ว ถ้าจำต้องหมดไปวันนี้เขาก็ยินดี แต่ถ้ายังไม่หมดก็ดูแลรักษาไป เพราะเป็นภาระหน้าที่
 
 จึงไม่ได้อยู่ที่เพศ อย่าไปดูที่เพศอย่างเดียว ถ้าเป็นพระแล้วจะต้องมีศีล มีธรรมะสูงกว่าฆราวาส มันไม่แน่เสมอไป บางทีเป็นพระแล้วแต่ใจต่ำกว่าฆราวาสก็มี อยู่ที่การปฏิบัติของแต่ละคน คนที่กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะ ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเดินบิณฑบาต ก็เป็นฆราวาส แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีเวลาว่าง ตอนนี้กำลังบิณฑบาต เขาก็ทูลขอให้ตรัสสอนสั้นๆ พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั้นๆว่า ให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ที่ได้ยิน ได้สัมผัส ว่าเป็นความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เท่านั้นเขาก็เข้าใจ เขาก็เตรียมตัวจะไปบวช แต่โดนวัวขวิดตายเสียก่อน พระพุทธเจ้าก็ทรงรับสั่งว่า หลังจากที่ทำฌาปนกิจแล้วก็ให้เอาอัฐิของเขาบรรจุไว้ในสถูป เพราะทรงเห็นว่าเขาได้บรรลุแล้ว พระราชบิดาของพระองค์ก็ได้ทรงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ๗ วันก่อนเสด็จสวรรคต ตอนนั้นทรงประชวรหนัก พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด ทรงสอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสังขารทั้งหลาย ก็ทรงตัดได้ ทุกข์มันก็หมด ต้องอยู่ที่การปฏิบัติ เวลาเรานั่งภาวนาก็ต้องแยกกายเวทนากับจิตให้ออกจากกัน สามตัวนี้มันจะพันกันด้วยตัณหาอุปาทานอวิชชา เวลาเรานั่งแล้วเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา จิตมันจะบอกว่าเราเจ็บ ตัวเราเจ็บ ร่างกายของเราเจ็บ ต้องพิจารณาแยกแยะว่าร่างกายไม่รู้เรื่อง มันเหมือนกับกระติกน้ำร้อน ตั้งไว้ตรงนี้มันก็ไม่รู้ว่ามันเจ็บหรือไม่เจ็บ กระดูกก็เหมือนกัน เนื้อหนังก็เหมือนกัน มันไม่มีความรู้
 
 ส่วนเวทนาคือความรู้สึกเจ็บนี้ ก็เป็นอาการอย่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาของมัน เหมือนกับเสียงที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ เสียงพอปรากฏขึ้นแล้วมันก็เข้ามาในหูเรา แล้วก็เข้าไปรับรู้ในใจ เวทนาที่เกิดจากการสัมผัสของร่างกายที่นั่งนานๆ ก็ถูกส่งเข้าไปข้างในให้จิตรับรู้ เสียงบางอย่างแม้จะเบาขนาดไหน ถ้าเราไม่ชอบ มันก็สร้างความทุกข์ให้กับเราได้ ถ้าใครซุบซิบนินทาว่าอะไรเรา ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้ว เกิดความทุกข์ขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าเป็นเสียงที่เราชอบ ต่อให้ดังลั่นหู เราก็รู้สึกเฉยๆ เพราะพอใจที่จะฟังมัน ไม่มีความทุกข์ เวทนาก็เหมือนกัน เบาก็มี แรงก็มี เช่นนั่งไปนานๆเข้าก็เกิดอาการเจ็บปวด มันก็แรง มันก็เป็นเวทนา มันจะเบาหรือจะแรง ก็อยู่ที่ใจว่ายินดีหรือรังเกียจมัน ถ้าไปรังเกียจมันก็เกิดความทุกข์มาอีกชั้นหนึ่ง เป็นทุกข์ที่เกิดจากความอยาก ไม่อยากจะเจอเวทนาแบบนี้ หรืออยากจะให้มันดับไป หรืออยากจะหนีจากมันไป แต่ยังไปไม่ได้ เพราะยังนั่งอยู่ จึงเกิดความอยากให้ลุก อยากให้เปลี่ยนอิริยาบถขึ้นมา ยิ่งเกิดความอยากนี้มากเท่าไร ก็เกิดความทุกข์ใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ เวลาภาวนาท่านจึงสอนว่า ถ้ายังพิจารณาแยกไม่เป็น ก็ให้สวดมนต์ไปเรื่อยๆก่อน หรือบริกรรมพุทโธๆไปเรื่อยๆก่อน อย่าให้มีโอกาสได้คิดอยากจะลุก อยากจะหนีจากเวทนานี้เลย
 
 หรือพิจารณาไปเรื่อยๆ แยกร่างกายออกไป ดูร่างกายว่ามีอะไรบ้าง แยกออกมาเป็นชิ้นๆ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ แยกออกมาเป็นกองๆเวลาเอาเส้นผมไปเผาไฟเรารู้สึกอะไรไหม เวลาเอาหนังไปหั่นมันรู้สึกอะไรไหม เอาหนังหมูหนังไก่ เนื้อหมูเนื้อไก่ไปตัด มันมีความรู้สึกอะไรไหม มันไม่มี มันเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง พิจารณาแยกมันออกไปจนเห็นว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย ปล่อยให้มันอยู่เฉยๆได้ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ไม่ต้องไปขยับมัน ปัญหาอยู่ที่เวทนาที่ปรากฏอยู่ในจิตขณะนี้ ก็แยกออกมา เพราะมันก็ไม่ใช่จิต มันเป็นคนละส่วนกัน มันก็เป็นเหมือนกับเสียงกับรูปที่ผ่านมาทางตา ทางหู ส่วนเวทนามันก็ผ่านมาทางกาย เรียกว่าโผฏฐัพพะ นั่งไปนานๆร่างกายสัมผัสกับพื้นมันก็เกิดความกดดัน ทำให้เกิดเวทนาขึ้นมา เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ แต่ก็ไปบังคับมันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือจะเป็นรูป หรือเป็นโผฏฐัพพะ อย่างเสียงดังอย่างนี้ ถ้าเราไม่ชอบก็จะเกิดอาการวุ่นวายใจ ถ้าเป็นคนมีวาสนาบารมีอาจจะสั่งให้ไปจับยิงทิ้งให้หมด พวกที่ส่งเสียงดัง แต่นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
 
 ต้องแก้ปัญหาที่ใจ ต้องยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความจริง ที่ปรากฏขึ้นอยู่เรื่อยๆ มันเกิดแล้วมันก็ดับไป ถ้าไม่ไปมีอะไรกับมัน ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรกับเรา ถ้าไปชอบมันก็เป็นปัญหา เพราะต้องพยายามไปเอามันมาครอบครอง ให้มันอยู่นานๆ ถ้าไม่ชอบมันก็ต้องพยายามไปกำจัดมัน แต่ถ้าเราเฉยๆกับมัน เราก็ไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวายอะไรกับมัน มันจะร้องก็ร้องไป มันไม่ร้องก็ไม่ร้อง บางคนชอบเสียงนกเขา อุตส่าห์เลี้ยงนกเขาเพื่อจะได้ฟังเสียงนกเขาร้อง ถ้าไม่ชอบเสียงก็ต้องเอามันไปฆ่า หรือกำจัดมันไป แต่ถ้าเราเฉยๆ เราก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน ไม่ต้องไปเลี้ยงนกเขาให้เสียเวลา  ถ้าไม่ชอบก็ต้องยิงทิ้งให้หมด นี่ก็เหมือนกันเวทนาของเราก็อย่างนี้ เราชอบสุขเวทนาเราก็คอยวิ่งไล่สุขเวทนา พอเวลามันมาโผล่มาก็ดีใจ เป็นความสุขทางด้านจิตใจ ที่ได้สัมผัสกับสุขเวทนา แต่พอไปเจอทุกขเวทนา ก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ที่เกิดจากวิภวตัณหา คือความไม่ชอบ ที่เราต้องการจะดับ ก็คือทุกข์ใจ ทุกข์ในอริยสัจที่เกิดจากตัณหาต่างๆ ความอยากความไม่อยากต่างๆ
 
 ความจริงจิตจะเฉยๆก็ได้ ไม่อยากมันก็อยู่ได้ มีความสุขได้ แต่ถูกเสี้ยมสอนมาโดยอวิชชา ความไม่รู้ โดยโมหะ ความหลง เสี้ยมสอนให้อยากทั้งสองอย่าง ชอบก็อยาก ไม่ชอบก็อยาก ถ้าเห็นอะไรที่ถูกอกถูกใจก็จะเกิดความอยาก อยากจะอยู่ใกล้ชิด อยากจะได้มาครอบครอง อยากจะให้อยู่นานๆ ถ้าสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ชอบ ก็อยากกำจัดมัน อยากให้มันหายไปโดยเร็ว เราสะสมความชอบและไม่ชอบมาเรื่อยๆ บางคนก็ชอบสีเขียว บางคนก็ชอบสีแดง บางคนเห็นสีแดงแล้วจะประสาทเลย เป็นปฏิกิริยาของจิตที่เคยปลูกฝังมา พอเจออะไรแล้วมันก็จะชอบหรือชังหรือเฉยๆ มันจะรู้ว่ามันชอบอย่างนี้ ไม่ชอบอย่างนี้ อย่างเราตอนที่ซื้อรถ ก็ชอบสีน้ำตาล สีกลัก เพื่อนอีกคนชอบสีแดง เขาชวนให้เอาสีแดง แต่เราไม่เอา เพื่อนเขาซื้อรถสีแดงแต่เราซื้อสีน้ำตาล เพราะมีความผูกพันมาในอดีต
 
 ความชอบเหล่านี้ถ้าอยู่ในขอบเขต มันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเลยเถิด ทำให้เกิดตัณหา คือความทุกข์ขึ้นมา ก็ต้องละมัน ถึงแม้จะไม่ชอบสีแดง แต่ถ้าต้องอยู่กับมันก็หัดทำใจให้เป็นอุเบกขาไว้ คนอื่นอยู่ได้ ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ คนที่ชอบก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนเรา มีใจเหมือนกัน ทำไมเขามีความสุขกับมันได้ ทำไมเรามีความสุขกับมันไม่ได้ ทำไมต้องไปทุกข์กับมัน ถ้าเราไม่สุขกับมัน อย่างน้อยก็อย่าไปทุกข์กับมันก็แล้วกัน หัดทำใจให้เฉยๆไว้ ปัญหาของพวกเราก็คือทำใจเฉยๆไม่เป็น ไม่มีสมาธิ  ทำใจให้นิ่งไม่ได้ ต้องมีปฏิกิริยาตลอดเวลา ไม่ว่าอะไรมาสัมผัส เราจึงต้องออกมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจ ก็อยู่ไม่ได้อีก เหงาอีก ก็เป็นกรรม ต้องบังคับตัวเอง เป็นเรื่องยากที่ต้องมานั่งสมาธิคนเดียวนานๆ เป็นปีๆ ถ้าทำแค่ ๓ วัน ๕ วันนี้ก็ยังพอไหวอยู่ แต่บางคนขนาด ๓ วัน ๕ วัน ก็ยังไม่ไหวเลย 
 
ถาม    กราบเรียนท่านอาจารย์ ตอนพิจารณาก็กำหนดพิจารณาลมหายใจ แล้วก็พุทโธ ก็พยายามให้จิตอยู่กับกาย คือถือว่าลมหายใจนี่ก็เป็นกาย จิตหรือว่าใจนี่มันจะไปคิดโน่นคิดนี่อยู่เรื่อย แต่เมื่อสักครู่นี้ฟังดูเหมือนกับท่านสอนว่าให้ทำทุกขณะจิต ถ้าเรามีโอกาสไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ทำงาน ทานอาหาร ทำอะไร ถ้าเราว่าง ขับรถๆติดเราก็พุทโธ อันนี้ก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งใช่ไหมครับ
 
 ตอบ    ใช่ เป็นการสกัดความคิด ถ้าไม่มีอะไรสกัดมันก็จะคิดเรื่อยเปื่อยไป กังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะได้ไปทอดกฐินหรือไม่ จะได้มาวัดหรือไม่ คิดไปทำไม มันได้อะไร คิดแล้วมันก็ยังไม่ได้ไป เพราะยังอยู่ที่นี่ วันนี้วันที่ ๑๙ แต่เราคิดไปถึงวันที่ ๒๔ แล้วนี่ คิดได้ รู้ว่าวันที่๒๔ มีกิจกรรมต้องทำ ก็รู้แค่นั้นก็พอ ก็เตรียมตัวไว้ ถ้าถึงวันนั้นมาได้ก็มา มาไม่ได้ก็ไม่ต้องมา  จิตก็วุ่นวายตลอดเวลากับความคิดนี้ เพราะไม่ได้เอาพุทโธมาสกัดมัน ควรพุทโธๆๆไปในใจ หรือสวดมนต์ไปภายในใจ อิติปิโสฯ อรหัง สัมมาฯ สวดไปเรื่อยๆในจิตในใจ แล้วจิตจะได้เป็นสมาธิ ในขณะที่เราไม่ได้นั่ง คือมันจะว่างจากความคิดปรุงต่างๆ
 
 ถาม   กั้นไม่ให้จิตมันส่ายหรือแส่ออกไปข้างนอกไปรับรู้อารมณ์ต่างๆ
 
 ตอบ    พุทโธหรือการสวดมนต์นี่ เป็นตัวดึงกระแสจิตให้เข้ามาข้างใน ให้มารวมเป็นสมาธิ ซึ่งจะรวมได้หลายแบบ รวมแบบที่ไม่ฟุ้งซ่านก็เป็นแบบหนึ่ง หรือรวมแบบร่างกายหายไปหมด เหลืออยู่แต่สักแต่ว่ารู้ นี่ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่ว่ามันจะรวมลงไปลึกขนาดไหน ขึ้นอยู่กับการสกัดกั้นตัวสังขารความคิดปรุง อย่าให้มันไปคิดปรุง ถ้าคิดแล้วมันจะเกิดความฟุ้งซ่าน สังขารความคิดปรุงแต่งนี่มันไปได้ ๒ ทางด้วยกัน ถ้าคิดให้เป็นปัญญา มันก็จะดึงจิตเข้าข้างใน เช่นคิดพิจารณาว่า เราเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเป็นธรรมดา คิดอย่างนี้เป็นมรรค ถ้าไปคิดกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องลูก เรื่องอะไรต่างๆ เรื่องอนาคตของตนเอง จะตายแบบไหน จะเจ็บไข้ได้ป่วยแบบไหน คิดไปทำไม ถึงเวลามันก็เป็นไปตามเรื่องของมัน บางคนก็คิดกลัวจะเป็นอัมพฤตอัมพาต กลัวจะนอนอยู่บนเตียงเป็นปีๆ ทำอย่างไรได้มันเรื่องของบุญของกรรม เราทำอะไรไว้เราก็ต้องได้รับผลของมันสักวันหนึ่ง ตอนนี้เรารีบทำกรรมดีไว้เถิด ทำบุญทำกุศลโดยเฉพาะการภาวนา การเจริญปัญญา ทำให้จิตมันหลุดพ้น พอหลุดพ้นแล้วร่างกายจะอยู่ในสภาพไหน ก็ไม่เดือดร้อนด้วย หลวงปู่ชอบต้องนั่งในรถเข็น ท่านก็แฮปปี้ของท่าน ไปไหนมาไหนอย่างสบายใจ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ร่างกายก็อยู่ในสภาพใด จิตก็รับได้หมด
 
ถาม    ท่านอาจารย์คะ ถ้ามันขึ้นมาตามวิบากกรรมที่เกิดนี่เข้าใจ แต่อย่างพวกสัตว์ต่างๆนี่ โอกาสที่เขาจะต้องเกิดเป็นอย่างนั้นซ้ำๆซากๆ โอกาสที่เขาจะพบความสุขอย่างเราเขาก็ไม่มี  ฉะนั้นเขาจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนก็ไม่มี
  
ตอบ    มี ก็บุญที่เขาเคยสะสมไว้ก็มีอยู่ เพียงแต่ว่ายังไม่มีแรงพอ ตัวบาปมันมีแรงมากกว่าก็เลยส่งให้ไปเกิดก่อน แต่เมื่อถึงเวลาที่บุญแรงกว่าบาป ก็จะได้มาเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ อย่างพระพุทธองค์ก็ทรงเป็นสัตว์มาหลายชนิดเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าเกิดเป็นสัตว์แล้วจะเป็นสัตว์ไปตลอด เกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องเป็นมนุษย์ไปตลอด ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เรื่องของกรรม มีขึ้นๆลงๆ ตั้งแต่พรหมลงไปถึงนรก ขึ้นๆลงๆไปอย่างนี้ จนกว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้มาเจอพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน จนหลุดพ้นไป หรือบรรลุธรรมได้ด้วยตนเอง เช่นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่การขึ้นๆลงๆบนบันไดของภพชาติต่างๆจะสิ้นสุดลง พยายามยึดหลักปัจจุบัน ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน เราเป็นอะไร มีอะไรที่เราจะต้องทำก็ทำไป มีหน้าที่ดูแลรักษาร่างกายของเราก็ดูไป หาหมอก็หาไป กินยาก็กินไป ถ้าต้องกินข้าวก็กินไป กินข้าวก็ยังภาวนาได้ มันไม่ได้ไปหยุดการภาวนา ก็ภาวนาไป เจริญปัญญาไป เราปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลาแต่ไม่ปฏิบัติ เพราะเราไม่รู้กัน   เพียงแต่ระลึกพุทโธๆอย่างเดียวไปทั้งวันก็ได้ปฏิบัติแล้ว ถ้าทำได้ก็ใกล้จะหลุดพ้นแล้วนะ บอกให้รู้ก่อน แทนที่จะไปคิดเรื่องยา เรื่องกินข้าวถือศีล ๘  มาบริกรรมพุทโธๆอย่างเดียวจะดีกว่า ได้ประโยชน์มากกว่า อย่าไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย ตอนนี้คอยรักษาใจไว้ ทำใจให้ว่าง ไม่ต้องไปคิดฟุ้งซ่านกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น เข้าใจหมดแล้วร่างกายมันก็ต้องตาย กลับคืนสู่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำอย่างไรมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น
 
 ใจที่กำลังวุ่นวายทำให้มันสงบ ให้มันว่างเท่านั้นเอง ไม่สงบมันก็ห่วงเรื่องร่างกาย มันก็ไปพันกับศีล การกระทำทางกาย ทางวาจา แต่ถ้าเข้าใจเรื่องของจิตแล้ว ร่างกายก็ปล่อยมันไปตามเรื่องของมัน ยกให้หมอไป หมอเขาให้กินก็กินไป แต่ใจเราๆก็ดูแลไป รักษาไปด้วยธรรมโอสถ บริกรรมพุทโธๆๆไปทั้งวันนั้นแหละ หรือสวดมนต์ไปทั้งวันก็ได้ อย่าปล่อยให้มันไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ยกเว้นเรื่องที่จำเป็นจะต้องคิด เช่นมีภาระความรับผิดชอบการงาน คิดเสร็จแล้วก็พอแล้ว หยุดได้แล้ว ก็กลับมาสวดมนต์ในใจต่อ บริกรรมพุทโธไปภายในใจ ทำได้เสมอ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ไม่ต้องไปวัด แต่เราไม่มีนิสัยในทางนี้มันถึงไม่ได้ทำ พอไปจากที่นี่แล้วก็เริ่มคิดอีกแล้ว คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ ลองคิดแต่คำว่าพุทโธๆอย่างเดียวดู ไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากจำเป็นจริงๆ แต่อย่าไปเครียดจนเกินไปกับการบริกรรมพุทโธๆ เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงก็ต้องพูดคุยกัน มัวแต่พุทโธๆเดี๋ยวเพื่อนก็จะอึดอัดกัน แต่ถ้าเราอยู่ลำพังคนเดียว ก็อย่าไปคิดเรื่องอื่น ให้อยู่กับพุทโธๆๆไป สวดมนต์ไปก็ได้ แล้วใจจะสบาย จะสงบ จะเย็น


        
......................................................


ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 
ภาพประกอบจาก : พระประธานวัดเขมาภิรตาราม 
ตำบลสวนใหญ่ นนทบุรี




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2566
16 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2566 8:38:39 น.
Counter : 602 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณอุ้มสี, คุณThe Kop Civil, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณtoor36, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณหอมกร, คุณปัญญา Dh, คุณปรศุราม, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณRain_sk, คุณทนายอ้วน, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณดอยสะเก็ด, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณJohnV, คุณกะว่าก๋า, คุณkae+aoe, คุณKimhanvisuwat, คุณeternalyrs, คุณกิ่งฟ้า, คุณตะลีกีปัส, คุณtuk-tuk@korat, คุณNior Heavens Five

 

สาธุ สาธุ สาธุ

 

โดย: อุ้มสี 27 กุมภาพันธ์ 2566 9:51:36 น.  

 

 

โดย: The Kop Civil 27 กุมภาพันธ์ 2566 10:26:47 น.  

 

เป็นข้อๆ แบบนี้ก็สะดวกในการอ่านดีครับ บางข้อก็ตอบสั้น บางข้อก็ตอบยาวนะ

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 27 กุมภาพันธ์ 2566 11:03:39 น.  

 

อนุโมทนาบุญวันพระจ้า

 

โดย: หอมกร 27 กุมภาพันธ์ 2566 12:00:25 น.  

 

 

โดย: ปัญญา Dh 27 กุมภาพันธ์ 2566 12:56:55 น.  

 

 

โดย: ทนายอ้วน 27 กุมภาพันธ์ 2566 21:54:45 น.  

 

ธาตุ 4 ธาตุ 5(รู้) ธาตุ 6

สาธุ

 

โดย: สองแผ่นดิน 27 กุมภาพันธ์ 2566 23:08:04 น.  

 

สาธุค่ะ

 

โดย: Sweet_pills 28 กุมภาพันธ์ 2566 0:08:37 น.  

 

สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม

อนุโมทนาสาธุ จ้ะ มาอ่านข้อคิดและธรรมะ
ที่น้องเอ็มนำมาฝาก จ้ะ
เรื่องของ "จิต" ครูก็เห็นด้วย จ้ะ ว่าสำคัญมาก
ร่างกายป่วยก็รักษากันไปตามโรคที่เป็นข้อสำคัญ
"จิต" อย่าได้ป่วย เราต้องรู้ทันจิตก่อน จึงจะมีสติ
ได้ เนาะ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ

 

โดย: อาจารย์สุวิมล 28 กุมภาพันธ์ 2566 15:50:21 น.  

 

เนื้อหาค่อนข้างลึกซึ้ง
เวลาอ่านต้องใช้สมาธิมากเป็นพิเศษเลยครับ


 

โดย: กะว่าก๋า 28 กุมภาพันธ์ 2566 20:50:02 น.  

 


อรุณสวัสดิ์ครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 1 มีนาคม 2566 5:36:02 น.  

 

สวัสดียามบ่ายค่ะ คุณ**mp5**

 

โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ 1 มีนาคม 2566 15:41:11 น.  

 

สวัสดียามดึกค่ะคุณพี คืนนี้ดึกมากแล้วโหวตให้ก่อนนะคะแล้วจะมาอ่านข้อคิดธรรมมะใหม่ค่ะ

Dharma Blog


ขอบคุณที่ไปให้กำลังใจบล็อกน้ำพริกหนุ่มไก่ทอดนะคะ

 

โดย: กิ่งฟ้า 3 มีนาคม 2566 0:51:49 น.  

 

สวัสดีมีสุขค่ะ

จิตของตนนี่แหละค่ะ
ไม่หยุดนิ่ง แส่ส่ายตลอด
หลับยังฝันเฉยเลยค่ะ

 

โดย: ตะลีกีปัส 3 มีนาคม 2566 9:18:52 น.  

 

 

โดย: tuk-tuk@korat 3 มีนาคม 2566 10:55:58 น.  

 

อนุโมทนาด้วยคนครับ

 

โดย: Nior Heavens Five 5 มีนาคม 2566 17:38:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.