Mountain young ตอนที่ 5 . หลังจากอัลบั้มเพลงผม ได้วางออกจำหน่ายแล้ว ประมาณอาทิตย์นึง ... พี่ชายต่างพ่อแม่จากบ้านเกิด ที่มาแจ้งเกิดก่อนผมในวงการนี้ ได้พาผมไปร่วมวงกับเขา ( Life Studio ) ให้ผมไปเล่นกีตาร์และ เขียนเพลงอยู่ในนั้น โดย วงนี้มีน้าผู้ใหญ่คนนึง ให้การสนับสนุนอยู่ ... ผมไม่มีความสุขกับการร่วมวงกับเขาเลยครับ ... ตลอดหนึ่งเดือนที่เราอยู่ร่วมกัน มีปากเสียงกันมานับครั้งไม่ถ้วน ... อยู่ได้เดือนเดียวผมลาออกมาครับ ... ตอนผมจะออกมา น้าผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุน วงนี้ ขู่ผมว่า ถ้าเอ็งออกไปจากฉัน เอ็งจะไม่มีที่ทำมาหากินในท่าขี้เหล็กนี้ ... ส่วนทางบ้านเกิด ผมได้ยินข่าวมาว่า พ่อไปหาซื้อเพลงผมมาฟัง ... ที่ไหนมีงานคอนเสิร์ต พ่อมักจะไปที่นั่น เผื่อจะได้เห็นผมที่เป็นลูกชายท่านไปร้องเพลงครับ ... แต่ความจริงแล้วผมไม่ได้กลับไปที่บ้านเลย ... ได้ยินข่าวแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ผมคิดถึงพ่อมากขึ้นครับ ... หลังจากที่ออกมาจาก วง Life Studio แล้ว ผมได้ไปสมัครเป็นผู้จัดการในโรงสีแห่งนึง ที่เป็นโรงสีใหญ่ที่สุดในท่าขี้เหล็ก มีชาวจีนเป็นเจ้าของ ... ทำให้คนที่เคยขู่เคยหยามผม ได้รู้ว่าใครเป็นใคร ... อยู่ในโรงสีนี้ ผมต้องทำงานหนักมากครับ ... ทั้งจัดการบัญชี ทั้งสีข้าว ทั้งเลี้ยงวัว 28 ตัว ควายอีก 5 ตัว และงานบ้านสารพัดอีก ( คิดแล้วยังเหนื่อยถึงตอนนี้ ) ... ตอนนั้นเงินเดือนผมได้ หนึ่งพันห้าร้อยบาทครับ ... เงินน้อยมาก แต่งานหนักมากครับ และสิ่งนี้เอง ที่ทำให้ผมคิดหาทางออกมาได้อย่างเชื่อมั่นในตัวเองครับ ... ทำงานหนักในโรงสีอยู่สองปี ผมได้ลาออกและข้ามฝั่งมาอยู่ที่ อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย ตามการชักชวนของเพื่อนคนนึงครับ ... ผมอยู่ที่แม่สาย ไปรับจ้างขายไก่ทอดในตลาดสดตอนเช้าครับ ... ทุกวันพุทธ ผมจะไปเข้าเรียนภาษาไทย ในกศน ที่ห้วยน้ำรินครับ ... บางค่ำบางคืน ก็ไปเป็นพนักงานเสริฟในร้านอาหาร โดยได้แต่ทิป ไม่มีค่าจ้าง ... ผมทำงานทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน และเรียนหนังสือ รวมถึงเรียนคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานไปด้วย ... ช่วงนั้นผมได้ศึกษา ภาษาจีน และภาษาอังกฤษเพิ่ม ... ชีวิตตอนนั้นของผม มีแต่งานกับเรียนครับ ... ผมทำงานไป เรียนไป เก็บตังไป และพร้อมหาลู่ทาง ที่จะทำมาค้าขายด้วยตนเองให้เป็นชิ้นเป็นอัน ... ระหว่างนั้นผมพอมีตังค์เก็บบ้าง ด้วยที่ว่าจากบ้านเกิดเมืองนอน จากพ่อมาก็นานมาก เป็นเวลา 9 ปีเต็ม ๆ แล้ว ... ผมเลยได้กลับไปหาพ่อที่บ้านเกิดครับ ... ยังจำได้ระยะทางและเวลา ตอนผมจากบ้านมา เป็นอาทิตย์กว่า ๆ กว่าจะมาถึงท่าขี้เหล็ก ... แต่ตอนกลับไปคราวนี้สิ การเดินทางมันช่างไวเหลือเกินครับ ใช้เวลาแค่วันเดียว จากแม่สายถึงบ้านเกิด ... โดยผมนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินมันฑะเลย์ และต่อรถแท็กซี่ ( van ) ไปถึงประตูหน้าบ้านเลยครับ ... ผมไปถึงที่บ้านก็เย็นแล้ว ... ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในบ้าน พ่อกับแม่น้อย ( แม่เลี้ยง ) เห็นผม ก็พากันตกใจ คงนึกว่าเจอผีแน่ ๆ 55 ... เพราะเคยมีข่าวคราวออกมาว่า ผมตายไปแล้ว พ่อกับแม่น้อยก็เลยคงคิดว่า ผมตายไปแล้วจริง ๆ ... ก็ผมเล่นเอาไม่กลับบ้านเป็น 9 ปีน้อ ... ทันทีที่เจอหน้าพ่อ ผมก็คุกเข่าลงตรงหน้า และพร้อมกราบขอโทษ ที่จากบ้านไปนาน ๆ ... พ่อถามผมด้วยน้ำตา ว่า " ทำไมลูกถึงใจแข็ง ใจเย็นขนาดไม่ยอมส่งข่าวคราวอะไรกลับมาเลย ทำไมถึงไปอยู่นานขนาดถึงมีข่าวออกมาว่า ลูกตายไปแล้ว ... ตอนยายยังอยู่ พ่อกับยาย ( แม่ของแม่แท้ ๆ ผม ซึ่งตอนผมกลับไปคราวนั้นยายได้เสียชีวิตไปแล้ว ) ได้ไปทำบุญที่วัดให้ลูกเป็นประจำทุก ๆ วันพระใหญ่ ... ลูกกลับมาก็ดีแล้ว พ่อคิดถึงลูกนะ " ผม : " ผมก็คิดถึงพ่อกับน้องสาวครับ ... ถ้าผมเจอปัญหาอะไรถั่งถมเข้ามาหาผม มักคิดถึงคำที่พ่อเคยสอนผมไว้ว่า ลูกผู้ชาย ถ้าขาไม่แข็งพอ อย่ายืนในน้ำเชี่ยว ... ผมก็เลยจำเป็นต้องอยู่นานไปหน่อยครับ " พ่อ : " ลูกเอย ไม่มีพ่อแม่คนไหน ที่จะโกรธลูกตัวเองได้นาน ๆ หรอกนะ ... ตอนพ่อพูดไป ก็แค่ความโมโหชั่วคราว " ผมดีใจมากครับ ที่ได้อยู่ใกล้กับพ่ออีกครั้ง ... ตอนนั้นน้องสาวผม ได้แต่งงานมีลูกชายคนนึงแล้วครับ ... ตอนผมออกจากบ้านไปใหม่ ๆ ผมยังเป็นละอ่อนอยู่เลย แต่พอกลับมาอีกที มีคนรอเรียกลุงแล้ว 55 ... ( อ่านบทความต่อไปครับ )
Create Date : 20 เมษายน 2559 |
|
1 comments |
Last Update : 22 กันยายน 2559 21:11:42 น. |
Counter : 639 Pageviews. |
|
|
|