|
ตรวจศพ ไข้หวัด 2009
ตอนนี้ผมก็ยังวนไปวนมากับเรื่องนี้
คนที่ตรวจไม่ใช่ผมน่ะครับ ก็ปัจจัยเสี่ยงมากขนาดนี้ หัวหน้าผมครับ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วย ไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นผู้ชายแข็งแรงด้วย อาการเร็วมากเสียชีวิต
เลยขอตรวจศพ แต่ญาติก็ไม่อยากให้หรอกครับ เข้าใจว่ากำลังเศร้าโศกเสียใจ เลยขอแค่ผ่าตัดปอดออกมาดู
ผลการตรวจทางกล้องจุลทรรศ์ ปรากฎว่าน่ากลัวมาก ปอดคนไข้มีภาวะที่ซ็อคอย่างรุนแรง( diffuse alveolar damage, DAD) และมีภาวะปอดอักเสบร่วมด้วย
คำถามที่ตามมาคือทำไมจึงรุนแรงขนาดนี้ เชื้อมันแรงจริงๆ คนไข้มีภาวะตอบสนองต่อเชื้อที่รุนแรงเกินไป หรือว่าเชือมันใหม่ซิงๆจนไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ทุกอย่างมันคือคำถาม
"อภิชาติ พรุ่งนี้รองปลัดกระทรวงจะมาฟังผลการตรวจศพ อภิชาติลองค้นข้อมูลให้ผมหน่อยซิ เกี่ยวกับกลไกการเกิดโรคจาก H1N1" หัวหน้ากล่าวกับผม
งานเข้าแล้วไหมล่ะ ผมจะไปหาข้อมูลได้ที่ไหน ก็มันเป็นของใหม่ขนาดนี้ ผลลองเค้าไปค้นที่ฐานข้อมูลทางการแพทย์ ที่PubMed ก็เป็นไปตามคาดคือไม่เจอ เจอแต่รายงานผู้ป่วยอายุมากติดเชื้อH1N1 แล้วรักษาหายที่โรงพยาบาลศิริราช ประเทศไทย(เก่งจังเลย) แต่ข้อมูลเกี่ยวกับพยาธิสรีระวิทยาของเชื้อH1N1 นี้ยังไม่มี แสดงว่าทุกอย่างกำลังอยู่ในขั้นการวิจัยทั้งนั้น
สรุปคือไม่รู้อะไร แต่หัวหน้าผมเหมือนอยากจะรู้ เพราะแกต้องรายงานให้รองปลัดกระทรวงฟัง ผมคิดว่าปลัดกระทรวงนี่ก็น่ะ เป็นหมอเหมือนกันก็น่าจะเข้าใจว่ามันยังใหม่แล้วจะหาข้อมูลจากไหน ถ้าจะเอาก็มูลตอนนี้ก็คือแต่งเองนั่นแหละ ถ้าเป็นผมน่ะ จะบอกว่าไม่ต้องหาหรอกเอาแค่ข้อมูลการตรวจศพก็พอ
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า ทุกวันนี้ที่คนออกมาให้ข้อมูลต่างๆนั้นเชื่อถือได้ไหมน้อ เร็วๆนี้ เมื่อรัฐบาลเริ่มจะควบคุมไข้หวัดไม่ได้ ปลัดกระทรวงก็ออกมาพูดว่า ไม่ต้องกลัวไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ไม่น่ากลัว มันไม่ได้ร้ายแรงไปกว่าไข้หวัดธรรมดานัก ผมคิดว่าแกออกมาสรุปเร็วเกินไปหรือเปล่า หนำซ้ำทำให้คนไม่ตระหนักจะป้องกัน
ผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเชื้อ H1N1 นี้มันรุนแรงหรือไม่ถ้าเทียบกับเชื้อไข้หวัดใหญ่ธรรมดา
แต่ที่แน่คือคนไข้ที่ติดเชื้อ มักจะมีอาการปอดอักเสบที่รวดเร็วมากจนน่ากลัว ซึ่งไม่พบในไข้หวัดธรรมดา
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ ส่วนตัวผมแล้วมีข้อสัญนิษฐานมากมาย 1.เชื้อH1N1 อาจจะไม่รุนแรงมาก แต่มันเป็นเชื้อใหม่จนร่างกายไม่รู้จักเลยไม่มีภูมิต้านทาน อาการมันเลยรุนแรง พอผ่านไปคนเรามีภูมิต้านทานอาการอาจจะไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล 2. เชื้อมันรุนแรงกว่าจริงๆ 3. ร่างกายคนเราต่างหากที่มีปฎิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อมากเกินไป ดังที่พบในการตรวจปอดของคนที่เสียชีวิต
แต่ไม่ว่าจะยังไง พอเริ่มมีคนเสียชีวิตมากๆ ปลัดกระทรวงก็เริ่มเงียบ คนเริ่มตื่นกลัว
อีกความเห็นหนึ่งที่ผมว่าอย่าพึ่งไปรีบสรุปเร็วนักคือความเชื่อที่ว่า ติดแล้วจะมีภูมิคุมกันไปตลอดชีวิต
ผมว่าก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรที่ยืนยัน(เท่าที่ผมค้นดู)ว่าภูมิคุ้มกันนั้นจะป้องกันได้นานและป้องกันได้ขนาดไหน
จะเหมือนโรคอีสุกอีใสหรือเปล่าที่ป้องกันไปตลอดชีวิต หรือยังไงก็ยังไม่มีข้อมูล
เคยฟังข่าวว่ามีจังหวัดหนึ่งจะให้คนที่หายป่วยแล้วไปค้นหาผู้ป่วยร่วมกับอสม. เพราะคนที่หายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันและจะไม่ป่วยอีก
คิดแบบนี้อันตรายครับ โดยความคิดส่วนตัว(ไม่มีหลักฐานครับ โปรดใช้วิจารณาน) คิดว่าคนที่เคยป่วยแล้วภูมิคุ้มกันนั้นน่าจะป้องกันได้แค่ไม่ให้อาการเป็นมากเท่านั้น อาจจะติดซ้ำก็อาจจะแค่ไข้นิดหน่อยปวดเมื่อยตามตัวแล้วหาย
ดังนั้นทุกคนต้องระวังครับป้องกันดีที่สุด วิธีป้องกันก็ล้างมือบ่อย ใส่หน้ากากอนามัย(mask) และหลีกเลี่ยงแหล่งชุมชนรวมทั้งคนที่ป่วยด้วย
ถึงแม้ว่าการใส่mask นั้นอาจจะไม่ได้ป้องกันได้100% แต่ผมคิดว่าน่าจะพอช่วยได้ ถึงแม้ว่าจะติดเชื้อเราก็ได้เชื้อมานิดหน่อย
และคนที่ได้เชื้อมาไม่มากอาจจะป่วยไม่มากก็ได้(คิดเอง)
ผมเคยสงสัยว่าทำไมบางที่แข็งแรงไม่มีปัจจัยเสี่ยงยังเสียชีวิต ผมสัญนิษฐานหนึ่งอย่างคือ ปริมาณเชื้อที่ได้รับ คนที่รับเชื้อไปมากๆ(พวกที่ไม่ป้องกัน ไปคลุกกับผู้ป่วยแล้วรับเชื้อมาเต็มๆ) อาาการน่าจะะรุนแรงมาก ส่วนคนที่รับเชื้อไม่มาก(คนที่ป้องกัน ใส่mask ) อาการไม่น่าจะรุนแรง เพราะว่าเชื้อมันจะแบ่งตัว น่าจะมีเวลาให้ร่างกายได้ทำความรู้จักกับเชื้อแล้วกระตุ้นภูมิต้านทาน ถ้าผมทำงานในหน่วยระบาดวิทยาหรือไม่ป่วยผมอาจจะทำวิจัยพิสูจน์สมมุติฐานเหมือนกัน
เอาเป็นว่าตอนนี้ป้องกันตัวเป็นดีที่สุดครับ
Create Date : 30 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 11:01:43 น. |
|
2 comments
|
Counter : 709 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: Smallhand วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:02:27 น. |
|
|
|
|
|
|
|