พฤษภาคม 2550

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
20
21
22
23
24
26
27
29
30
 
 
All Blog
ความแตกต่างของแพทย์ เมื่อก่อนและตอนนี้!!!

ผู้ป่วยคนหนึ่งเดินเข้ามาในคลินิกตรวจโรค ขณะที่นั่งรอที่เก้าอี้ตรวจ นายแพทย์ก็เอ่ยกับนักศึกษาแพทย์ที่อยู่เบื้องหลัง
"ผู้ชายคนที่เดินมานี่ เป็นคนที่ทำงานเรือเดินสมุทรหรือไม่ก็ท่าเรือในแถบอันดามันสัก10ปีก่อนแล้วย ้ายไปทำงานแถวๆจีน เป็นระดับกัปตันเรือ"อาจารย์แพทย์กล่าว "เดี๋ยวคุณจัดยาพยาธิเท้าช้างและยาแก้คันให้เขาจำนวนสักสามเดือนได้เลย"
นักศึกษาแพทย์ทำท่าไม่เชื่อนัก แต่ก็ก็เขียนใบสั่งยาตามที่อาจารย์สั่ง จากนั้นก็ไปนั่งซักประวัติตรวจร่างกายผู้ป่วย
"คุณเป็นอะไรมาครับ" นักศึกษาแพทย์ถาม
"ผมรู้สึกว่าขาข้างขวาบวมขึ้นครับ เป็นมาสองปีแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรแต่คันเหลือจะทน" ชายคนดังกล่าวตอบ "ถิ่นที่ผมเคยทำงานอยู่ก็มีคนเป็นโรคเท้าช้างเยอะเหลือเกิน ผมก็เลยกลัวว่าจะเป็นบ้าง ตอนนี้พอได้กลับบ้านก็เลยรีบมาหาหมอก่อน"
"เพิ่งกลับมา จากจีนหรือเปล่าครับ" นักศึกษาแพทย์ถาม
"ใช่ครับ ... แต่ว่าที่ที่ผมว่ามีคนเป็นนั่นมันที่อินเดีย ก็สมัยสัก10ปีก่อนกระมัง ผมเพิ่งย้ายไปจีนได้สองปี"ชายคนนั้นตอบ สีหน้าเริ่มแปลกใจเล็กน้อย
"คงไม่ใช่กัปตันเรือนะครับ" นักศึกษาแพทย์ถามอีกครั้งด้วยท่าทีสนใจอย่างยิ่ง
"โอ้ แปลกจริงๆ คุณรู้ได้อย่างไร" ชายคนดังกล่าวพูดขึ้นอย่างแปลกใจ "ผมเป็นกัปตันเรือของบริษัทบอร์เนียวเดินสมุทร ชะรอยว่ามีคนรู้จักของผมอยู่ในที่นี้กระมัง"
"อ๋อ ไม่หรอกครับ นี่ยาของคุณครับ อาจารย์ของผมท่านได้บอกรายละเอียดต่างๆของคุณให้พวกผมฟัง วินิจฉัยว่าเป็นโรคเท้าช้าง และท่านก็ได้สั่งยาให้เรียบร้อยแล้ว" นักศึกษาแพทย์ตอบ "ถ้าคุณไม่แน่ใจอาจจะลองเจาะเลือดตรวจดูหรือตัดเนื้อไปตรวจก็ได้ครับ"
"โอ้ คงไม่ต้องหรอกครับ ... แต่ผมขอยามากๆหน่อยนะครับ สักสองเดือนขึ้นไป เพราะว่ากว่าเรือจะไปกลับก็ตั้งเดือนนึง"
"อ๋อ อาจารย์ให้จัดยาไว้สามเดือนครับ นี่ครับยาของคุณ"
ผู้ป่วยรายนั้นยืนตัวตรงแล้วยกมือไหว้ไปทางอาจารย์แพทย์ก่อนจะรับยากลับออกไ ป
เมื่อผู้ป่วยรายนี้กลับไปแล้ว นักศึกษาแพทย์ก็ได้ถามอาจารย์ของตน
"อาจารย์ทราบได้อย่างไรครับ" นศพ.หนุ่มถาม "ผมดูยังไงก็ไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นเท้าช้าง นี่ยังไม่นับถึงเรื่องรายละเอียดอื่นๆอีก"

"คุณน่าเห็นนะว่าเท้าของเขาไม่เท่ากัน ผมเห็นตั้งแต่แรกที่เขาเดินเข้ามาเลยทีเดียว" อาจารย์ทำท่าแปลกใจ "ถึงเขาจะใส่กางเกงขายาวปิดหมด แต่ถ้าคุณเห็นที่เท้าของเขาก็จะเห็นว่ารองเท้าที่เขาใส่เป็นคนละขนาดและชนิด กัน เวลาเดินเขามีท่าทางเดินขาข้างขวาได้ไม่ถนัด และของในกระเป๋าขวาที่ดูตุงมานิดๆทำให้ผมเชื่อว่าขาขวาของเขาต้องใหญ่กว่าข้ างซ้ายแน่ๆ"
"ลักษณะผิวที่กร้านแดดบอกว่าทำงานกลางแจ้ง.... แต่ว่างานกลางแจ้งอะไรล่ะที่ทำให้เขาสักรอยสักรูปสมอเรือและพังงาเรือที่ต้น แขน เมื่อประกอบกับลักษณะเงื่อนของถุงผ้าที่เขาหิ้วมาด้วย ผมจึงคิดว่าเขาต้องทำงานที่เกี่ยวกับเรือหรือท่าเรือ ... ทีนี้ลักษณะท่าทางที่ดูเป็นคนมีอำนาจ พยายามเดินตัวตรงถึงแม้ว่าจะเดินได้ไม่ถนัด ถึงเครื่องเสื้อผ้าจะดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่นาฬิกาที่ห้อยข้างเอวกับกระเป๋าผ้าไหมจากจีนนั่นคงมีราคาพอสมควรเกินกว่า ลูกเรือธรรมดาจะซื้อได้ ... ทีนี้เมื่อคิดได้ว่าเขาน่าจะทำงานเกี่ยวกับเรือที่มีสาขาในจีน ต้องอาศัยในถิ่นที่มีโรคเท้าช้างชุกชุมมาก่อน ... และถ้าคุณเคยดูข่าวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จะรู้ว่าบริษัทบอร์เนียวเรือเดินสมุทรเพิ่งหมดสัมปทานจากศรีลังกาและมาเปิดส ัปทานเดินเรือขนสินค้าในแถบทะเลจีนใต้เมื่อ2-3ปีมานี้ คุณก็จะรู้เท่าๆกับที่ผมรู้นั่นเอง"


นักศึกษาแพทย์คนนั้น ต่อมาก็ได้กลายเป็นแพทย์เฉพาะทาง
30ปีต่อมา วันหนึ่งขณะตรวจในคลินิคส่วนตัว
แพทย์ปัจจุบัน
ผู้ป่วยชายเดินเข้ามาในคลินิค ทำท่าทางคันที่ส่วนขาหนีบ ดูจากลักษณะเสื้อผ้าแม้จะสะอาด แต่มือเท้าประกอบกับกลิ่นตัว ทำให้คิดได้ไม่ยากว่าจะคันตรงส่วนใด .... เมื่อเข้ามาตรวจ ผู้ป่วยก็บอกเล่าอาการ
"หมอ สงสัยผมจะเป็นโรคเอสแอลอี" ชายคนดังกล่าวบอก "ตอนนี้มีผื่นขึ้นที่ขาหนีบเต็มไปหมดเลย"
ชายคนดังกล่าวดึงกางเกงลงมา ลักษณะรอยที่ปรากฎ ดูด้วยตาก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นเชื้อราที่ขาหนีบหรือที่เรียกว่า "สังฆัง" ... อายุรแพทย์ซักถามเล็กน้อยก่อนจะเอาเครื่องมือมาขูดผิวหนังรอบๆหยดน้ำยาและส่ องกล้องจุลทรรศน์ดู จากนั้นก็เลื่อนให้ผู้ป่วยดู
"ในกล้องนี่คุณจะเห็นว่ามีลักษณะเส้นๆ ที่เห็นนั่นคือสายรา ... ลักษณะผิวของคุณเป็นการติดเชื้อที่ผิวหนังจากเชื้อราที่เรียกแบบทั่วไปได้ว่ า สังคัง" แพทย์ตอบ " ไม่ใช่เอสแอลอีอะไรหรอกครับ"
ผู้ป่วยชายมองหน้าอย่างไม่เชื่อถือ "ไม่ใช่มั้งหมอ ผมเคยไปอ่านเจอมาในเนท เขาว่าคนเป็นเอสแอลอีจะมีผื่นเป็นวงกลมขึ้นตามตัว ... และส่วนใหญ่หมอจะพลาดวินิจฉัยไม่ได้... "
"ก่อนมาผมก็ทาซีม่ามาแล้วตั้งชั่วโมง ไม่เห็นหายเลย .... ไม่เอาดีกว่า ผมไปหาอาจารย์หมอดีกว่า แถวนี้มีโรงเรียนแพทย์อยู่แท้ๆ ไม่น่าหลวมตัวมาเข้าคลินิกหมอตี๋เลย..." ว่าแล้วชายคนดังกล่าวก็ลุกออกไปและเดินออกจากร้านไปโดยไม่ได้คิดจะจ่ายเงิน

นายแพทย์ยักไหล่ให้ตนเองนิดนึง ขณะนั้นเองก็มีโทรศัพท์เข้ามา
" ว่าไงพรเทพ มีอะไรเหรอ ...... อ้อ OPDพรุ่งนี้เป็นผมเองแหละ คุณAssign แพทย์ประจำบ้านปี2กับพวกนศพ.ปี5มาประกบผมได้เลย ...... บอกเขาด้วยนะว่าคลินิกรูมาตอยท์ที่ผมคุม ต้องมาตรงเวลา"
"เอ้อ แล้วฝากโน๊ตไปที่พยาบาลสกรีนด้วยนะ ถ้ามีคนไข้ชื่อสุรพล นามสกุลอับสำลี มาปรึกษาเรื่องกลัวเป็นเอสแอลอี ให้ส่งเข้าห้องผมได้เลย ...... เห็นเค้าบอกว่าอยากตรวจกับอาจารย์โรคข้อ"
"ไม่เป็นไรหรอก ... ให้เค้าตรวจกับรองหัวหน้าภาคอย่างผมนั่นแหละ"



Create Date : 25 พฤษภาคม 2550
Last Update : 25 พฤษภาคม 2550 14:17:56 น.
Counter : 2950 Pageviews.

12 comments
  
สั้นๆ ง่ายๆครับ
สมัยก่อนหรืออาชีพหลายอาชีพในปัจจุบันนี้ ถ้าทำตัว"ขลัง"เข้าไว้ก็ได้รับความนับถือ ... หมอแต่ก่อน หลายคนต้องทำตัวตามหลักวิชาการ+ ขลัง คนไข้จึงจะยอมเชื่อ
สมัยนี้ ต่อให้ทำตามหลักวิชาการ แต่ไม่ตามใจคนไข้ โอกาสได้รับความไม่เชื่อถือสูง

แถมที่สำคัญ ปัจจุบัน ความ"ขลัง"มันไปลงอยู่บนผลเลือด เครื่องมือ และยา
โดย: หมอแมว วันที่: 25 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:32:04 น.
  
เดี๋ยวนี้หมอทันสมัยมากขึ้นนะคับ ไม่เหมือนแต่ก่อน ผมมีรุ่นน้องที่ รร.สมัยมัธยม หมอแนวเหมือนกันคับ เรียนหมอนะคับ แต่ใช้ชีิวิตแบบเด็กวิดวะ
โดย: frank3119 วันที่: 25 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:05:21 น.
  
เคยตรวจกะหมอแนวๆเหมือนกันค่ะ

รู้สึกว่าเท่ห์มากเลย

หมอสมัยนี้หล่อๆเยอะ ห่ะห่ะ
โดย: PADAPA--DOO วันที่: 25 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:36:41 น.
  
สวัสดีค่ะ...

เป็นการดีที่ผู้มารับบริการเอาใจใส่ในสุขภาพตัวเอง เดี๋ยวนี้คนที่เดินเข้ามาหาหมอในร.พ.เขามีความรู้นะ บางคนเล่นnet ทำให้หมอที่ให้การรักษาต้องปรับตัวเข้าหาผู้มารับบริการเหล่านั้น เป็นสิทธิของผู้ป่วยหรือผู้มารับบริการในการเลือกหมอ เลือกวิธีการรักษาฯลฯ ดังนั้นคุณหมอเองต่างหากที่ต้องขวนขวายหาความรู้เพื่อที่มาสู้รบปรบมือกับผู้มารับบริการหลากหลายรูปแบบ...สู้ๆค่ะ
โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 26 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:52:33 น.
  
โดย: โสมรัศมี วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:48:15 น.
  
ฮุ้วว หมอแมวเริ่มเขียนนิยายหมอได้แร้ว... ไม่ลองเขียน pocket book สักเล่มเหรอคะ จะได้มาแบ่งส่วนตลาดกะหนังสือหมอเจ็บกับหมอพาย คิคิ
โดย: GottaBeMary วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:24:52 น.
  
เห็นด้วยค่ะ เขียนนะค่ะอยากอ่านค่ะ
โดย: SweetPolarBear วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:22:30:42 น.
  
หนูเสียใจเดี้ยว
นะคะ
โดย: บี IP: 124.122.137.254 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:20:02:03 น.
  
หนูส่งสารคนที่เป็นะคะเเละขอให้หายใวใวนะค่ะ
โดย: บี IP: 124.122.137.254 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:20:13:53 น.
  
หนูส่งสารคนที่เป็นะคะเเละขอให้หายใวใวนะค่ะ
โดย: บี IP: 124.122.137.254 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:20:15:38 น.
  
หนูเสียใจเดี้ยว
นะคะ
โดย: บี IP: 124.122.137.254 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:20:16:25 น.
  
เมื่อก่อนเป็น นศพ. เรียนชั้น พลีคลินิก .. ก็อยากทำตัวเป็นหมอแนว .. เรียนสบายๆ ความรู้เอาแค่พอสอบผ่าน
แต่ตอนนี้เป็น นศพ. เรียนชั้นคลีนิก .. มันชัดเลยว่า..แค่พอสอบผ่าน ความรู้มันมีไม่พอไปรักษาใคร...คนไข้ถามอะไรมาตอบไม่ได้ .. แค่นั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวไม่สมเป็นหมอแล้วค่ะ ^^
โดย: นู๋เพา IP: 118.175.14.108 วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:2:06:11 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมอแมว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]