พฤษภาคม 2550

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
20
21
22
23
24
26
27
29
30
 
 
All Blog
เมื่อหมอเห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตคนไข้!!!
วศินนั่งตรวจคนไข้ตามปกติ จนกระทั่งถึงผู้ป่วยหญิงรายนี้
ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วอายุน่าจะ30ต้นๆ ใส่ชุดเหมือนคนที่ทำงานในออฟฟิศหรือธนาคาร เมื่อนั่งลงเธอก็เริ่มเปิดฉากการสนทนา
"หมอ ฉันจะขอตรวจเรื่องไขมันกับหัวใจ" เธอกล่าว
"ไหนมีอาการอย่างไรลองเล่าให้ฟังหน่อยสิครับ" วศินถามอาการ
"ฉันจะมาตรวจไขมันเบาหวานแล้วก็หัวใจ" เธอยังกล่าวเน้นตามเดิม "ไม่ได้มีอาการอะไรหรอก แต่อยากจะรู้ว่าไขมันเยอะไหมเพราะว่าช่วงนี้กินมาก"
วศินเปิดดูประวัติเก่าของหญิงคนนี้ เห็นว่ามีประวัติตรวจสุขภาพประจำปีของหน่วยงานที่เธอทำงานอยู่หลายปี ทุกครั้งก็ปกติดี จะมีก็แต่คลอเลสเตอรอลที่อยู่ที่ระดับ 200-210 ปริมาณLDLที่คำนวณได้ก็อยู่ที่160กว่าๆ
"จริงๆดูจากประวัติของคุณ คุณไม่ได้มีความเสี่ยงถึงขนาดต้องเจาะเลือดตรวจไขมันบ่อยๆนะครับ" วศินบอก " ปกติแล้วถ้าอายุประมาณนี้ ประเมินเรื่องความเสี่ยงแล้วของคุณก็อยู่ในระดับต่ำ ไม่จำเป็นต้องตรวจบ่อยๆ"
"ฉันไปตรวจมาแล้ว ไขมันขึ้น 210 ก็เลยอยากมาตรวจซ้ำ" เธอล้วงเอากระดาษรายงานผลเลือดซึ่งเป็นของห้องlabเอกชนในตัวจังหวัด ซึ่งวงค่าคลอเลสเตอรอล210 และเขียนว่า "ไขมันสูงกว่าปกติ ควรกินยาลดไขมัน"

"งั้นผมขอถามเพิ่มนิดนึงครับ ... คุณกินเหล้า สูบบุหรี่ไหม" วศินถาม
"มีบ้าง สัปดาห์ละครั้งกินสังสรรค์กับเพื่อนๆ"เธอตอบ
"เรื่องอาหาร ได้ลองลดอาหารพวกมันๆ แล้วออกกำลังกายหรือเปล่าครับ"
"ออกกำลังน่ะไม่มีเวลาหรอก" เธอตอบ "ส่วนเรื่องอาหาร ก็กินตามปกติ เพราะปกติฉันชอบกินพวกเนื้อแล้วก็ไม่ชอบผักอยู่แล้ว"

"งั้นผมคิดว่าคุณต้องกลับไปลองออกกำลัง ปรับการกินอาหาร แล้วก็หยุดเหล้าบุหรี่ก่อนดีกว่าครับ" วศินกล่าวแล้วก็เปิดลิ้นชักหยิบแผ่นพับแนะนำขึ้นมา "เพราะระดับไขมันในเลือดของคุณสูงไม่มาก การปรับเปลี่ยนอาหารและชีวิตประจำวันก็น่าจะพอที่จะทำให้ลดลงได้.... เดี๋ยวผมจะให้ไปคุยต่อกับพยาบาลเพื่อแนะนำวิธีการนะครับ"
"พอเลย หยุด หยุด" เธอยกมือขึ้นห้าม "ฉันมานี่ไม่ได้จะมาให้หมอพล่ามเทศนา ... แต่ฉันมาเพราะจะเอายาลดไขมัน "
วศินขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางจะไม่จบง่ายๆกระมัง " ทำไมล่ะครับ ปกติในการรักษาไขมันสูงและมีความเสียงต่ำตามเกณฑ์มาตรฐานสากล ต้องเริ่มที่การปรับเปลี่ยนเหล่านี้อยู่แล้ว "

"ไม่ว่าหมอจะพล่ามอะไร สรุปแล้วฉันพอใจจะใช้ชีวิตของฉันตามนี้... มันเป็นสิทธิ์ของฉัน และมันก็เป็นสิทธิผู้ป่วยที่จะได้ยารักษาโรค" เธอกล่าวและชี้ไปที่แผ่นประกาศสิทธิผู้ป่วยที่แปะที่ผนัง "แล้วที่บอกว่ามาตรฐานสากลน่ะ ติดเอาเองหรือเปล่า ... ถ้าเป็นญาติหมอจะให้หรือเปล่า แล้วนี่ยังไงชั้นก็จะกินดื่มตามเดิมอยู่แล้วยังไงมันก็ไม่ลดแน่ๆ แล้วหมอจะให้ยาหรือเปล่า"
"แทนที่หมอจะมาหวงค่ายาที่ชั้นควรจะได้ตามสิทธิ หมอน่าจะไปบอกให้โรงพยาบาลประหยัดงบ อย่าเปิดไฟเปิดแอร์ และช่วยกันเสียสละหน่อย...." เธอกล่าวปิดท้าย " ตกลงเอายาไขมัน ... สามเดือน"

วศินจ้องหน้ากลับอย่าไม่สะทกสะท้าน "ผมไม่ให้ครับ มันผิดมาตรฐานวิชาชีพหากผมจะให้ยาไปโดยที่คุณไม่มีความตระหนักแบบนี้ ... และที่อ้างเรื่องญาติ ถ้าเป็นญาติผม ผมก็จะแนะนำแบบนี้เหมือนกัน"
"แล้วถ้าฉันเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตไป หมอจะจ่ายให้เท่าไหร่"เธอซักอีก "นี่มันหมอหน้าเลือดนี่ เห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตคนไข้"
"คุณต้องรับผิดชอบด้วยตัวคุณเองแล้วกระมังครับ เพราะรู้ทั้งรู้แล้วว่าที่ทำมันเสี่ยงต่อสุขภาพก็ยังทำอีก กินยาไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา" วศินย้อน
หญิงคนดังกล่าวจ้องหน้าอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะลุกออกไป .....

ก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้ ในthaiclinic ได้มีการลงบทความเกี่ยวกับแนวทางการใช้ยาลดไขมันอย่างถูกวิธี ... หลังจากลงไปไม่นานก็มีคนวิจารณ์ว่า
"หมอทำไมต้องมาหวงเงินค่ายาด้วย ชีวิตคนสำคัญกว่าเงินทองนะ......."

ในชีวิตจริงของแพทย์ การเลือกใช้ยานั้นต้องคำนึงถึงหลายส่วน เพราะว่าการแพทย์แผนตะวันตกสมัยใหม่เน้นการดูที่องค์รวมและหลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น
ในกรณีของโรคที่มีสาเหตุเด่นชัด และเราหาข้อแก้ไขได้ การแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นถือเป็นสิ่งที่ต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่ว่าเรื่องความดันสูง เบาหวาน ไขมันสูง โรคทางกล้ามเนื้อหลายอย่าง การปรับพฤติกรรมการดำรงชีวิตสามารถลดระดับของโรคลงจนอยู่ในระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้

ปัญหาในปัจจุบันก็คือ เมืองไทยก็เหมือนประเทศอื่นๆที่มีอัตราส่วนประชากรต่อแพทย์ต่ำ และคนไทยที่มีความรู้พอเพียงที่จะรักษาตนเองมีไม่มาก สิ่งที่พบเจอได้ประจำก็คือ การบังคับจะเอายาจากแพทย์ (ในกรณีที่เป็นคนไข้ที่ไม่ต้องจ่ายเงินเอง ... ส่วนคนไข้เอกชนมักจะกลับกัน) และมุมมองที่มองว่าการที่แพทย์ไม่จ่ายยาคือแพทย์ขี้เหนียว
เหตุการณ์ข้างต้น ไม่เคยเกิดกับผมแบบเต็มขั้นถึงขนาดด่าว่า แต่ลักษณะคนไข้ที่มาแล้วปฏิเสธการปรับเปลี่ยนความเสี่ยงของตน หวังจะพึ่งแต่ยา และต้องการจะใช้ยาโดยวิธีการของตนเองหรือคนข้างบ้าน ... เหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ผมเจออยู่ทุกวัน



Create Date : 19 พฤษภาคม 2550
Last Update : 19 พฤษภาคม 2550 11:07:07 น.
Counter : 3160 Pageviews.

12 comments
  
เจอคนไข้แบบนี้
คงปวดหัวเหมือนกันนะคะ
ทำเหมือนรู้มาก
แต่จริง ๆ รู้ไม่มากเลย
โดย: โสดในซอย วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:19:08 น.
  
เฮ้อออ เป็นหมอนี่ต้องเจอทุกรูปแบบเหมือนกันนะคะ

แวะมาทักทายและเอากำลังใจมาฝากค่ะ
โดย: เพียงแค่เหงา วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:07:13 น.
  
เวลาที่ต้องอธิบายเพื่อทำความเข้าใจนี่ไม่เหนื่อยนะคะ

แต่เข้าใจเลยว่า เวลาที่อีกฝ่ายไม่ได้เอาเหตุผลที่พูดไปทั้งหมดมาคิด มาถาม แล้วทำ แต่กลับตั้งป้อมคิดเรื่องอื่นนี่ น่าเหนื่อย และเสียเวลาที่สุด
โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:21:15 น.
  
เห็นด้วยกับพี่มากๆเลยค่ะว่าไม่ต้องจ่ายยา เพราะถ้าคนไข้ไม่ปรับการดำเนินชีวิต มันก็ไม่ลงแน่นอน ยาช่วยได้จริงแต่นิดเีดียวเท่านั้นมิหนำซ้ำการกินยายังเีสี่ยงกับผลข้างเคียงด้วย
โดย: tentenz IP: 124.121.177.212 วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:36:11 น.
  
มันน่าไม่ใช่เรื่องแต่งเอง แต่เหมือนเคยเจอมาด้วยตัวเอง
ยังไงก็สู้ๆนะ
โดย: CheLover วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:44:54 น.
  
ไม่จ่ายยาให้ยังมีขู่อีกน่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
โดย: อั๊งอังอา วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:26:05 น.
  
อืม...ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย
เจอกับตัวเองก็คงเอ๋อ ๆ ไปเหมือนกันนะ
สู้ ๆ นะคะ
โดย: AraShiteiru วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:39:30 น.
  
เคยอ่านมาก่อนเมือนกันค่ะ เห็นแบบนี้เเล้วเริ่มคิดว่าตัดสินใจมาเรียนหมอนี่ คิดถูกรึป่าว
โดย: Princess Vertebra วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:05:57 น.
  


ใช่หมอแมวคนเดียวกับที่ลง Article ใน MThai หรือเปล่าคะ (อ่าน column เกี่ยวกับสุขภาพเป็นประจำ)...

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
โดย: birdchicago วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:16:37 น.
  
เครียดมั้ยคะคุณหมอที่เจอคนไข้แบบนี้ คนไข้บางคนยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาของแพทย์ เหมือนอย่างข้อความข้างบน การกินยาไม่ได้ช่วยให้ระดับไขมันในร่างกายมันลดลงไปมากนัก สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาก็คือการปฏิบัติตัวของเรา การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร ถ้าทำแล้วระดับไขมันไม่ลดลงควรไปปรึกษาแพทย์แพทย์ก็จะพิจารณาการให้ยาไปตามสมควร แต่คนไข้ในCase นี้ต้องการจะมาเอายาเอายาอย่างเดียวโดยไม่ฟังเหตุผลอย่างอื่นคือไม่ฟังการรักษาอย่างอื่น ซึ่งมันไม่ใช่ คนไทยส่วนใหญ่ มองการรักษาว่าจะต้องกินยากินยาเท่านั้น การรักษาไม่ใช่ว่าจะใช้ยาอย่างเดียวถึงจะหายมันขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเราต่างหาก คนไข้คนนี้คงคิดว่าตัวเองจบป.ตรี ก็เลยอวดฉลาดมั้ง หมอเค้าไม่ได้เหปผ
แพทย์ไม่ได้ขี้เหนียวเพียงแต่ว่าเค้าใช้จรรยาบรรณในการรักษาคนไข้มันต้องรักษาไปตามขั้นตอน หมอทำถูกต้องแล้ว ยกนิ้วให้
หมอมีจรรยาบรรณความเป็นหมอ แล้วคนไข้ล่ะคะ มีจรรยาบรรณความเป็นคนไข้บ้างไหม
อยากให้คนไทยเข้าใจการรักษามากขึ้นกว่านี้อย่ามองไปที่ประเด็นการรักษาด้วยยามากเกินไปควรดูแลตนเองร่วมด้วย
โดย: ดูดี IP: 203.121.160.61 วันที่: 20 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:28:49 น.
  
บอกได้เลยว่าไม่คุ้นหรอกเรื่องนี้ แต่เกิดเป็นประจำทุกวัน ไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี
ได้แต่กลุ้มนิด ๆ ปลงหน่ยอๆ แล้วก็ต้องจ่ายยาไป ไม่งั้นอาจถูกฟ้องได้
เห็นใจ เห็นใจ
โดย: sweetpolarbear (SweetPolarBear ) วันที่: 22 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:46:12 น.
  
นิทานเรื่องนี้ บอกเราว่า

กริยามารยาท การควรไม่ควร โมหะของอัตตาในตัวตน

สังเกตุไม่ได้จากเสื้อผ้า การแต่งกาย

แต่จะเริ่มสังเกตุได้เมื่อฟังเขา "พูด" เท่านั้น

หมอที่มีเมตตานำ หิริโอตัปะ ตาม คงจะเลือกคนไข้มากไม่ได้ ขณะที่คนไข้ก็มักจะอ้างสิทธิพร่ำเพรื่อที่เกินจากคำว่าพอเหมาะพอควร ปล่อยไปเถอะครับ ถือวาเขา "ยึดติด" มากจนเราหมดโอกาสที่จะช่วยปลดทุกข์ให้ตามหน้าที่

โดย: คนรู้ทัน ไม่รู้จริง IP: 58.8.101.75 วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:33:37 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมอแมว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]