มกราคม 2550

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
เมื่อโรงพยาบาลไม่ต่างอะไรกับโรงเก็บยา
เวลาทำงานรักษาผุ้ป่วย จุดมุ่งหมายของการรักษาคือ ให้ผู้ป่วยหายจากโรคทั้งร่างกายและจิตใจ
การรักษานั้นมีตั้งแต่การใช้เครื่องไม้เครื่องมือ ใช้ยา และการพูดคุยแนะนำเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจที่มาที่ไปของโรคและทำการแก้ไขเพื่อจะไม่เป็นซ้ำหรือเป็นมากขึ้นไปกว่าเดิม

แต่ปัญหาที่ประสบในปัจจุบันก็มี เพราะว่าผุ้ป่วยที่มาโรงพยาบาลในแต่ละวันมีจำนวนหลายร้อยคน สัดส่วนของผู้ป่วยต่อหมอก็ต่างกันประมาณ10เท่า การที่แพทย์โรงพยาบาลรัฐบาลจะมานั่งคุยแนะนำทุกสิ่งทุกอย่างเท่ากับที่เอกชนทำย่อมเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นทางออกของแพทย์หลายๆท่านก็กลายเป็นต้องสั่งจ่ายยาไปหลายชนิด ต้องใช้คำพูดให้ถูกกับ"จริต"ของผู้ป่วย .... สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว จนกระทั่งเกิดเป็นวัฒนธรรมแบบหนึ่งขึ้นในสังคมไทย

จริต ที่ว่านี้ต้องเสริมนิดนึงว่าเป็นอาการที่ผู้ป่วยกังวลหรือเข้าใจว่าเป็นโรค ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่โรค
อย่างเช่นผู้ป่วยรู้สึกว่าเพลียเหนื่อยเมื่อยเนื้อเมื่อยหน้าอก ก็ทึกทักว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ ถ้าไปเจอแพทย์ พยาบาล หมอตี๋ หมอพระ ฯลฯ บอกว่าเป็นโรคหัวใจอะไรก็ตามแม้แต่ครั้งเดียว ผู้ป่วยก็พร้อมจะเชื่อไปตลอดว่าตนเองเป็นโรคหัวใจ
บางคนพอได้รับการบอกว่าเป็น"โรค" ก็เข้าใจไปว่า"ต้อง"ได้รับยา
บางคนพอเห็นว่าการรักษาครั้งหนึ่งมีการได้ยา ก็ทึกทักว่าตนเองต้องเป็นโรคนั้นโรคนี้
บางคนพอได้ยาครั้งหนึ่ง ก็ทึกทักว่าตนเองต้องได้ยาไปตลอดชีวิต
และมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ได้รับยาไปแล้วก็คิดว่าแค่กินยาอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นอีก

ถ้าเป็นเมื่อสมัยก่อน สิ่งที่จะพบเห็นได้บ่อยๆคือ ผู้ป่วยมาโรงพยาบาล ได้รับการตรวจรักษาวินิจฉัยแล้วครั้งหนึ่งแล้วก็หายไป ที่หายไปก็คือเอายาจากโรงพยาบาลไปที่ร้านขายยาแล้วก็ซื้อยาตามนั้นกินเนื่องจากรู้สึกว่าสะดวกไม่ต้องรอคิว
จึงไม่ค่อยน่าแปลกใจที่แพทย์จะได้เจอกับผู้ป่วยที่มาด้วยโรคที่อาการลุกลามไปมากเนื่องจากไม่ได้มารับการรักษาต่อเนื่อง....
ผู้ป่วยบางรายตรวจช่วงแรกๆประวัติฟังดูน่าสงสารมาก เพราะเล่าว่ามาตรวจแล้วหมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ให้กินยามาเรื่อยๆ จนตอนหลังก็มาพบว่าเป็นโรคร้ายแรงเสียเวลาไปหลายปี... พอไปเปิดประวัติดูก็เจอว่าแพทย์ตรวจแค่ครั้งเดียวเบื้องต้นและนัดให้กลับมาดูอาการ แต่คนไข้เอายาที่หมอจ่ายไว้ไปซื้อจากร้านขายยาไม่ยอมกลับมาตรวจอีก
ผู้ป่วยบางรายเป็นโรคเรื้อรังต้องได้รับการประเมินเป็นช่วงๆ แต่พอมารับยาเพียงครั้งสองครั้ง ผู้ป่วยคิดว่าแพทย์คงไม่ได้ทำอะไรเพิ่มนอกจากตรวจๆแล้วสั่งยา ผู้ป่วยก็ไปซื้อยากินเอง อาการก็ทรุดลงไป มาอีกทีโรคก็รุนแรงเพิ่มขึ้นมากจนปรับการรักษาไม่ไหวแล้ว
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เข้าใจไปเองว่าการที่แพทย์สั่งให้ยานั้นสิ้นสุดการรักษาแล้ว ส่วนที่แพทย์นัดนั้นไม่ต้องมาก็ได้

พอปัจจุบัน กลับกันคือพอมีระบบสามสิบบาท แทนที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตน กลับกลายเป็นว่าประชาชนบางส่วนมองระบบนี้เป็นระบบ"รักษาฟรี"
ดังนั้นสมัยนี้ก็เลยมีความคิดลักษณะว่า อยากได้ยาก็ไปขอยาโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเจ็บป่วยหรือไม่
เรียกว่าอยากได้ยา ก็ต้องได้
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเจ็บคอ ก็ไปซื้อยาฆ่าเชื้อกินเอง(ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น)
ปัจจุบันเจ็บคอก็มาโรงพยาบาล เพื่อให้หมอจ่ายยาฆ่าเชื้อให้.... ไม่ใช่เพื่อให้ตรวจ.... เมื่อหมอตรวจและบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ก็มักจะไม่ยอมโดยเข้าใจไปว่า "เป็นสิทธิที่จะได้ยาตามต้องการ"
ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมน้ำตาลได้ไม่ค่อยดีไม่ควบคุมอาหาร พอแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวและการควบคุมอาหารยังไม่ทันได้คุยอะไรมาก ผู้ป่วยก็บอกว่า"ไม่ต้องบอกหรอก เดี๋ยวเอายานอนหลับยาใจสั่นยาวิงเวียนยากระเพาะด้วยนะ" แล้วก็ลุกไปไม่ยอมฟัง
หรือแม้แต่ผู้ป่วยมาคนเดียว แต่มีเพื่อนบ้านฝากมารับยาต่อเนื่อง3-4คน โดยไม่ยอมมาตรวจที่รพ.ทั้งที่เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการตรวจประเมิน

... ดูแล้วคนจำนวนมากยังไม่ตระหนักเลยว่าสุขภาพที่ดีนั้นต้องเริ่มที่ตัวเอง ตั้งการปฏิบัติตัวให้ถูกตามสุขลักษณะ ลดละสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกาย ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
... ชาวบ้านบางคนวิพากษ์วิจารณ์ภาคสาธารณสุขของรัฐว่าไม่เข้าไปให้ความรู้ ... ทั้งที่ออกหน่วยหลายๆครั้งไม่ต่างอะไรกับคาราวานแจกยาฟรี

ทุกวันนี้ผมเชื่อว่ามีแพทย์จำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะแพทย์จบใหม่ รู้สึกขัดแย้งในตัวเองว่า
จะทำตามที่ร่ำเรียนมา คือ รักษาคนไข้แบบองค์รวม รักษาให้หายจากโรค และพร้อมที่จะแย้งกับคนไข้ถ้าคนไข้มีความเชื่อที่ผิดๆ หรือ
พร้อมที่จะสั่งจ่ายยาตามจริตของคนไข้ ไม่ว่าจะ"ปวดหัว ปวดท้อง เวียนหัว ไขมันอุดสมอง ปลวกขึ้นตับ เส้นเลือดพันหัวใจ ฯลฯ" หรือรักษาอาการไม่ได้รักษาโรค ... เพราะผู้ป่วยต้องการเพียงแค่นั้น

ทางเลือกสองทางนี้ตั้งอยู่บนจุดที่ว่า ถ้ายอมตามใจผู้ป่วย ก็จะได้รับคำชมเชยและถูกผู้ป่วยมองว่าเป็นแพทย์ที่มี"จริยธรรมและจรรยาบรรณ" ทั้งที่การตามใจบางครั้งมันหมิ่นเหม่กับจริยธรรม
ตรงกันข้าม การตั้งมั่นบนจริยธรรมและจรรยาแพทย์โดยมีเจตนามุ่งหวังที่ดีต่อผู้ป่วย บางครั้งได้รับผลสะท้อนว่าเป็น"แพทย์ที่ไม่มีจรรยาบรรณ" ... ด้วยเหตุว่า"ไม่ตามใจผู้ป่วย"

ช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผมอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เพราะเถียงกับผู้ป่วยเรื่องการใช้ยาบ่อยๆจนเริ่มเอียน... แต่ยังพอทนไหว ไม่ระเบิดออกเพราะเคยเจอที่หนักกว่านี้มาแล้ว ...
คุณป้าคนนึงมารพ.อย่างมาดมั่น บอกว่าเวียนหัวใจไม่ดีบอกว่าจะเอายาตัวนั้นตัวนี้ซึ่งเคยรับไปทุกครั้ง
ผมพยายามแนะนำว่าเจ้ายาพวกนี้กินนานๆไม่ดี ทางที่ดีน่าจะไปตรวจกับแพทย์เฉพาะทางดีกว่า .... ป้าปฏิเสธและทุ่มเถียงกับผมในเรื่องเภสัชจลศาสตร์ของยาตามความคิดของแกที่ว่ายาตัวนี้มีฤทธิ์แบบนั้นแบบนี้
ในที่สุด ผมยอมแพ้ ... แม้ผมจะยกธงขาว ป้าแกยังหยอดขอยาปวดกล้ามเนื้อ ยาแก้แพ้ ยาPara ยาอมแก้เจ็บคอ.... จนในที่สุดผมก็เหลืออดพูดออกไปว่า
"รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มด้วยไหมครับ"
ป้าตอบกลับมาทันทีว่า "เอา.... แล้วก็เอายานวดแก้ปวดขา ยากระเพาะน้ำแดงน้ำขาว กับยาแก้ไอน้ำดำด้วย"

ยอมแพ้ครับ



Create Date : 25 มกราคม 2550
Last Update : 25 มกราคม 2550 19:55:52 น.
Counter : 953 Pageviews.

19 comments
  
เห็น รพ. เป็น เซเว่น ไปซะแล้ว

คงจะต้องโทษระบบสาธารณสุขของไทยด้วยรึเปล่าคะ

ไม่ได้ให้ความรู้กับประชาชนเท่าที่ควรเลยค่ะ

โดย: โสดในซอย วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:20:09:59 น.
  
โดย: nakwan6 วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:20:13:11 น.
  
เคยทำงานร่วมกับแพทย์มา 30 กว่าปี
เข้าใจและเห็นใจเสมอ

โดย: I am blood (@NBC ) วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:20:18:05 น.
  

Myspace Layouts

สวัสดีค่ะ มาเยี่ยมเยียน ค่ะ

Myspace LayoutsMyspace Text Generator, Myspace GraphicsMyspace CodesMyspace CodesMyspace CodesMyspace, Myspace CodesMyspace, Myspace CodesMyspace Codes, Myspace GraphicsMyspace CodesMyspace LayoutsMyspace Backgrounds

(@^_^@)

จุ๊ฟๆๆๆ


โดย: STAR ALONE (STAR ALONE ) วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:22:03:43 น.
  
น่านนน...ไปเถียงกับป้าได้หรือ
ตกลงป้าไม่สบายทุกระบบเลยนะนั่น
แล้วจะรอดมั้ยเนี่ย

อ่านแล้วอดยิ้มไม่ได้
แต่ถ้าเจอเองคงต้องทำใจสถานเดียว


ว่าแต่ว่าคุณหมอแมวมีขนมจีบซาลาเปาจริงหรือเปล่า
ถ้ามีละก้อ... ย้ายไปหาหมอโรงพยาบาลนี้ดีกว่า
โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 27 มกราคม 2550 เวลา:1:21:12 น.
  
แล้วหนมจีบกับซาลาเปา ให้ป้าไปกี่ลูกหรอครับ
อยากกิน(แทน)
โดย: อาร์ต IP: 203.113.45.228 วันที่: 27 มกราคม 2550 เวลา:13:15:32 น.
  
กำ..คุงป้าหนอ..ทำไปได้...

อิชั้นเรียกโรคพวกนี้ว่า "โรคอุปทาน"ค่ะ..ตัวเองเป็นบ่อย ไอ้โรค"อุปทานว่าคนบางคนไม่ร้ากกก" เนี่ยนะคะ..เอิ๊กกซ์

มาป่วนบล้อกเกือบวิชาการคุณหมอเล่นซะงั้น..ขอโทษนะคะ
โดย: i'm not superman วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:20:29:56 น.
  

สวัสดีค่ะ...

ปัญหาทั้งหมดที่คุณหมอกล่าว จะแก้ได้ด้วยวิธีเดียว

คือการให้การศึกษา ถ้าคุณลุง-คุณป้า-คุณตา-คุณยาย

ทั้งหลายเหล่ามีความรู้ เขาจะแยกแยะได้ว่าควรจะไปที่ใด

เริ่มต้นจาก ให้เด็กๆได้รับการศึกษาทุกคน

ซึ่งในเมืองไทย เด็กที่ไม่ได้รับการศึกษามีมากมายบวกกับ

มีคนอพยพที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย

แล้วปล่อยให้ท้องโดยไม่คุมกำเหนิด

เด็กที่คลอดมา ไม่มีสัญชาติ ทำบัตรประชาชนไม่ได้

ก็เรียนหนังสือไม่ได้ เป็นภาระให้กับสังคม

ในร.พ.รัฐบาลมีชาวต่างชาติ(พม่า,เขมร,ลาวฯลฯ)

ที่มาคลอดบุตรเกือบทุกอาทิตย์

ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีใบต่างด้าว

เราทำอะไรเขาไม่ได้ จะแจ้งตม.มาจับก็ไม่ได้

เขาป่วย เขามาคลอดบุตร ก็ต้องรักษากันไป

ไม่เลือกเชื้อชาติ ชั้น วรรณะ

คิดได้อย่างเดียวคือปลงซะ...

แล้วปฎิบัติหน้าที่ของเราไป...เฮ้อ!!!

ขอโทษที่เล่าอะไรต่ออะไรให้ฟังเยอะ

ขอให้มีกำลังใจที่จะเป็นหมดที่ดีนะค่ะ

กิจของผู้ป่วยต้องเป็นกิจที่หนึ่งอยู่แล้ว

ประโยขน์ของตนเป็นกิจที่สอง...
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:18:47 น.
  
การบริการทางด้านการรักษาพยาบาลกำลังมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลที่ดีพอ.................% ค่ารักษาพยาบาล/GDP คงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นแน่........ภาษีเรากำลังโดนถลุงอีกแล้ว......."ของฟรีไม่ต้องคิดมาก"...."ไม่มีคุณค่าพอที่จะใส่ใจนัก".....เป็นเรื่องเศร้าที่สุด......รพ.จึงเป็นตลาดยาที่ผู้ป่วยจะไป Shopping กันเฮฮามาก..............ตกเป็นเหยื่อของหมอ(เน้นว่าบางคนเท่านั้น)+บริษัทยา+ผู้บริหารโรงพยาบาลที่หากินกับคนไข้ที่ชอบของฟรี.........ทำกันเป็นทีมครับ...มีConflict of Interest แน่นอน

แก้ไงดี.........เสนอว่างี้ครับ
1.ใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติก่อนเสมอ(ต้องมีกฏหมายรองรับ).....ไม่หายจึงจะใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ...หรือจะใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติต้องจ่ายเงินเอง
2.การใช้บริการด้านการรักษาพยาบาลที่เป็นสวัสดิการควรมี Deductible Fee(จ่ายก่อนทุกครั้งที่เข้ารับบริการคิดเป็น % ของค่ารักษาพยาบาล เข่น 15-20%)
3.ต้องทำให้ประชาชนมีความรู้ในการดูแลสุขภาพ ให้รู้ว่าการรักษาโรคนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ยาแพง ๆ และบาง
โรคยังต้องการการดูแลเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหารที่ถูกต้อง การปรับสภาพแวดล้อม......จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของหมอ(เน้นว่าบางคนเท่านั้น)+บริษัทยา+ผู้บริหารโรงพยาบาลที่มี Conflict of Interestกันอยู่
4.กระมรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติหน่อย.........กลัวประชาชนรู้ทันหรือครับ..........อุบเงียบเชียว

ปีหนึ่งน่าจะมีรายงานโรคหมอทำออกมาด้วยรวมทั้งผลแทรกซ้อนที่เกิดจากการใช้ยาเกินจำเป็นครับ
โดย: cm-2500 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:46:59 น.
  
โดย: มงคล แก้วแสน IP: 61.19.121.158 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:11:52 น.
  


มาส่งดอกไม้คะ
โดย: nakwan6 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:21:14 น.
  
สวัสดีค่ะ...

ทั้งหมอแมวและcm-2500 คงจบเชียงใหม่ทั้งคู่ ใช่ไหม?

ของอ้อมว่าน่าจะลงในสิ่งตีพิมพ์ให้บุคคลทั่วไปได้อ่าน

และออกความคิดเห็นบ้าง จะได้กระจายความรู้และความ

เข้าใจในเรื่องที่เกิดปัญหา สะท้อนสังคม

อาจจะเป็นลงบทความในมติชน สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:54:32 น.
  
โห เถียงกับคนไข้เพื่อความถูกต้องด้วย มีจรรณยาบรรณจริงๆ
อยากให้หมอแมวรักษาผมมั่งอะครับ อยู่โรงบาลไหน จะตามไปถล่ม อิอิ
โดย: pzifrius IP: 124.121.8.102 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:0:30:44 น.
  
คนไข้มาขอยาแก้ปวดหัวที่ร.พ. แต่เมื่อตรวจไปตรวจมา กลับไม่พบความผิดปกติ

คนไข้เลยตอบว่า งั้นขอยาแก้ปวดท้องก็ได้

แม่มจะเอายาไปเขวี้ยงเล่นกันหรือไงฟะ
โดย: Marquez วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:16:40 น.
  
ท่าทางจะมีคนแบบนี้เยอะในเมืองไทยนะครับ
เคยพาคนเขมรมาตรวจที่เมืองไทย คุณเธอจะเอายาให้ได้ หมอไม่ให้เธอก็จะเอา เพราะเธอคิดว่าเมื่อป่วยแล้วต้องให้ยา แต่หมอแนะนำให้ควบคุมอาหารเอา
คนหลาย ๆ คน สังเกตดู หลังกินยาเข้าปากแล้วจะสบายใจมาก รู้สึกดีขึ้น(ทางจิต)

เอาใจช่วยครับ
โดย: c (chaiwatmsu ) วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:51:51 น.
  
เสนอ น้ำผลไม้สมุนไพร goji แก้โรคเบาหวานไม่ต้องฉีดอินซุลิน มะเร็ง ความดัน หลอดเลือดหัวใจตีบ ไรคไต โรคอ้วน โรคตับ โรคข้อ อายุยืน และอื่นฯ

น้ำ himalayan goji มีสาร poly saccharadide ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและบำรุง เซลลต่าง ๆ ของร่างกาย และ anti auxidant ที่ช่วย block cell มะเร็งไม่ให้รุกราน และทำให้มันฝ่อไปในที่สุดทำใหโรคร้ายหายได้ รวมทั้ง vitamin c มากกว่าส้มถีง 500 เท่า และสารอื่นอีกมากมาย รวม ทั้งสาร germanium and etc
มีค่า orac สุงที่สุดในบรรดา น้ำผลไม้ = 25100
สามารถแก้โรคต่างๆ ได้ หยุดโรคร้ายแต่เนิ่น จะเป็นผลดีสำหรับตัวคุณเอง

ไม่ได้ผลยินดีคืนเงินภายใน 90 วัน จัดส่งถึงที่
1 ขวด เท่ากับ = 2100 บาท
1 pack มี 4 ขวด = 8000 บาท
5 pack มี 20 ขวด = 39000 บาท (ถุกกว่า)

กืนเดือนละ 2 ขวด ขึ้นอยุ่กับอาการ

สนใจติดต่อ คุณ นิรันดร์
โทร 0814279591
fax no. 6628981598
email: daewoo_321@hotmail.com

สินค้าน้ำเข้าจาก อเมริกา
มี อย รับประกัน

www.globalgdtthailand.com

ถ้า email นี้เป็นการรบกวนและไม่มีประโยชน์ก็ขอโทษเป็นอย่างยิ่งสำหรับความหวังดี ช่วยกรุณาลบออกด้วยครับ
โดย: ODD IP: 58.8.44.155 วันที่: 12 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:52:22 น.
  
มันเป็นอะไรที่ฝั่งรากลึกมานานกับระบบสุขภาพเมืองไทย หากต้องการเปลี่ยนแปลง คงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรค่ะ
โดย: New Brighton วันที่: 31 ธันวาคม 2550 เวลา:12:02:42 น.
  
ถ้าแมวกินยาฉีดปลวก
แล้วให้กินไข่ขาว
แล้วยังไม่ดีขึ้น
ต้องทามยังไงหรอค่ะ
โดย: อาภาอร เอี่ยมพลอยศรี IP: 58.8.124.135 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:50:21 น.
  
555+ ตั้งใจให้ฮารึป่าวเนี่ย เเต่ ก็จริงอ่านะ ควรจะให้ความรู้เเก่ชาวบ้าน เพื่อให้เค้าเข้าใจว่าหมอต้องการจะรักษาจริงๆ
โดย: gift IP: 124.120.11.117 วันที่: 29 เมษายน 2552 เวลา:23:47:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมอแมว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]