แม่กำปอง เชียงใหม่ --- วัดเจดีย์หลวง วรวิหาร
แม่กำปอง - เชียงใหม่
23 - 27 มกราคม พ.ศ. 2563
ตอนที่ 7 วันนี้ตั้งใจเดินเก็บภาพ ไหว้พระในเมืองค่ะ ได้แค่ไหนก็แค่นั้นแค่เดินไหว เริ่มต้นที่วัดพระสิงห์
09.20 น. วันที่ 27 มกราคม 2563 วัดที่ 2 วัดเจดีย์หลวงค่ะ
วัดเจดีย์หลวง มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกุฏาคาร , วัดโชติการาม สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ.1934 ถ้านับจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2563) มีอายุ 629 ปี วัดเจดีย์หลวงเป็นพระอารามหลวงแบบโบราณ
ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ แปลโดย ศาสตราจารย์แสง มนวิฑูร พิมพ์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2501 กล่าวถึงเจดีย์หลวงว่า “จุลศักราช 289 (พ.ศ.1874) พระเจ้าแสนภู โปรดให้สร้างเมืองเชียงแสน และต่อมาอีก 4 ปีทรงสร้างมหาวิหารขึ้นในท่ามกลางเมืองเชียงแสน” มหาวิหารที่ว่านี้คือวัดเจดีย์หลวงองค์ที่ 1 ซึ่งอยู่ในวัดพระเจ้าตนหลวง เมืองเชียงแสน ปัจจุบันยังปรากฏองค์พระธาตุให้เห็นอยู่
วัดเจดีย์หลวง ยังเป็นที่ประดิษฐานของเสาอินทขิล ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่มาช้านาน ซึ่งมีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ในสมัยก่อนบริเวณที่ตั้งของเมืองเชียงใหม่เป็นที่ตั้งเมืองของพวกลัวะ ซึ่งมักจะถูกผีร้ายรบกวนต่าง ๆ นานาจนเป็นที่เดือดร้อนทั่วทั้งเมือง พระอินทร์ทรงเล็งเห็นความเดือดร้อนของพลเมือง ก็คิดจะช่วยเหลือโดยได้บอกให้ชาวเมืองถือศีลรักษาคำสัตย์ บ้านเมืองจึงรอดพ้นจากอันตราย ชาวเมืองก็เชื่อฟังและปฏิบัติตาม เมื่อพระอินทร์เห็นว่าชาวเมืองมีสัตย์ดีแล้วจึงบันดาลให้บ่อเงินบ่อทองและบ่อแก้วขึ้นภายในเมืองและให้ชาวเมืองอธิษฐานเอาตามความปรารถนา เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า “เมืองนพบุรี”
อาณาจักรลัวะหรือละว้าโบราณที่มาของตำนานเสาอินทขิลนี้นั้น มีศูนย์กลางการปกครองหรือราชธานีอยู่ที่ เวียงเชษฐบุรี หรือ เวียงเจ็ดริน (อยู่เชิงดอยสุเทพด้านทิศตะวันออก สถานที่เลี้ยงโคนมกรมปศุสัตว์และสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลปัจจุบัน) และเวียงนพบุรีในเวลาต่อมา แล้วก็ล่มสลายในสมัยขุนหลวงวิรังคะ ราชันย์แห่งขุนเขาผู้ยิ่งยงเมื่อต้องพ่ายแพ้ พระนางจามเทวี แห่งอาณาจักรหริภุญไชยในการทำสงครามเมื่อ พ.ศ.1211 (พ.ศ.1204 วาสุเทพฤาษีสร้างเมืองหริภุญไชย, พ.ศ.1206 พระนางจามเทวีครองเมืองหริภุญไชย, พ.ศ.1211 เกิดสงครามกับขุนหลวงวิรังคะ, พ.ศ.1213 พระนางจามเทวีสละราชสมบัติ) ในโคลงนิราศหริภุญชัย ได้กล่าวถึง พระอัฏฐารส ว่าเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่หล่อด้วยทองสำริดปิดทองคำเปลว ปางห้ามญาติ สูง ๑๖ ศอก (๒๓ ซม.) หรือ ๘.๒๓ เมตร พร้อมทั้งพระอัครสาวกทั้ง ๒ องค์ คือ พระอัครสาวกซ้ายคือ พระโมคคัลลานะ สูง ๔.๔๓ เมตร และพระอัครสาวกขวาคือ พระสารีบุตร สูง ๔.๑๙ เมตร หล่อโดยพระนางติโลกจุฑา พระมเหสีของพระเจ้าแสนเมืองมารัชกาลที่ ๗ ราชวงศ์มังรายพระอัยกาของพระเจ้าติโลกราช รัชกาลที่๙แห่งราชวงศ์มังราย เมื่อพ.ศ.๑๙๕๕ นอกจากทำการหล่อพระอัฏฐารส/พระอัครสาวกทั้งสององค์แล้ว ยังได้หล่อพระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวนมาก ประดิษฐานรายล้อมพระอัฏฐารสอยู่ด้านหน้าและผินพระพักตร์สู่ทิศต่างๆ การหล่อพระพุทธรูปขนาดต่างๆ อีกจำนวนมากเมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๔ ในครั้งนั้นต้องใช้เบ้าเตาหลอมทองจำนวนมากเป็นพันเตาพันเบ้า ต่อมาสถานที่ตั้งเตาหลอมทองหล่อพระพุทธรูปได้สร้างเป็นวัดและเรียกชื่อว่า วัดพันเตา "เมื่อครั้งหล่อพระพุทธรูปอัฏฐารสนั้น พระเถระชื่อว่า นราจาริยะ ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวง) ใคร่ลองบุญญาภินิหารของท่าน กระทำสัตยาธิษฐานแล้วอุ้มเบ้าทองอันร้อนด้วยมือยกขึ้นตั้งเหนือศีรษะนำไปหล่อ เบ้านั้นก็ไม่ทำให้ร้อนไหม้ คนทั้งหลายเห็นแปลกดังนั้น ก็เกิดอัศจรรย์พากันสาธุการเอิกเกริกทั่วทั้งเวียง" ความจริงแล้วพระอัฏฐารสไม่ได้แปลว่าพระสูง ๑๘ ศอก พระอัฏฐารสแปลว่า พระสิบแปด ไม่มีคำว่าศอกแต่อย่างใด ความหมายที่แท้จริงท่านหมายถึงพุทธธรรม ๑๘ ประการ อันเป็นพระคุณสมบัติเฉพาะพระพุทธองค์ ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธรูปสูง ๑๘ ศอกดังที่เข้าใจกัน องค์พระพุทธรูปปฏิมาอัฏฐารสอาจจะสูงตำกว่านั้นหรือจะสูง ๑๘ ศอกก็ย่อมได้ ที่ตั้งชื่อพระพุทธรูปเช่นนั้นก็เพื่อเป็นอุบายธรรมสื่อนำไปสู่ความเข้าใจในพุทธคุณอันประเสริฐของพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์และเทพเจ้าทั้งหลาย ดังพระบาลีในอาฏานาฏิยปริตรว่า : "อุเปตาพุทธธัมเมหิ อัฏฐารสหิ นายกา พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นนายกคือผู้นำ ทรงประกอบด้วยพุทธธรรม ๑๘ ประการ" คือ ๑. พระพุทธองค์ไม่มีกายทุจริต ๒. ไม่มีวจีทุจริต ๓. ไม่มีมโนทุจริต ๔. ทรงมีอตีตังสญาณ ๕. ทรงมีอนาคตังสญาณ ๖. ทรงมีปัจจุบันนังสญาณหยั่งรู้กาลทั้ง ๓ แจ่มแจ้ง ๗. กายกรรมของพระพุทธองค์เป็นไปตามพระญาณ ๘. วจีกรรมของพระพุทธองค์เป็นไปตามพระญาณ ๙. มโนกรรมของพระพุทธองค์เป็นไปตามพระญาณ ๑๐. ไม่มีความเสื่อมแห่งฉันทะ ๑๑. ไม่มีความเสื่อมแห่งวิริยะ ๑๒. ไม่มีความเสื่อมแห่งสติ ๑๓. ไม่มีเล่น ๑๔. ไม่มีพลั้ง ๑๕. ไม่มีพลาด ๑๖. ไม่มีความผลุนผลัน ๑๗. ไม่มีพระทัยย่อท้อ ๑๘. ไม่มีอกุศลจิต (สังคีติสุตตวรรณนา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค). นอกจากนี้ ภายในพระวิหารหลวงยังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าแสนล้าน ศิลปะแบบทรงเครื่องล้านนา เนื้อสัมฤทธิ์ผสมเงินแท้ พระเกศโมลีทองคำแท้หนัก ๕๑ บาท องค์พระประดับด้วยอัญมณีแท้ทั้งองค์ ขนาดหน้าตัก ๒๙ นิ้ว จัดสร้างในโอกาสที่พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เจริญมงคลอายุครบ ๙๐ ปี ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐ วัดเจดีย์หลวง หรือวัดโชติการามวิหาร เป็นพระอารามเก่าแก่อยู่กลางเมืองนครพิงค์เชียงใหม่ ระยะเวลาการสร้างหลายรัชกาลกว่าจะสำเร็จบริบูรณ์ เริ่มสร้างสมัยพระเจ้าผายู (พ.ศ. ๑๘๘๒ - ๑๘๙๙) ฐานกว้าง ๗ วา สูง ๑๒ วา และสร้างต่อมาในสมัยพระเจ้ากือนา (พ.ศ. ๑๘๘๒ - ๑๙๒๙) พระเจ้าแสนเมืองมา (พ.ศ. ๑๙๒๙ - ๑๙๔๕) พระเจ้าสามฝั่งแกน (พ.ศ. ๑๙๔๕ - ๒๐๓๑) โดยมอบหมายให้นายช่างที่มีฝีมือชื่อ หมื่นด้ามพร้าคต ผู้สร้างวัดเจดีย์เจ็ดยอด ไปศึกษาถ่ายแบบรัตนเจดีย์จากลังกา และมหาเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย มาผสมกัน ก่อขยายฐานและเสริมยอดเจดีย์ ทำซุ้มจรนำไว้ทุกด้าน กล่าวกันว่างามดั่งพระธาตุจุฬามณีในสวรรค์ ด้วยตกแต่งงดงาม มีฐานประทักษิณรายรอบด้วยพญาคชสาร ราวบันไดนาคเป็นมหาเจดีย์ที่เลิศด้วยศิลปกรรมแสดงพลังเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ในรัชกาลพระเมืองแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๑ - ๒๐๖๑) ก็ได้รับการบูรณะอีกครั้ง
Create Date : 30 มิถุนายน 2563 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2563 18:19:42 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1451 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณkatoy, คุณtuk-tuk@korat, คุณวลีลักษณา, คุณSweet_pills, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณKavanich96, คุณlife for eat and travel, คุณทนายอ้วน, คุณInsignia_Museum, คุณSleepless Sea, คุณธนูคือลุงแอ็ด, คุณnonnoiGiwGiw, คุณสองแผ่นดิน, คุณกะว่าก๋า, คุณหอมกร, คุณblue_medsai, คุณkae+aoe, คุณสิงห์ริมถนน, คุณอุ้มสี, คุณเนินน้ำ, คุณร่มไม้เย็น, คุณผู้ชายในสายลมหนาว, คุณSai Eeuu, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณเจ้าหญิงไอดิน, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณThe Kop Civil, คุณ**mp5**, คุณปรศุราม |
|
|