Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2565
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
20 กุมภาพันธ์ 2565
 
All Blogs
 

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

ตอนสุดท้ายของทริปเดินเที่ยววัด เริ่มต้นจากวัดไตรมิตร - วัดราชบพิธ วัดราชประดิษฐ ศาลหลักเมือง - วัดพระแก้ว

บ่ายสามกว่าเกือบ 4 โมงเย็นแล้วล่ะค่ะ ออกจากวัดพระแก้ว - ร้านโกลเด้นเพลซ



อาคารตึกเก่า หน้าวัดพระแก้ว



ป้อมทัศนนิกร อยู่บนกำแพงด้านทิศตะวันตก ทางใต้ของป้อมอินทรรังสรร สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5



ประตูเทวาภิรมย์ ตอนเชิญพระบรมโกศ ในหลวง รัชกาลที่ 9  ออกจากพระบรมมหาราชวังสู่ท้องสนามหลวง ที่ประตูนี้ค่ะ



ป้อมมหาสัตตะโลหะ และ ป้อมโสฬสศิลา เป็นป้อมรูปหอรบ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 บูรณะในสมัย รัชกาลที่ 2



ป้อมสัตตบรรพต อยู่บนกำแพงด้านทิศตะวันตก ถัดจากประตูช่องกุด เป็นป้อมรูปหอรบ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 2



วัดโพธิ์ วันนี้ไม่ได้แวะค่ะ เดี๋ยวเราจะไปท่าเตียนข้ามฝั่งไปวัดอรุณกัน



ป้อมภูผาสุทัศน์ 



ป้อมภูผาสุทัศน์ อยู่มุมกำแพงด้านทิศตะวันตกต่อทิศใต้ ติดกับประตูพิทักษ์บวร ตรงข้ามกับท่าเตียน



16.05 น. ไปค่ะ ลงเรือข้ามฟากกัน



วัดอรุณ หรือวัดแจ้ง



มองกลับไปที่ท่าเรือ ท่าเตียน





ถัดจากวัดอรุณขึ้นไป ติดริมน้ำเจ้าพระยาเหมือนกัน วัดระฆังโฆษิตารามค่ะ







อาคารราชนาวิกสภา



ท่าเรือหอประชุมกองทัพเรือ







เมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา กำลังปรับปรุง 



ขวามือของภาพวัดกัลยาณ ถัดขึ้นไปโบสถ์ซางตาครู้ส เจดีย์สีขาวนั่นวัดประยุรวงศาวาสค่ะ



สะพานพุทธ อยู่กลางภาพเลยค่ะ



วัดพระแก้ว และพระบรมมหาราชวัง สะพานพระราม 8  มุมมองจากแม่น้ำเจ้าพระยา 


วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และฟากตะวันออกของถนนอรุณอมรินทร์ ระหว่างคลองนครบาลหรือคลองวัดแจ้งกับพระราชวังเดิม ตำบลวัดอรุณ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เป้นวัดโบราณสร้างมาแต่ครั้งสมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ภายหลังเปลี่ยนเป็นวัดมะกอกนอก แล้วเปลี่ยนเป็น วัดแจ้ง วัดอรุรราชธาราม และวัดอรุณราชวราราม โดยลำดับ ปัจจุบันเรียกชื่อว่า “วัดอรุณราชวราราม”

มูลเหตุที่เรียกชื่อวัดนี้แต่เดิมว่า “วัดมะกอก” นั้น เข้าใจว่าคงจะเรียกคล้อยตามตำบลที่ตั้งวัด ซึ่งสมัยนั้นมีชื่อว่า “บางมะกอก” (เมื่อนำมาเรียกรวมกับคำว่า “วัด” ในตอนแรก ๆ คงเรียกว่า “วัดบางมะกอก” ภายหลังเสียงหดลงคงเรียกสั้น ๆ ว่า “วัดมะกอก” ) ตามคติเรียกชื่อวัดของไทยสมัยโบราณ เพราะชื่อวัดที่แท้จริงมักจะไม่มี จึงเรียกชื่อวัดตามชื่อตำบลที่ตั้ง เช่น วัดบางลำพู วัดปากน้ำ เป็นต้น ต่อมาเมื่อได้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกันนี้ แต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกชื่อวัดที่ตั้งใหม่ว่า “วัดมะกอกใน” แล้วเลยเรียกวัดมะกอกเดิมซึ่งอยู่ตอนปากคลองมะกอกใหญ่ว่า “วัดมะกอกนอก” เพื่อให้ทราบว่า เป้นคนละวัด

ส่วนที่เปลี่ยนเป้นเรียกว่า “วัดแจ้ง” นั้น เล่ากันเป้นทำนองว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยา สำเร็จเรียบร้อย ใน พ.ศ. 2310 แล้ว มีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีฑาพลล่องลงมาทางชลมารค พอถึงหน้าวัดนี้ ก็ได้อรุณหรือรุ่งแจ้งพอดี ทรงพระราชดำริเห็นเป็นอุดมมหามงคลฤกษ์ จึงโปรดให้เทียบเรือพระที่นั่งที่ท่าน้ำ เสด็จขึ้นไปทรงสักการะบูชาพระมหาธาตุ ขณะนั้นสูงประมาณ 8 วา ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหน้าวัด แล้วเลยเสด็จประทับแรมที่ศาลาการเปรียญใกล้ร่มโพธิ์ ต่อมาได้โปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดแล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดแจ้ง” เพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์

ชื่อ “วัดแจ้ง” นี้ มีเรื่องสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทูลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ไว้ว่า “หม่อมฉันเคยเห็นแผนที่เมืองธนบุรีที่ฝรั่งเศสทำเมื่อรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ในแผนที่นั้นมีแต่วัดเลียบ กับวัดแจ้ง แต่วัดโพธิ์หามีไม่ ตรงที่วัดพระเชตุพนเวลานั้นยังเป็นชานป้อมใหญ่ ซึ่งอยู่ราวโรงเรียนราชินี เพราะฉะนั้นวัดโพธิ์เป้นวัดสร้างเมื่อล่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ มาแล้ว 

สนใจอ่านเพิ่มเติมที่เว็บของวัดอรุณค่ะ



16.11 น. ถึงท่าเรือวัดอรุณแล้วค่ะ



ภูเขาจำลอง อยู่หน้าวัดทางด้านเหนือ หลังศาลาน้ำรูปเก๋งจีน 3 หลัง



ศาลาน้ำรูปเก๋งจีน 3 หลัง





พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2  ประดิษฐานอยู่ในบริเวณสวนหย่อมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระปรางค์ ผินพระพักตร์สู่แม่น้ำเจ้าพระยา พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะสำริด ขนาดความสูงจากพระเศียรถึงพระบาท 187 เซนติเมตร ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ฉลองพระองค์ครุย พระหัตถ์ซ้ายทรงพระแสงกระบี่เศียรนาค ฉลองพระบาทเชิงงอน ประทับยืนอยู่บนแท่นฐานหินอ่อนสีขาว 3 ชั้น สูงจากพื้นดินประมาณ 3.20 เมตร







ประตูซุ้มยอดมงกุฎ มียักษ์ยืนด้านหน้า



เดินตะลอน ๆ ทั้งวันเลย หิวน้ำมาก พักเหนื่อยแป๊บค่ะ จริง ๆ ควรกินน้ำเปล่าเนาะ แต่เราอยากกินอะไรเปรี้ยว ๆ เย็น ๆ
เลยสั่งชามะนาว หมดอย่างรวดเร็ว จะสั่งอีกแก้ว มะนาวหมด เลยสั่งน้ำอัดลมกระป๋องมาเทใส่แก้วน้ำแข็ง



วัดสุดท้ายของวันนี้แล้วค่ะ ...ระยะทางเดินวันนี้ ประมาณ 14 กิโล 20,049 ก้าว 



....ทางมุมรั้วข้างใต้ตอนหน้าวัด   มีที่บรรจุอัฐิของพลเรือเอก พระยาราชวังสัน (ศรี  กมลนาวิน) อดีตผู้บัญชาการทหารเรือตั้งอยู่หน้าอนุสาวรีย์  รั้วด้านที่ตรงกับภูเขาจำลอง  มีตุ๊กตาหินจีนอีก 6 ตัว เป็นรูปทหารจีนยืนอยู่บนกำแพงมุมละตัว และนั่งอยู่บนแท่นเลยกำแพงออกมาอีกมุมละตัว    ตรงทางเข้าอนุสาวรีย์มีตุ๊กตาจีนรูปกินนรีข้างละตัว



นึกไม่ออกถ่ายมาจากตรงไหนน้อ 



พระระเบียง หรือพระวิหารคด หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองและสีเขียวใบไม้ มีประตูเข้าออกอยู่กึ่งกลางพระระเบียงทั้ง 4 ทิศ โดยเฉพาะด้านทิศเหนือ  ทิศใต้ และทิศตะวันตก  มีซุ้มจระนำเหนือประตู   หน้าบันทำเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ประดับด้วยลายกระหนกลงรักปิดทองงามมาก  



พระอุโบสถวัดอรุณไม่มีกำแพงแก้ว แต่มีพระระเบียงหรือพระวิหารคดแทน พระระเบียงนี้  สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 2


 

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ทรงชมเชยว่า “พระระเบียง มีอยู่ให้ดูได้บริบูรณ์ ทรวดทรงงามมากกว่าพระระเบียงที่ไหนหมด  เป็นศรีแห่งฝีมือในรัชกาลที่ ๒ ควรชมอย่างยิ่ง แต่ลายเขียนผนังนั้น  เป็นฝีมือในรัชกาลที่ ๓  ทำเพิ่มเติม”  



ลายเขียนที่ผนังที่ทรงกล่าวถึงนั้น  เขียนเป็นซุ้มเรือนแก้วลายดอกไม้ใบไม้  มีนกยูงแบบจีนคาบอยู่ตรงกลาง พระพุทธรูปในพระระเบียงทั้งหมด  เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย 120 องค์  เสาพระระเบียงเป็นเสาอิฐถือปูนย่อเหลี่ยม บัวหัวเสาที่รับเชิงชายลงรักปิดทองประดับกระจกทุกต้น   ด้านในบานประตูทุกด้าน 



พระระเบียงนี้ได้ปฏิสังขรณ์ครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2497 เปลี่ยนเป็นกระเบื้องเคลือบใหม่ทั้งหมด ช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์  ตามซุ้มจระนำ  ทำใหม่บ้าง  ลงรักปิดทอง   ประดับกระจกสวยงาม



ช้างหล่อโลหะ มีอยู่ด้วยกัน 8 ตัว ขนาดสูง 1 เมตรเศษ ตั้งอยู่บนแท่นตรงประตูเข้าออกหน้าพระระเบียงแนวเดียวกับตุ๊กตาทหารจีนด้านละ 2 ตัว   ทุกตัวหันหน้าเข้าหาพระอุโบสถ  ช้างโลหะทั้ง 8 ตัวนี้มีอิริยาบถไม่เหมือนกัน บางตัวชูงวง  บางตัวปล่อยงวงลง  เป็นต้น  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 3  โปรดให้หล่อขึ้นเมื่อจุลศักราช 1208 (พ.ศ. 2389) บางทีจะโปรดให้สร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมชนกนาถ ซึ่งเฉลิมพระนามว่า พระเจ้าช้างเผือก เพราะในรัชกาลที่ 2 นั้น  มีช้างเผือกเอกมาสู่พระบารมีถึง 3 ช้าง








ซุ้มและใบเสมาพระอุโบสถ ใบเสมาเป็นหินสลักลวดลายงดงามและเป็นใบเสมาคู่  ประดิษฐานอยู่ในซุ้มหินอ่อน  ซึ่งทำเป็นรูปบุษบกยอดเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง  สูงประมาณ 2 วา  1 ศอก  มีอยู่ 8 ซุ้ม





ซุ้มเสมาหินนี้  สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเรียกว่า “ศิลาเขมร”  มีสิงโตหินแบบจีนตัวเล็กตั้งอยู่ระหว่างซุ้มใบเสมารอบพระอุโบสถ 112 ตัว  ตั้งอยู่บนแท่น มีเหล็กยึดแท่นให้ติดกันโดยตลอด เว้นแต่ช่องทางที่จะเดินขึ้นลงตรงบันไดทั้งมุขหน้ามุขหลังพระอุโบสถโดยเฉพาะ ตรงริมช่องว่างนั้น   มีตุ๊กตาหินรูปคนจีนนั่งบนเก้าอี้หน้าสิงโตจีนอีกช่องละ 2 ตัว รวมเป็น 16



หน้าพระระเบียงโดยรอบ มีตุ๊กตาหินรูปทหารจีนตั้งเรียงเป็นแถว ในระยะใกล้กันอีกเป็นจำนวน 144 ตัว  เว้นช่องไว้เฉพาะทางที่จะเข้าออกประตูพระระเบียงทั้ง 4 ทิศ ตรงมุมพระอุโบสถทั้ง 4 ซึ่งตรงกับมุมหักของเชิงชายพระระเบียงด้านในพอดี   มีพระเจดีย์จีนทำด้วยหินเป็นซุ้ม บรรจุตุ๊กตาจีน 8 ตัว ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “โป๊ยเซียน”  มียอดเป็นปล้อง ๆ เรียวเล็กขึ้นไปโดยลำดับ   คล้ายปล้องไฉนแบบพระเจดีย์ไทยมุมละองค์



ลักษณะของพระอุโบสถ  เป็นพระอุโบสถยกพื้นสูง หลังคาลด  2  ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองและเขียวใบไม้  ช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ลงรักประดับกระจก หน้าบันด้านหน้าและด้านหลัง เป็นรูปเทวดายืนถือพระขรรค์อยู่ในปราสาท  เป็นไม้แกะมีสังข์และคนโทน้ำวางอยู่บนพานข้างละพาน ประดับรายกระหนก  ตามลายกระหนกลงรักปิดทอง  มีมุขยื่นทั้งด้านหน้าด้านหลัง มีเสาใหญ่รับเชิงชายทั้งด้านเหนือด้านใต้  มีชานเดินได้  พื้นหน้ามุขและชานเดินรอบพระอุโบสถปูด้วยหินอ่อน  บันไดและเสาเป็นหินทราย  ระหว่างเสารอบพระอุโบสถถึงหน้ามุขทั้งสองด้านมีกำแพงเตี้ย ๆ  ประดับด้วยหินสลักเป็นรูปดอกไม้ใบไม้ ที่หุ้มกลองด้านหน้า





ลานพระอุโบสถปูด้วยกระเบื้องหินทั้งหมด




 เสาและผนังพระอุโบสถด้านนอกถือปูนประดับกระเบื้องจีนลายดอกไม้ร่วงซึ่งทรงปฏิสังขรณ์ในรัชกาลที่ 4  บัวหัวเสาและเชิงเสา  ลงรักปิดทอง  หน้าต่างมีทั้งหมด 14 ช่อง  คือด้านเหนือ 7 ช่องและด้านใต้ 7 ช่อง   ด้านนอกหน้าต่างเป็นลายรดน้ำซ่อมใหม่



ระหว่างประตูมีบุษบกยอดปรางค์ ประดิษฐานพระพุทธนฤมิตร  เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 4 โปรดให้หล่อขึ้น จำลองพระพุทธรูปฉลองพระองค์ในรัชกาลที่ 2 ซึ่งประดิษฐานอยู่ในหอพระสุราลัยพิมาน และได้นำมาประดิษฐานในรัชกาลที่ 5  ที่หุ้มกลองด้านหลังระหว่างประตูก็เป็นบุษบก  ยอดปรางค์มีพาน 2 ชั้น  ลงรักปิดทอง   และมีพุ่มเทียนตั้งอยู่    เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 4 มีพระราชดำริที่จะหล่อพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 3 และของพระองค์เองประดิษฐานไว้ แต่ค้างมามิได้ทำ



ด้านในพระอุโบสถ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน ฝีมืองามมาก บนผนังตอนเหนือหน้าต่างกับผนังด้านหน้าและด้านหลังพระประธานเป็นภาพพุทธประวัติ  มีข้อน่าสังเกตว่า เฉพาะหุ้มกลองด้านหน้าพระประธานนั้น  ตามปกตินิยมเขียนเป็นภาพมารผจญทั้งผนัง   แต่ที่พระอุโบสถนี้ กลับเขียนภาพมารผจญขึ้นไว้สูงสุดเหนือภาพพุทธประวัติ  มีขนาดไม่สู้จะใหญ่นัก ผนังด้านใต้เหนือบานหน้าต่างเป็นภาพเวสสันดรชาดก ตามช่องระหว่างหน้าต่างทุกช่องเป็นภาพชาดกเรื่องทศชาติ บานหน้าต่างทุกบานด้านในเป็นภาพต้นไม้และสัตว์  และด้านในประตูทั้ง 8 บาน   เป็นภาพต้นมักกลีผลหรือนารีผล    ตามรักแร้ประตูและหน้าต่าง  เป็นภาพในเมืองนรกและภาพเกี่ยวกับสุภาษิตโบราณ เช่น นิ้วด้วนได้แหวน เป็นต้น














พระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม มีพระนามว่า “พระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลก” หล่อในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศนภาลัย  รัชกาลที่ 2  กล่าวกันว่า พระพักตร์เป็นฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงปั้นหุ่น  เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  หน้าตักกว้าง 3 ศอกคืบ ประดิษฐานเหนือแท่นไพทีบนฐานชุกชี เบื้องพระพักตร์มีรูปพระอัครสาวก 2 องค์  หันหน้าเข้าหาองค์พระประธาน ระหว่างกลางพระอัครสาวก มีพัดยศพระประธานตั้งอยู่  พัดยศนี้เป็นพัดยศของพระราชาคณะชั้นเทพ  สังเกตได้ที่ใบพัดมีเพชรพลอยประดับ



ที่ผ้าทิพย์ตรงใบพัดยอด บรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย











พระวิหาร



เป็นพระวิหารยกพื้นสูงเช่นเดียวกับพระอุโบสถ  หลังคาลด 3 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี หน้าบันมีรูปเทวดาถือพระขรรค์นั่งอยู่บนแท่น  ประดับด้วยลายกระหนกลงรักปิดทองประดับกระจก มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหน้ามีประตูเข้า 3 ประตู   ด้านหลังมี 2 ประตู  



ผนังด้านนอกประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายก้านแย่งขบวนไทย ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ทรงยืนยันว่า เป็นกระเบื้องซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงสั่งมาแต่เมืองจีน  เพื่อจะใช้ประดับผนังด้านนอกพระอุโบสถ  แต่ไม่งามสมพระราชหฤทัย   จึงโปรดให้เอามาประดับผนังด้านนอกพระวิหารนี้   ด้านนอกของประตูและหน้าต่างทั้ง 14 ช่อง ทำขึ้นใหม่  เป็นลายรดน้ำรูปดอกไม้





ผนังด้านใน  เดิมคงมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง   เพราะเสาสี่เหลี่ยมข้างในและเรือนแก้วหลังพระประธานและบนบานประตูและหน้าต่างด้านในยังมีภาพสีปรากฏอยู่   แต่ปัจจุบันผนังได้ฉาบด้วยน้ำปูนสีเหลืองเสียหมดแล้ว  ยังเห็นเป็นรอยเลือนลางได้บางแห่ง  แต่น้อยเต็มที



พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร   พระประธานในพระวิหารปางมารวิชัย  หน้าตักกว้าง 6 ศอก  หล่อด้วยทองแดงปิดทอง  มีประวัติว่า  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้หล่อขึ้นพร้อมกับพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม  ฝั่งพระนคร  ประดิษฐานอยู่บนแท่นไพทีเหนือฐานชุกชีขนาดใหญ่   ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2496  ได้พบพระบรมธาตุ 4 องค์ บรรจุในโกศ 3 ชั้น คือ เงิน นาค และทอง  เป็นชั้น ๆ โดยลำดับ อยู่ในพระเศียร เหตุที่พบก็เพราะเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาส   ขณะนั้นยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์  ได้เห็นแสงสว่างปรากฏในห้องที่จำวัด และก่อนหน้านั้นพระครูใบฎีกาเจริญ  ผู้เฝ้าพระวิหารได้เห็นแสงพระรัศมี ลอยฉวัดเฉวียนอยู่ที่พระพุทธรูปสำคัญ  แล้วหายไปที่พระเศียรถึง 2 ครั้ง ท่านจึงให้พระครูใบฎีกาเจริญ  ขึ้นไปดูที่พระเศียรจึงพบพระบรมธาตุดังกล่าว  เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2496



พระอรุณ หรือ พระแจ้ง  เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย   ซึ่งองค์พระและผ้าทรงครองทำด้วยทองสีต่างกัน  หน้าตักกว้างประมาณ 50 ซม. ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี  ด้านหน้าพระพุทธชัมภูนุทฯ ตามประวัติกล่าวว่า เป็นพระพุทธรูปที่ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์  เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2401  และได้นำไปประดิษฐานอยู่ในพระบรมมหาราชวัง   ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 4  โปรดให้อัญเชิญมาไว้ในพระวิหารนี้  ด้วยทรงพระราชดำริว่า นามพระพ้องกันกับวัด



มณฑปพระพุทธบาทจำลอง



อยู่ระหว่างพระเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ 4 องค์ กับพระวิหารใหญ่ ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ก่อด้วยอิฐถือปูนประดับกระเบื้องถ้วยสีต่าง ๆ มีฐานทักษิณ 2 ชั้น สร้างในรัชกาลที่ 3



พระเจดีย์  4 องค์   อยู่ระหว่างพระระเบียงพระอุโบสถด้านใต้กับมณฑปพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเรียงเป็นแถวตรงจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ห่างกันพอควร เป็นพระเจดีย์แบบเดียวกัน และมีขนาดเท่ากันทั้งหมด คือ เป็นพระเจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูนย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยและกระจกสีต่าง ๆ เป็นลวดลายดอกไม้และลายอื่น ๆ งดงามมาก   มีฐานทักษิณสำหรับขึ้นไปเดินรอบองค์พระเจดีย์ 1 ชั้น  มีบันไดขึ้นลงทางด้านเหนือ  บริเวณพระเจดีย์ติดกับพระระเบียงพระอุโบสถ   ปูด้วยแผ่นกระเบื้องหิน






หอระฆัง



พระปรางค์วัดอรุณ



พระปรางค์ใหญ่ ปรางค์ทิศ มณฑปทิศ



มณฑปทิศ 



พระปรางค์ใหญ่





















17.34 น.









โบสถ์น้อย วันนี้ไม่ได้เข้าชมด้านในค่ะ (เคยอัปบล็อกไปแล้ว)





รูปยักษ์ยืน  หน้าประตูซุ้มยอดมงกุฎมี 2 ตัว มือทั้งสองกุมกระบอง ยืนอยู่บนแท่น  สูงประมาณ 3 วา  ยักษ์ที่ยืนด้านเหนือ (ตัวขาว) คือ สหัสเดชะ  ส่วนด้านใต้ (ตัวเขียว) คือ ทศกัณฐ์  ปั้นด้วยปูน  ประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายรูปลักษณะและเครื่องแต่งตัว  รูปยักษ์คู่นี้เป็นของทำขึ้นใหม่  ข้างยักษ์ตัวด้านเหนือ มีสิงโตหิน 3 ตัว และข้างตัวด้านใต้มีสิงโตหินอีก 3 ตัว เช่นเดียวกัน



17.45 น. กำลังข้ามฝั่งกลับมาฝั่งท่าเตียนค่ะ



สะพานพุทธสีเขียว



ป้อมวิไชยประสิทธิ์



17.47 น.



อาคารเก่าท่าเตียน




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2565
1 comments
Last Update : 19 เมษายน 2565 14:19:57 น.
Counter : 1672 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณThe Kop Civil, คุณทนายอ้วน, คุณเริงฤดีนะ, คุณtoor36, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณhaiku, คุณSweet_pills, คุณกิ่งฟ้า, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณKavanich96, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณกะว่าก๋า, คุณSleepless Sea, คุณหอมกร, คุณTui Laksi, คุณชีริว, คุณnewyorknurse, คุณอุ้มสี, คุณtuk-tuk@korat, คุณInsignia_Museum, คุณkatoy, คุณตะลีกีปัส, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณปรศุราม, คุณpeaceplay

 

https://youtu.be/Moelfzt1JBs

 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 19 เมษายน 2565 14:16:52 น.  


สายหมอกและก้อนเมฆ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 165 คน [?]




เป็นคุณแม่ของ 1 ลูกสาว และ 1 ลูกชายค่ะ

เป็นแม่บ้านฟูลทาม อาชีพ ขสมก.
(แปลว่า...ขอสามีกิน อ่านเจอที่ไหนไม่รู้ ชอบค่ะ เลยยืมมาใช้หน่อย)

เมื่อไหร่ที่พอจะจัดสรรเวลาได้...
จะไปเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัวเสมอค่ะ...

โลกนี้แสนกว้างใหญ่ มีอะไรให้เราเรียนรู้อีกมากมาย พบเจออะไรดี ๆ ที่พอจะมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่มากก็น้อย เลยเอามาแบ่งปันกัน

ลิขสิทธิ์...เป็นของบุคคลที่อยู่ในภาพ
ขอบคุณค่ะ

Friends' blogs
[Add สายหมอกและก้อนเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.