|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เหตุใดทำดีไม่ได้ดี
กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ หมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา หรือความตั้งใจ จงใจ ที่เราทำไว้เอง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วเราก็รับผลแห่งกรรมนั้น เรียกว่า " กฎแห่งกรรม "
เรื่องของกรรม เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนมาก ลำพังปุถุชนคนธรรมดา ไม่อาจที่จะรู้ให้ตลอดสายได้ อย่าว่าแต่กรรมในอดีต ที่ข้ามภพข้ามชาติหลายชาติเลย แม้กรรมในปัจจุบันเราก็ยังรู้ได้ยาก เช่น บางคนทำแต่ความดีมาตลอด แต่ก็ได้รับความทุกข์ หรือความเดือดร้อนต่าง ๆ เป็นต้น บางคนทำแต่ความชั่ว แต่ก็ได้รับยกย่อง มีเกียรติ เป็นต้น
ในที่นี้ไม่มีความประสงค์จะเขียนเรื่องกรรม เพราะมันยุ่งยากและเสียเวลามาก แต่จากการที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มาเป็นเวลานาน จนเกิดความมั่นใจว่า กฎแห่งกรรมนี้ยุติธรรมยิ่ง อยากขอให้ท่านผู้อ่านเชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า " ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วแน่ "
การไม่เชื่อกรรม หรือกฎแห่งกรรม มีผลเสียมาก ที่บางคนท้อใจไม่อยากทำดี ก็เพราะไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่อยากทำความดี เมื่อไม่ทำความดี ชีวิตก็หมดความสุข การเชื่อกฎแห่งกรรมเพียงประการเดียว ทำให้คนเราตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี ชีวิตก็ย่อมจะประสบความสุข ทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป
บางคนอาจจะสงสัยว่า ก็เราไม่เคยทำความชั่ว และได้ทำแต่ความดีมาโดยตลอด แต่ทำไมจึงได้รับความเดือดร้อนต่างๆ อยู่เป็นประจำ ? อย่าได้สงสัยให้เสียกำลังใจในการทำความดีเลย นั่นเป็นผลของความชั่ว ที่เราได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จงยินดีรับและทำความดีเรื่อยไป ในวันหนึ่งมันก็ย่อมหมด และกรรมดีก็ย่อมจะให้ผลเราบ้าง คราวนี้เราก็ย่อมจะได้รับผลของความดี คือความสุขอื้อซ่าไปเลยเชียวละ
ก็คิดดูหรือเอาอะไรตรองดูเถอะ ! ขนาดในชาตินี้เราไม่ทำชั่ว เรายังเดือดร้อนถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเราขืนไปทำชั่วต่อเข้าอีก นอกจากในชาตินี้เราจะเดือดร้อนแล้ว ในชาติต่อไปเราก็ยิ่งจะเดือดร้อนใหญ่
อย่าสงสัยเลย กรรมกับการให้ผลของกรรม ย่อมลงตัวกันเสมอ เช่น เราทำบุญ เราก็ย่อมสบายใจ เราทำบาป เช่น ฆ่าเขา เราก็ย่อมจะทุกข์ใจ กลัวผลกรรมจะตามสนองก็เห็นกันอยู่เจ๋ง ๆ แล้ว ยังจะสงสัยอะไรกันอีกเล่า ? เราไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา เราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ ก็เห็นเหตุและผลกันอยู่ทนโท่แล้วนี่นา จะมัวชักช้าอยู่ไย ?
ที่คนส่วนมาก มักจะเข้าใจการให้ผลของกรรมผิด ก็โดยการเอาการให้ผลกรรมฝ่ายรูปหรือวัตถุ ไปรวมกับการให้ผลกรรมฝ่ายนามหรือจิตใจไปเสีย คือเข้าใจเพี้ยนไปว่าคนทำบุญให้ทาน จะต้องร่ำรวยทันตาเห็น เพราะทางพระสอนว่า คนให้ทาน เกิดชาติใดจะร่ำรวยมีเงินทองมากมายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เป็นต้น
แต่แล้วเหตุไฉนคนยิ่งทำบุญมาก ก็ยิ่งยากจนลง ? และคนเข้าวัดส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นคนจนเล่า ? หรือว่าพระท่านจะหลอกให้คนทำบุญ ท่านจะได้ร่ำรวย กินดีอยู่สบาย ? ขอชี้แจงเรื่องผลของบุญ หรือผลของกรรมประเภทรูปและนามดังนี้
ผลบุญหรือกรรมประเภทรูป (วัตถุ) นี้ ค่อนข้างจะพิสูจน์ยาก เพราะรู้สึกว่า ผลของกรรมหรือบุญฝ่ายนี้ค่อนข้างจะเดินทางช้า ไม่ค่อยจะทันใจคนที่คิดมากเลย
แต่ก็ขอให้มั่นใจเถอะว่า เรื่องของการให้ผลของกรรมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุญหรือบาปก็ตาม ย่อมจะลงตัวกันเสมอ จะมีตัวแปรให้เสียคิวไปบ้าง ก็ย่อมจะไม่พ้นวงจรของกรรมอีกเช่นกัน ที่เราเห็นว่า คนรวยเข้าวัดทำบุญน้อย ก็เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือ หาเวลาว่างยาก กับประมาทมัวเมาในความมีทรัพย์ ตรงข้ามกับคนจน ซึ่งมีเวลาว่างมาก ( ลูกจึงมาก ) และมักจะเห็นโทษของความจน จึงตั้งหน้าแต่ทำบุญ หวังว่าชาติหน้าจะได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง
ส่วนผลบุญหรือกรรมประเภทนาม ( จิตใจ ) นี้ เราสามารถเห็นได้ทันทีทันใดทั้งที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยว่า คนทำบุญหรือทำความดี จิตใจย่อมจะสดชื่นและแจ่มใสในทันที หรือแม้เพียงแต่คิดเท่านั้น บุญก็เกิดแล้ว ยกเว้นแต่คนที่ " มือถือสาก ปากถือศีล " หรือ " ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ " หรือ " ทำบุญเอาหน้า ภาวนาตอแหล " เท่านั้นแหละ ที่การกระทำมักจะสวนทางกับความคิดอยู่ตลอดเวลา
การเชื่อกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง จะช่วยตัดหรือปัดความผิดไปให้คนอื่นจนหมดสิ้น ทำให้เรายอมรับความจริงอันเกิดขึ้นจากผลกรรมว่า เป็นการกระทำของเราเอง เราทำไว้ด้วยตัวเราเอง ความทุกข์อันเกิดจากความคั่งแค้น ว่าคนอื่นมาทำให้เรานั้น ก็เป็นอันว่าหมดไป
เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว เราทำของเราเอาไว้เองทั้งนั้น แล้วเราจะไปตีโพยตีพายเอากับใคร ? ยิ่งเอะอะมะเทิ่งมากไป ก็จะยิ่งขายหน้าท่านผู้รู้เขาเปล่า ๆ เสียภูมิของบัณฑิตหมด
" ก็เขามาทำให้ฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขานี่นา "
บางคนอาจจะยังปากแข็งไม่ยอมเชื่อ ใช่ ! นั่นแหละ ? เราได้ไปทำกะเขาเอาไว้ก่อน ชาติก่อน ๆ โน้น ! ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเราต้องไปทำเขาไว้ก่อนแน่ อย่าได้ไปโต้ตอบเขาเลย มันจะได้หายหรือเจ๊ากันไป ขืนไปตอบโต้เขาก็จะทำให้ผลกรรมใหม่นี้ มันก็จะติดตามไปชาติหน้าอีกไม่รู้จักหมดกรรมหมดเวรกันสักที
ก็เหมือนเรื่องสมเด็จ (โต) ท่านตัดสินคำฟ้องที่ว่า มีพระสองรูปไปบิณฑบาตทางเรือ องค์หนึ่งพายหัว องค์หนึ่งพายท้าย แต่แล้วเหตุใดไม่ทราบ องค์พายท้ายเกิดเอาพายไปไปตีหัวองค์พายหัวเรือเข้า ท่านก็ไปฟ้องสมเด็จฯ สมเด็จฯ ท่านก็ตัดสินว่า
" ก็คุณไปตีเขาก่อนนี่ เขาจึงตีเอา "
พระรูปพายหัวเรือก็แย้งว่า " กระผมไม่ได้ตีเขา เขาตีผมข้างเดียว "
สมเด็จฯ ท่านก็ยังยืนยันอย่างนั้น จนต้องไปฟ้องพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเหนือกว่า สมเด็จ (โต) ท่านก็จึงได้เฉลยว่า
" ถ้าพระองค์นี้ไม่ไปตีเขาไว้ในชาติก่อนแล้ว เหตุใดเขาจึงได้มาถูกตีในชาตินี้เล่า ? "
เรื่องนี้ก็ยุติกันไป เพราะสมเด็จฯ ท่านเล่นยกไปให้กรรมเก่าในชาติก่อน มันก็เอวังกันเท่านั้นเอง
เอาเป็นว่า การที่เราได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ความยากจน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจทั้งหมดเหล่านั้น ล้วนเป็นผลมาจากกรรมชั่วของเราในอดีตโน้นกำลังให้ผลอยู่ (อย่าถามว่าชาติไหนนะ ? ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าท่านน่ะ)
ส่วนว่าเราได้รับความสุข ความสบาย ความร่ำรวย.... นั่นก็เป็นผลของกรรมฝ่ายดี ทั้งในอดีตและในปัจจุบันกำลังให้ผลอยู่ ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก แต่ก็เห็นได้ง่ายๆ ว่า แม้ว่าคนนั้นจะมีบุญมากปานใด ? ก็จะส่งให้มาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ถ้าโง่และขี้เกียจในชาตินี้ มันก็ไม่พ้นความยากจนไปได้
เป็นอันว่า การเชื่อกฎแห่งกรรมนั้น มีแต่ผลดี คือช่วยเป็นกำลังใจ ให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป และความดีนั้นย่อมมีผลเป็นความสุข ผู้ทำความดีก็ย่อมจะมีความสุขในปัจจุบัน และแม้สิ้นชีพไปแล้ว ก็ย่อมจะไปเกิดในสุคติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย.
....................................................................................................................
คัดลอกจากหนังสือสู่ความสุข ธรรมรักษา เรียบเรียง
ที่มา //www.dhammajak.net/webboard/s...ry=d_kam&No=189
Create Date : 30 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 29 ธันวาคม 2552 15:49:40 น. |
|
0 comments
|
Counter : 553 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|