<<
พฤษภาคม 2558
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 พฤษภาคม 2558
 

ลอดลายมังกร : ประภัสสร เสวิกุล

รีวิวนิยายกันแบบ non-stop เลยทีเดียว สำหรับหนังสือที่จะเขียนรีวิววันนี้ เมื่ออ่านจบ จขบ.ถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิบแปดปีที่เกิดมาเราไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เคยรู้จักหนังสือดีๆ แบบนี้มาก่อน เริ่มอ่านตอนค่ำๆ รู้สึกสนุกจนวางไม่ลง พอจะหยุดอ่านไปเข้านอน ก็บอกตัวเองว่า ขออีกบทเถอะ.. บทสุดท้ายแล้ว.. ขอไปขอมา อ่านจนจบรวดเดียวเลยค่ะ หยุดไม่ได้ สนุกมากๆ หันไปมองนาฬิกา นู่น ตีสอง เล่มนี้บอกเลยว่าต้องเก็บขึ้นหิ้ง และจะต้องมีการหยิบมาอ่านซ้ำอย่างแน่นอนค่ะ





เรื่องย่อจากวิกิพีเดียค่ะ
อาเหลียง มีภรรยาชื่อ เหมยหลิง มีลูกชายเล็ก ๆ 2 คนชื่อ อาเทียน กับ แอนดี้ อาเหลียงได้เดินทางจากซัวเถาสู่เมืองไทยด้วยเรือสำเภาพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน คือ อาจั๊วและหลงจู๊บุ๋น ด้วยความหวังที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวอาเหลียงได้เริ่มกิจการเล็ก ๆ จนขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น และได้แต่งงานอีกครั้งกับภรรยาชาวไทย ชื่อ เนียม (ซึ่งต้องยุติความฝันในการศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยมาแต่งงานกับอาเหลียง) และมีลูกด้วยกันหลายคน โดยลูกคนโตเป็นลูกชาย ชื่อ นัฐกิจ จนกระทั่งเหมยหลิงพร้อมลูกได้เดินทางสู่เมืองไทยเพื่อตามหาอาเหลียง ความวุ่นวายในครอบครัวก็เกิดขึ้น พร้อม ๆ กับการขยายตัวของกิจการ ซึ่งมีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ด้วยความยึดมั่นในคุณธรรมและความขยัน ด้วยการเตือนใจด้วยตัวอักษรคำว่า "หงี" (จีน: 义) ซึ่งหมายถึงคุณธรรมที่ติดไว้กลางบ้าน

หลายปีผ่านไป ลูกหลานของอาเหลียง เหมยหลิง และ เนียม ก็เติบโตขึ้น หลายคนได้ช่วยขยับขยายกิจการจนประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะแอนดี้บุตรชายคนรอง ในขณะที่อาเทียนบุตรชายคนโตกลับทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จเลย ในขณะที่หลาน ๆ ของอาเหลียง แต่ละคนก็มีบุคคลิก นิสัยแตกต่างกันออกไป และชาญชัย ลูกชายเพียงคนเดียวของแอนดี้และเป็กกี้ ภรรยาชาวฮ่องกงของแอนดี้ ผู้เป็นลูกสาวของโรเจอร์ เฟย มหาเศรษฐีเจ้าของกิจการเดินเรือชาวฮ่องกง ที่ถูกเลี้ยงมาด้วยการเอาใจมาแต่เล็ก ก็ได้สร้างความหายนะให้แก่กิจการและเสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลในบั้นปลายชีวิตของอาเหลียง โดยที่เรื่องราวทั้งหมดถูกบอกเล่าผ่านโดย นภา หลานชายของอาเหลียงที่เป็นลูกชายของ นภ ลูกชายคนรองของอาเหลียงกับเนียม

--------------------------------------------------------------------------

เรื่องราวทั้งหมดในเรื่องถูกเล่าผ่านนภา หลานปู่ของเถ้าแก่เหลียง หรืออาเหลียง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ความเป็นมาของการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาตั้งถิ่นฐานของอาเหลียง ที่อพยพออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ชนิดเสื่อผืนหมอนใบ แรกเริ่มเดิมทีก็มารับจ้างทำงานเป็นจับกังในเยาวราช ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ ลำบากยากเข็ญ ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายปีจนกระทั่งสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว จากร้านขายกาแฟเล็กๆ มาสู่ตัวแทนจำหน่ายกาแฟ นมผง จากบริษัทฝรั่ง หลังจากนั้นอาเหลียงก็ได้เริ่มสร้างบริษัทนัฐกิจโกศล ที่ต่อมาได้แตกกิ่งก้านสาขาเป็นบริษัทเล็กๆ ในเครือออกมาอีกมากมาย กลายเป็นบริษัทที่ทั้งมั่งคั่งและมั่นคง เมื่อนภาได้เล่าประวัติของอาเหลียงให้ผู้อ่านได้เห็นภาพกันแล้ว นภาก็หันมาเล่าถึงสมาชิกภายในบ้าน ได้แก่ ภรรยาทั้งสามของอาเหลียง ลูกที่เกิดจากภรรยาทั้งหมดเก้าคน และบรรดาหลานๆ ภายในตระกูล ที่จะมาแก่งแย่งชิงดี ชิงไหวชิงพริบ ริบอำนาจกันภายในชายคาเดียวกันนั่นเอง

จขบ.ไม่เคยอ่านนวนิยายของคุณประภัสสร เสวิกุลมาก่อน เล่มนี้ก็ได้มาอย่างบังเอิญตอนเดินผ่านบูธนานมีบุ๊คส์ในงานสัปดาห์หนังสือ อ่านปกหลังแล้วเห็นว่าน่าสนใจก็เลยซื้อมา ไม่รู้จักทั้งนักเขียน ไม่รู้จักลอดลายมังกรอันโด่งดังที่เคยทำเป็นละครที่ได้รับความนิยมสุดๆ มาก่อน นึกขอบคุณตัวเองที่วันนั้นตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้ไปจ่ายตังค์ ไม่งั้นคงไม่ได้ทำความรู้จักกับนักเขียนท่านนี้ และหนังสือดีๆ เล่มนี้

อาเหลียง เป็นตัวอย่างของคนจีนโพ้นทะเลที่ขึ้นเรือมายังประเทศไทย หวังมาตายเอาดาบหน้า แรกเริ่มนั้นก็ทำงานตัวเป็นเกลียว เก็บหอมรอมริบจนสามารถลืมตาอ้าปาก จากนั้นก็เริ่มทำธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นจนขยายกิจการให้รุ่งเรืองได้ อาเหลียงแม้จะไม่ได้จบปริญญา ไม่ใช่คนมีความรู้สูง แต่สำหรับจขบ. อาเหลียงเป็นคนมี 'ปัญญา' และยิ่งไปกว่านั้น อาเหลียงเป็นคนมีคุณธรรม มีคติประจำใจที่อาเหลียงยึดถือและให้ความสำคัญมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบายนิสัยใจคอและจุดยืนในการทำงานของอาเหลียงไว้หมดเลย คตินั้นก็คือ

'เราถือว่าข้าวของเงินทองเมื่อหมดไปแล้ว หากยังพอมีกำลังวังชาอยู่ก็อาจหาใหม่มาทดแทนได้ แต่ชื่อเสียงและความไว้วางใจที่อุตส่าห์สร้างสมมาหากสูญสิ้นลงแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีทางสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้อีก'

แต่ใช่ว่าอาเหลียงจะไม่เคยทำสิ่งไม่ดีเลย อาเหลียงก็ยังเป็นมนุษย์ที่ต้องเคยทำพลาด เคยตัดสินใจผิด อาเหลียงอาจจะเก่งในเรื่องการทำธุรกิจ เก่งในกลยุทธ์การค้า แต่พอมาถึงเรื่องลูกเมีย อาเหลียงกลับไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ลูกทั้งเก้าคนของอาเหลียง สร้างปัญหาให้กับครอบครัว ให้กับบริษัท มิหนำซ้ำยังคิดจะแก่งแย่งชิงดีกันเองในบ้าน อาเหลียงเคยปรารภอย่างปลงตกไว้ว่า

'พ่อแม่เลี้ยงลูกได้แต่ตัว เหมือนช่างต่อเรือที่ถึงจะต่อเรือให้วิเศษขนาดไหน แต่เจ้าของเรือหรือไต้ก๋งจะเอาเรือไปล่องหรือทำอะไร หรือจะแล่นไปไกลได้กี่มากน้อยก็สุดแล้วแต่ใจเขา เพราะเกินกว่าสติปัญญาเราจะคาดเดาได้ล่วงหน้า'
และ
'ลูกหลานก็เหมือนกันตาไม้ที่แตกจากลำต้นของเรา จะชั่วหรือดีอย่างไรก็ตัดกันไม่ตาย ขายกันไม่ขาด ได้แต่ตั้งหน้าเลี้ยงดูกันจนสุดกำลัง'

จขบ.คิดว่าศึกในบ้านของอาเหลียงนั้นออกจะร้ายแรงจะก่อให้เกิดบาดแผลยิ่งใหญ่ในจิตใจมากกว่าศึกธุรกิจพันล้านนอกบ้านเสียอีก ชีวิตของอาเหลียงนั้นหากเปรียบได้กับเรือ ก็คงจะเป็นเรือที่ต้องเจอทั้งลมพัดแรงจนเรือต้องหันออกนอกเส้นทาง และคงต้องเจอมรสุมกระหน่ำ ทำเอาเรือโคลงเคลงแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของอาเหลียงนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ เป็นบทเรียนชีวิตและข้อคิดที่ดีให้กับผู้อ่านอย่างเราๆ

คิดไปคิดมา ลอดลายมังกร ก็ดูเหมือนจะเป็นหนังสือที่ดี จนจขบ.ไม่รู้จะรีวิวตรงจุดไหน อาจเพราะยังไม่มีความสามารถพอที่จะพูดถึงความพิเศษของเนื้อหาภายในเล่มได้อย่างที่ใจรู้สึก เล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์ การทำธุรกิจระหว่างพี่น้อง ความอิจฉาริษยาของเหล่าผู้หญิงที่มีอำนาจในบ้าน ความคิดของผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอย่างโชกโชนของอาเหลียง ผู้อ่านจะได้รับอะไรมากมายจากการอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอนค่ะ

ขอแปะข้อคิดดีๆ ที่ประทับใจจากหนังสือไว้ในบล็อกแล้วกันนะคะ

'แม้เมืองไทยจะไม่ใช่ "บ้านเกิด" ของปู่ แต่ปู่ก็ย้ำมาแต่ไหนแต่ไรว่าที่นี่คือ "เรือนตาย" ปู่ว่าสำหรับคนจีนแล้วถือว่าทั้ง "บ้านเกิด" และ "เรือนตาย" ล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์พอๆ กัน และบางครั้งสิ่งหลังอาจมีความสำคัญเหนือกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนเราไม่อาจเลือกที่เกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่ที่เราจะใช้ชีวิตทำมาหากิน และที่ที่จะฝังเรือนร่างของตัวเองเมื่อยามสิ้นลมหายใจได้'

'ปู่ว่าเมืองไทยมีบุญคุณกับปู่ ทำให้ปู่มีกินมีใช้ มีกำลังเลี้ยงดูลูกหลานมาตั้งแต่ต้น แม้ตลอดเวลาปู่จะยังคงถือว่าตัวเองเป็นคนจีน ไม่พยายามแต่งจริตทำตัวเป็นคนไทยจนเกินเหตุเหมือนเพื่อนฝูงบางคน แต่ปู่ก็ถือว่าตัวเองเป็นคนจีนที่ "กตัญญู-รู้คุณธรรม" และรำลึกถึงพระคุณของแผ่นดินที่ก่อร้างสร้างตัวมาอยู่เสมอ'

'มดเป็นสัตว์ที่ขยันขันแข็ง มานะอดทน และบากบั่นพากเพียร ต่อให้ฝนตกแดดออกหรือแสนไกลแค่ไหน มดก็ไม่ย่อท้อหรือเหนื่อยหน่ายกับการออกไปหาอาหาร มดเป็นสัตว์สะอาด ทั้งความเป็นอยู่และการหากิน ซึ่งอันนี้เราถือว่ามันมีชีวิตที่สุจริต มันมีระเบียบวินัย และที่สำคัญคือรักพวกรักพ้อง ถึงมันจะติวนิดเดียวแต่ถ้าใครมารังแก มันก็ช่วยกันต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย'

'ถ้าไม่มีคุณธรรมเป็นสิ่งจรรโลงจิตใจ คนเราก็คงไม่แตกต่างไปจากสัตว์ป่า เราคงจะฉกฉวยแย่งชิงสิ่งที่เราอยากได้ โดยไม่คำนึงว่าสิ่งนั้นจะมีใครเป็นเจ้าของครอบครองอยู่แล้วหรือไม่ ผู้ใหญ่ก็ข่มเหงรังแกผู้น้อยหรือคนที่อ่อนแอกว่าตามอำเภอใจ ลูกหลานจะดูหมิ่นดูแคลนพ่อแม่คนที่แก่เฒ่าให้ได้รับความทุกข์ยากร้อนใจ'



Create Date : 14 พฤษภาคม 2558
Last Update : 21 มิถุนายน 2558 23:18:39 น. 4 comments
Counter : 6068 Pageviews.  
 
 
 
 
ปกสวยค่ะ ของผู้เขียนยังไม่เคยอ่านเลย เรื่องนี้จากชื่อคุ้นๆว่าเคยเป็นละคร
 
 

โดย: kunaom วันที่: 15 พฤษภาคม 2558 เวลา:10:11:52 น.  

 
 
 
จำได้ว่าเคยอ่านนานมากแล้วค่ะ
 
 

โดย: Serverlus วันที่: 16 พฤษภาคม 2558 เวลา:20:00:11 น.  

 
 
 
เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านนะคะ เคยดูแต่เป็นละครตอนเด็ก ๆ ค่ะ วันก่อนหยิบเรื่องลานมยุเรศ ของนักเขียนท่านนี้มาอ่าน พี่อ่านไม่รอดแหละ อ่านได้ครึ่งเล่มก็หมดใจที่จะอ่านต่อค่ะ รู้สึกเนื้อเรื่องเนือย ๆ ช้าไม่ทันใจสว. อย่างพี่ อิอิ
 
 

โดย: กรุงอินทร์ วันที่: 17 พฤษภาคม 2558 เวลา:7:36:31 น.  

 
 
 
คุณkunaom
ใช่ค่ะ เคยทำเป็นละคร เนื้อเรื่องดีมากๆเลยนะคะ

คุณServerlus
เล่มนี้ก็อายุประมาณยี่สิบกว่าปีได้แล้วค่ะ

คุณกรุงอินทร์
คุณกรุงอินทร์สวก็คงไม่มีแก่แล้วล่ะค่ะ (งานฉอเลาะต้องมา 55555)
 
 

โดย: Moonshiner IP: 125.25.205.153 วันที่: 18 พฤษภาคม 2558 เวลา:1:07:26 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Moonshiner
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Reading is what shapes me to be who I am today
New Comments
[Add Moonshiner's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com