พี่สาว และ น้องชาย พี่ชายและน้องชาย (ลองอ่านดูนะคะ ซึ้งมากๆๆ) ฉันมีน้องชายอยู่คนหนึ่งอายุน้อยกว่าฉัน 3 ปีวันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันเขามีกันเมื่อพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า ในมือพ่อมีไม้ไผ่หนึ่งก้าน “ใครขโมยเงินไป”พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายของฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า“ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่”พ่อชูไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือพ่อไว้แล้วพูดว่า“ผมขโมยเองครับ” เมื่อตอนน้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลายว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเช่นกันคืนนั้นฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า “ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร เราก็ไม่ค่อยมีเงิน”ทันใดนั้นน้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว”พ่อเหวี่ยงมือตบแก้มน้องของฉันฉาดใหญ่ “ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”คืนนั้นทั้งคืน พ่อเดินไปตามบ้านต่างๆทั่วหมู่บ้านเพื่อขอยืมเงิน วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมกับเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชิ้น เขาทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะที่ฉันหลับ“พี่ครับ การเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆนะผมจะไปหางานทำ แล้วส่งเงินมาให้พี่”ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชาย ด้วยน้ำตานองหน้าตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายได้รับเป็นค่าจ้างจากการทำงานเป็นกรรมกรที่ไซต์ก่อสร้างฉันจึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3วันหนึ่งขณะฉันนั่งอาจหนังสือในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันเข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ” ฉันเดินออกไป เห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวเปรอะเปื้อนฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้างฉันถามเขาว่า “ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายของพี่ล่ะ” น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า “ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ เพื่อนๆก็หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องชาย พูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ “พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดอย่างไร เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรก็ตาม” จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า “ผมเห็นสาวๆในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”ฉันหมดเรี่ยวแรงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามากอดแล้วร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ20ปีส่วนฉันอายุ23ปี วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มมาบ้านครั้งแรก ฉันสังเกตว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว และบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า “แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านและซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ” แม่ยิ้มและพูดว่า “แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกไม่เห็นมือของน้องเหรอเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ” ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม” ฉันถาม “ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้าง วันๆมีหินหล่นใส่เท้าเต็มไปหมด แต่มันไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และน้ำตาไหลอาบหน้าฉันอีกครั้ง “เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ” ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปีแล้วหลังจากนั้นฉันได้แต่งงาน สามีของฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันรับตำแหน่งผู้จัดการ แต่น้องชายของฉันไม่รับ เขาเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา วันหนึ่งเขาปีนไปซ่อมสายเคเบิ้ลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ฉันและสามีไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือก ฉันโกรธมากจึงตวาดน้องไปว่า “ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! จะได้ไม่ต้องทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมไม่ยอมฟังพี่บ้าง”คำตอบจากปากน้อง รวมทั้งสีหน้าเคร่งเครียด ยืนยันความคิดเดิมของเขา “พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งเป็นประธาน ส่วนผมการศึกษาต่ำ ถ้าผมเป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด” น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วยฉันบอกกับน้องว่า “แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่” “ทำไมพี่ต้องพูดเรื่องที่ผ่านมาด้วยล่ะครับ” น้องชายจับมือของฉันไว้ตอนนั้นน้องชายของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ29 ปีและเมื่อน้องชายของฉันอายุ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานได้ถามน้องชายของฉันว่า “ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม เราสองคนต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงเพื่อเดินไปโรงเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งหิมะตกหนัก ผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวของผมจึงให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอใส่ถุงมือข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อถึงบ้าน มือของเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ป.ล. ปัจจุบันพี่สาวอายุ 86 ปี ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท ส่วนน้องชายอายุ 83 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า “ซัมซุง” โดย: mookung_kamon วันที่: 13 กันยายน 2555 เวลา:13:22:53 น.
ผมเป็นผู้ชาย วัย 39 ปี อ่านไปร้องไห้ไป น่าอายจัง นี่แหละหนาที่ชาวโลกเรียกว่าความรักความห่วงใย ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ที่ทำให้น้ำตาได้ชะร่างความรู้สึก ขอบคุณจริง ๆ ครับผม
โดย: อัญญา นิติธรรม IP: 202.173.217.49 วันที่: 5 ตุลาคม 2556 เวลา:9:38:35 น.
|
mookung_kamon
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] All Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |