ฝันมานานแล้วคะว่าอยากจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นสักครั้ง และแล้วความฝันก็เป็นจริงซะที หลังจากที่ไปดำเนินเรื่องขอวีซ่าเรียบร้อย โดยเราขอเป็นวีซ่า Double Transit คะ เพราะเราจะเดินทางเข้าญี่ปุ่น 2 ครั้ง คือจากเมืองไทยไปอเมริกาโดยแวะเที่ยวที่ญี่ปุ่น และขากลับอีกครั้งหนึ่งซึ่งแค่แวะต่อเครื่องอย่างเดียว การที่เราขอวีซ่าแบบนี้ เราจะสามารถเข้าไปเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นได้ครั้งละ 15 วันคะ เราจัดการหาข้อมูลไม่ว่าจะทางอินเทอร์เน็ต หรือหนังสือท่องเที่ยวต่างๆ งานนี้เราหมดสะตังต์ไปกับค่าหนังสือเยอะพอสมควรทีเดียว ด้วยความที่ได้ยินได้ฟังมามาก ว่าการจะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเอง โดยไม่ได้ใช้บริการของบริษัททัวร์ อาจจะลำบากเพราะคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ทำให้เราค่อนข้างจะวิตกมากสักหน่อยการเดินทางไปญี่ปุ่นคราวนี้เรามีเวลา 4 วัน 3 คืนคะ โดยหาโอกาสมาเที่ยวในช่วงที่ต้องเดินทางจากเมืองไทยมาอเมริกา เราก็เลยเริ่มคัดเลือกเมืองที่เราจะไปเที่ยวกัน สรุปแล้วก็ได้มา 2 เมืองคะ เมืองแรกที่พลาดไม่ได้ ก็คือ โตเกียว เพราะเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นที่ใครๆที่ไปญี่ปุ่นก็จะต้องไปเที่ยวดูวามเจริญทางด้านเทคโนโลยีของที่นี่และที่พลาดไปได้ก็คือช็อปปิ้ง ส่วนอีกที่หนึ่งเป็นเมืองที่สามารถสนองความต้องการส่วนตัวของเราคะ เพราะเราอยากจะเห็นภูเขาไฟฟูจิสักครั้ง และไปลองอาบน้ำแร่ญี่ปุ่น (ออนเซน) และอยากไปนอนแบบญี่ปุ่น (เรียวกัง) สักครั้งหนึ่งในชีวิต และแล้ว ฮาโกเน่ ก็คือเมืองที่ตรงใจเรามากที่สุดคะ เพราะทราบมาว่า ฮาโกเน่ มีชื่อเสียงเรื่องการอาบน้ำแร่มายาวนานแล้ว ดังนั้นเราก็เริ่มลงมือจองโรงแรมทางอินเทอร์เน็ตทันทีเลยคะความกังวลอีกหนึ่งอย่างที่เราพบก็คือ ช่วงที่เราเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นช่วงโกลเด้นท์วีคพอดิบพอดี นั่นก็คือ เป็นช่วงที่ตรงกับวันหยุดยาวของชาวญี่ปุ่นเค้า ทำให้ไม่ว่าจะอ่านข้อมูลหรือไปสอบถามจากที่ไหนก็ไม่มีใครแนะนำให้ไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนั้นเลยคะ เพราะเค้าบอกว่าช่วงที่เป็นวันหยุดยาว คนญี่ปุ่นเค้าก็จะเดินทางท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน และเราอาจจะไม่สะดวกในการเดินทาง การจองห้องพัก หรือแม้กระทั่งบริษัทห้างร้านต่างๆอาจจะปิดและเงียบเหงาได้ในโตเกียว ขนาดบริษัททัวร์จากเมืองไทยยังไม่จัดกรุ๊ปทัวร์ไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนั้นเลยคะ แต่ยังไงๆเราก็อุตส่าห์แพลนกันไว้แล้ว งานนี้ก็ต้องลุยต่อคะ หนึ่งในวันหยุดยาว เป็นวันเด็กผู้ชายคะ ชาวญี่ปุ่นเค้าจะแขวนธงปลาคาร์ฟไว้หน้าบ้านหรือว่าหน้าสถานที่ต่างๆเมื่อถึงวันเดินทางเราใช้บริการสายการบินไทย โดยออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 4 ทุ่ม และจะถึงสนามบินนาริตะเวลา 6 โมงเช้า คราวนี้เราได้นั่งใกล้หนุ่มญี่ปุ่น ที่เราผูกไมตรีด้วยลูกอมหนึ่งเม็ดคะ อิอิ ทำให้เราได้เพื่อนใหม่มาอีก 1 คน เรานั่งคุยกันมาได้สักพัก ก็ทราบว่าเค้าเดินทางมาเมืองไทย 2 ครั้งแล้วและชอบเมืองไทยมากโดยเฉพาะภูเก็ต หลังทานอาหารบนเครื่องเรียบร้อยเราก็ต่างคนต่างหลับเอาแรงคะ เพราะพรุ่งนี้เมื่อถึงญี่ปุ่นเราก็ต้องเริ่มต้นเที่ยวกันเลย 6 โมงเช้า เครื่องบินของเราก็ลงจอดที่สนามบินนาริตะ เทอมินัล 1 คะ หลังจากที่ผ่านกระบวนการของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เราก็จัดการมารับกระเป๋า และเดินไปขึ้นรถบัส เพื่อที่จะเดินทางไปเทอมินัล 2 คะ เพราะอีก 3 วัน เราจะต้องมาขึ้นเครื่องต่อไปอเมริกาที่เทอมินัล 2 ดังนั้นเพื่อความสะดวกเราก็เลยนำสัมภารุง เอ๊ย! สัมภาระคะ ที่ค่อนข้างจะพะรุงพะรัง มาฝากไว้ที่จุดฝากกระเป๋า เพื่อที่เราจะได้เดินทางเที่ยวในญี่ปุ่นด้วยกระเป๋าใบเล็กเพียงใบเดียว(สะดวกกว่าเยอะเลย) เรานำกระเป๋าใบใหญ่มโหฬารมาฝากไว้ โดยเค้าคิดค่าบริการ 4,000 เยน ต่อกระเป๋า 2 ใบ สำหรับ 4 วันคะ ก็นับได้ว่าคุ้มค่า ดีกว่าทีจะต้องหอบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถ ลงเรือไปไหนต่อไหนด้วย จริงๆแล้วที่สนามบินเค้ามีบริการส่งกระเป๋าให้ถึงบ้านหรือโรงแรมด้วยนะคะ เพราะการที่เราจะเดินทางเข้าไปในโตเกียว หรือที่อื่นๆต่อจากสนามบินนั้น เค้านิยมนั่งรถไฟ ซึ่งไม่สะดวกสำหรับการขนกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วย แต่สำหรับคนที่ต้องนำกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวเดินทางไปด้วยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้นะคะ เพราะเราสามารถเดินทางเข้าโตเกียวด้วยลีมูซีบัสก็ได้คะ สะดวกสำหรับนักเดินทางที่มีกระเป๋าใบใหญ่ ค่าโดยสารก็ 3,000 เยนคะเรามีเวลาอยู่ที่สนามบินสักครู่หนึ่งคะ เพราะเราจะรอสอบถามเรื่องการท่องเที่ยวที่ศุนย์ข้อมูลท่องเที่ยว แต่ศูนย์เค้าเปิด 8 โมงเช้า เราเลยจัดการทานแซนวิสกับกาแฟเป็นอาหารเช้ามื้อแรกที่ญี่ปุ่นไปก่อน หนังสือบางเล่มที่มุกเคยอ่านมาบอกเอาไว้ว่าให้หาแผนที่ของโตเกียวที่เป็นภาษาญี่ปุ่นมาด้วย แต่มุกเองหาไม่ได้คะ ได้แต่ภาษาอังกฤษ ก็ใช้วิธีมาหาเอาที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวเนี่ยแหล่ะคะ หลังจากได้ข้อมูลเรียบร้อย จุดหมายปลายทางของเราวันนี้ก็คือเราจะเดินทางไปฮาโกเน่กันคะ ซึ่งจะต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานีชินจูกุและต่อรถไฟไปฮาโกเน่ การเดินทางเข้าไปโตเกียว ก็โดยรถไฟ Narita Express คะ ค่ารถไฟ 3,100 เยนต่อคน เป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากเพราะเราไม่จำเป็นต้องไปต่อรถไฟที่ไหน นั่งรวดเดียวถึงชินจูกุเลย แต่ได้ตั๋วรถไฟมาก็งง เพราะในตั๋วมีแต่ภาษาญี่ปุ่น เอ๋! แล้วเราจะขึ้นรถไฟขบวนไหน ตู้ไหนเนี่ย เราก็ใช้วิธีสอบถามจากเจ้าหน้าที่การรถไฟคะ เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ก็ชี้ไม้ชี้มือให้เรารอตรงนั้นตรงนี้ ก็พอที่จะทำให้เราเข้าใจได้ว่ามาถูกชานชลาแน่ๆ แต่ไม่ได้ช่วยเราก็ตรงที่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจะขึ้นขบวนไหน หลังจากเราหันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่ง เรามองหาคนที่จะสอบถามเพิ่มเติมคะ และแล้วเราก็ได้คำอธิบายจากชาวญี่ปุ่นที่มายืนรอขึ้นรถเหมือนกันว่าในตั๋วเค้าบอกตู้ที่เรานั่ง และเลขที่นั่งของเราไว้เรียบร้อย เมื่อเราได้คำอธิบายเราก็เริ่มจับทางได้หล่ะคะ รถไฟ Narita Express ค่อนข้างสบายคะ เป็นที่นั่งคู่สองแถว หน้าต่างบานใหญ่ ทำให้เราสามารถนั่งชมวิวสองข้างทางได้อย่างสบาย ผ่านไป 30 นาทีก็มีเสียงแจ้งบอกเป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษคะว่าถึงสถานีชินจูกุแล้ว เราก็เตรียมลงได้เลย ไม่ต้องกังวลคะว่าจะไม่มีภาษาอังกฤษแจ้ง เมื่อถึงสถานีชินจูกุ เราก็มุ่งตรงไปยังเคาเตอร์ของ Odakyu เพื่อที่จะไปซื้อแพ็คเกจสำหรับเดินทางไปเที่ยวฮาโกเน่คะ แพ็คเกจนี้คุ้มมากๆสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา เพราะเราจะได้ทั้งตั๋วรถไฟไป - กลับโตเกียว ฮาโกเน่ รวมทั้งเราสามารถใช้บริการรถราง, กระเช้า, รถบัส และเรือชมทะเลสาบ ที่ฮาโกเน่ได้เต็มที่ไม่จำกัดเที่ยวในเวลา 2 วัน รถไฟ Romance Car เป็นรถไฟที่พาเราไปฮาโกเน่คะ ที่เค้าเรียก Romance Car เราคิดเอาว่า น่าจะเป็นเพราะลักษณะของรถไฟขบวนนี้มีสองที่นั่งคู่และมีหน้าต่างกว้างที่เราจะสามารถนั่งชมวิวไปได้สบายๆ บนรถจะมีพนักงานเดินมาให้สั่งอาหารมาทานได้ ตอนมุกขึ้นเครื่องมาก็ใกล้เที่ยงแล้ว งานนี้เลยขอสั่งเบนโตะกับชาเขียวมาทานสักหน่อย ได้บรรยากาศมากๆคะ นั่งชมวิวสองข้างทางไป ทานเบนโตะไป อืมม มีความสุขจังใกล้ๆสถานี Hakone - Yumoto มีลำธารสวยมากๆใช้เวลา 90 นาทีก็ถึงสถานี Hakone Yumoto โรงแรมที่เราจองมาชื่อ Nanpuso คะ เค้ามี Shuttle bus บริการทุกครึ่งชัวโมง แต่เราจะต้องเสีย 100 เยนนะค่ะถึงแล้วคะโรงแรมของเราห้องพักที่เราจองมาเป็นห้องแบบญี่ปุ่นคะ ที่เค้าเรียกว่าเรียวกัง มีชาและน้ำร้อนให้ทานในห้อง และมีห้องอาบน้ำและห้องสุขาในห้อง พนักงานเค้าจะเป็นคนมาเปิดห้องให้กับเรา และก่อนเค้าออกไป เค้าจะจัดรองเท้าให้วางเรียงหันออกไปให้เรียบร้อย เรานั่งพักสักครู่ก็ขอไปเดินสำรวจห้องที่เราจะไปอาบน้ำแร่กันสักหน่อยคะ แล้วคืนนี้เจอกันนะจ๊ะเรานั่ง Shuttle bus ของโรงแรมมาขึ้นรถบัสที่สถานี Hakone Yumoto อีกครั้งหนึ่งคะ เหมือนอย่างที่บอกมุกมีตั๋ว Free pass Hakone ดังนั้นเราก็ขึ้นรถบัสฟรีคะ แค่โชว์ตั๋วให้เค้าดูเท่านั้น เรานั่งรถบัสไปที่ทะเลสาบอชิ เพื่อจะไปนั่งเรือโจรสลัดชมทะเสสาบและธรรมชาติที่สวยงาม ต้องนับได้ว่าญี่ปุ่นเนี่ยเค้าจัดระบบการท่องเที่ยวฮาโกเน่ไว้ค่อนข้างดีทีเดียวคะ เมื่อเราขึ้นจากเรือเราก็สามารถขึ้น Cable Car ต่อไปยังจุดท่องเที่ยวจุดต่อไปได้เลยทีเดียว สะดวกมากๆ เราขึ้น Cable Car มาก็เวลาประมาณ 4 โมงเย็นแล้วคะ เกือบจะเป็นรอบสุดท้ายของวันนี้แล้ว นั่ง Cable car มาได้สักพัก มุกก็หันซ้ายหันขวา หาภูเขาไปฟูจิคะ เพราะจากแผนที่เค้าบอกว่าจะสามารถเห็นได้จากจุดนี้ และแล้วก็เห็นคะแต่เห็นเลือนลางมากๆ เพราะวันนี้เมฆเยอะ มองแทบจะไม่เห็น แต่ไม่เป็นไรคะ เราตั้งใจว่าพรุ่งนี้เราจะมาใหม่กลับมาถึงโรงแรมด้วยความกระหืดกระหอบคะ เพราะนัดเวลาอาหารค่ำกับทางโรงแรมไว้หนึ่งทุ่มตรง เรามาทันเวลาแบบเฉียดฉิวทีเดียวคะ มื้อค่ำนี้เราทานอาหารในห้องพักคะ มีพนักงานมาจัดโต๊ะอาหารให้ อาหารแต่ละอย่างจัดมาอย่างสวยงาม กระจุ๋มกระจุ๋มน่ารักทุกจาน จนเราคิดสงสัยว่าเราจะอิ่มรึเปล่าเนี่ย แต่สรุปแล้วความกระจุ๋มกระจิ๋มเนี่ยมันหลอกตาเราคะ เอาเข้าจริงๆ เราทานกันจนอิ่มแปล้เลย แถมอร่อยมากๆ หลังจากทานอาหารค่ำกันอิ่มแล้ว จะมีพนักงานมาเก็บกวาดและปูที่นอนแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่าฟุตงให้เราคะ ดูแล้วนุ่มน่านอนจริงๆคืนนี้หลับสบายฝันดีแน่ๆคะเราก็รอเวลาให้ดึกสักนิดคะ เพราะเราจะไปอาบน้ำออนเซนกัน เพราะการอาบน้ำออนเซนเนี่ย เป็นการอาบน้ำรวมซึ่งแยกชายหญิง แต่เราๆคนไทยถึงจะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็เถอะคะ ยังอายอยู่ดี เรากะว่าถ้าดึกสักหน่อยคนคงน้อย ความเขินเราจะได้น้อยลง รอจนกระทั่งสี่ทุ่มก็ตัดสินใจลงไปอาบน้ำออนเซนกัน ผิดคาดคะมุกเข้าไปก็พบว่าเราคิดผิด เพราะขนาดสี่ทุ่มแล้วในห้องอาบน้ำหญิง ยังมีคนอาบน้ำอยู่ตั้งหลายคน แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเข้าเมืองตาลิ่วก็ต้องลิ่วตาตามคะ ก่อนเข้ามาก็อุตส่าห์ได้รับคำแนะนำในการอาบน้ำออนเซนมาจากพนักงานแล้ว ว่าจะต้องนั่งอาบน้ำจากฝักบัวให้สะอาดก่อน ถึงจะลงไปแช่ในอ่างออนเซนได้ เอาเข้าจริงๆก็แอบทำๆตามเค้าไปคะ เค้าทำยังไงเราก็ทำยังงั้น แต่ขอบอกว่าน้ำแร่ที่แช่เนี่ยร้อนจริงๆนะคะ เราต้องรอให้ร่างกายปรับอุณหภูมิได้ หลังจากนั้นก็สบายตัว แต่ขึ้นมากลายเป็นไก่ต้มไปเลยเพราะตัวงี้แดงเชียว เสียดายที่คราวนี้เอากล้องถ่ายรูปเข้าไปถ่ายด้วยไม่ได้ ต้องเซ็นเซอร์คะ ตื่นเช้าในวันถัดมา หลังจากทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่เรียบร้อยแล้ว เราก็ลงมาเช็คเอ้าท์ เพราะที่นี้เราจะต้องเช็คเอ้าท์ก่อนสิบโมงเช้า เมื่อเราฝากกระเป๋าไว้กับทางโรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางไปดูบ่อกำมะถันกัน โดยเราจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปบนเขา ระหว่างทางกระเช้าวันนี้เราก็ลุ้นอยู่ลึกๆว่า เพี้ยง! ขอให้ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิชัดๆด้วยเถอะ และแล้วเราก็ได้เห็นคะ รู้สึกดีใจมากๆ ภูเขาไฟฟูจิสวยเหมือนที่เคยเห็นในภาพถ่ายตั้งแต่เด็กๆเลย ภูเขาสูงที่ยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี นี้แหล่ะถึงจะรู้สึกว่าได้มาถึงญี่ปุ่นจริงๆนั่งกระเช้ามาสักครู่ ก็มาถึงสถานีที่เราจะลงไปเที่ยวบ่อกำมะถัน ถ้าถามว่ามีอะไรน่าดูที่บ่อกำมะถัน มุกก็อธิบายไม่ถูกคะว่าบ่อกมะถันสวยมั้ย รู้แต่ว่ากลิ่นกำมะถันแรงและเหม็นมากๆ แต่ที่นี่เราสามารถมาซื้อไข่ดำ ไข่ไก่ที่เจ้าหน้าที่เค้าเอาไปต้มในบ่อกำมะถัน พอเอาขึ้นมาจากบ่อเปลือกของไข่จะมีสีดำ ชาวญี่ปุ่นเค้าบอกว่าทานไข่ดำ 1 ฟองจะอายุยืน 7 ปี ที่นี่เค้าขายเป็นแพ็คๆละ 6 ฟอง ดั้งนั้นเรา 2 คนก็เลยทานไปคนละ 3 ฟอง ถ้าเป็นจริงตามที่เค้าเชื่ออายุเราคงยืนขึ้นอีก 21 ปี แต่เราไม่กล้าทานมากกว่านั้นคะ กลัวจะอายุสั้นเพราะคอเรสเตอรอลในเลือดจะเกิน ทำให้แทนจะอายุยืนกลายเป็นอายุสั้นซะก่อน อิอิ บ่ายสองโมงกว่าๆ เราก็ได้เวลาต้องเดินทางต่อไปโตเกียวคะ คราวนี้จากฮาโกเน่เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟท้องถิ่นของเค้า แต่เราอยากให้ถึงโตเกียวเร็วหน่อย เพราะอยากจะมีเวลาเดินเล่นในโตเกียวต่อวันนี้ ก่อนขึ้นรถไฟเราก็ถามเจ้าหน้าที่ก่อนว่า ขบวนนนี้ไปโตเกียวใช่มั้ย เมื่อพนักงานบอกว่าใช่แต่เห็นเรายังลังเล เค้าเหมือนจะเดาใจเราออกยังงัยงั้น เค้าก็พูดออกมาว่า Very fast เท่านั้นแหล่ะคะ เรากระโดดขึ้นรถไฟขบวนนั้นทันที แล้วมันก็เร็วเหมือนที่เจ้าหน้าที่บอกจริงๆด้วย เพราะรถไฟขบวนนี้เป็น Rapid Express มุกคิดว่าเร็วกว่านั่ง Romance Car เมื่อตอนขามาด้วยซ้ำ แล้วมุกจะมาเล่าต่อทริปโตเกียวนะคะ