คนละฟากฟ้า - บทที่ 39

                             

                                              NO VOTE นะคะ




แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุที่ทำให้พราวพราย ต้องนั่งรถกลับไปกรุงเทพฯ พร้อมเขตต์ เมื่อสองสามวันที่แล้วคุณจิตราโทรศัพท์มาหาเธอถึงที่ทำงาน สั่งให้เดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคุณพนัส ในวันอาทิตย์ที่กำลังจะมาถึง พราวพรายนึกสงสัยว่าทำไมปีนี้บิดาจึงจะจัดงานวันเกิด เธอจำได้ว่าที่ผ่านมาบิดาของเธอจำวันเกิดของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นมาจัดงานวันเกิดเลย

“เอ๊ะ ปีนี้คุณพ่อมีอะไรเป็นพิเศษหรือคะ ถึงจะจัดงานวันเกิด?”
คุณจิตราอึกอักอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะอ้อมแอ้มตอบว่า “ก็ไม่เชิงจัดเป็นงานใหญ่โตอะไรหรอก แค่เชิญเพื่อนฝูงสี่ห้าคู่ที่สนิทสนมกัน แล้วก็พวกญาติๆ มากินอาหารเย็นกันเป็นพิเศษที่บ้าน วันเกิดคุณพ่อปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์พอดี พราวคงลงมากรุงเทพฯได้ตั้งแต่คืนวันศุกร์ น่าจะลางานต่อสักวันสองวันด้วยซ้ำ จะได้อยู่คุยกับพ่อแม่มั่ง”

เมื่อบุตรสาวเงียบกริบไม่ตอบโต้กลับมา คุณจิตราก็คาดคั้นต่อ

“ไม่รู้ละ ว่างไม่ว่างก็ต้องมา คุณพ่อเองก็อยากให้พราวมา คิดดูสิว่าพวกที่มาร่วมงานเขาจะนึกยังไง ที่งานวันเกิดพ่อทั้งทีไม่มีลูกมาร่วมงานสักคน แม่เจิดน่ะไม่ต้องไปพูดถึงเขาหรอก เขาอยู่ไกล แต่เขาก็ส่งของขวัญมาให้คุณพ่อล่วงหน้าแล้ว ส่วนพี่ชายเราเขาก็จะไม่อยู่ เขาจะไปอบรมที่สิงค์โปร์อาทิตย์กว่าๆ กว่าจะกลับก็หลังวันงานไปแล้ว ก็เหลือแต่เรานี่แหละ อย่าทำให้พ่อแม่เสียหน้าหน่อยเลย”

“แม่บอกพราวกระทันหันแบบนี้ พราวจะจองตั๋วเครื่องบินตั๋วรถไฟทันหรือคะ? ปกติจองยากจะตาย”

คุณจิตราลอบยิ้มอย่างสมคะเนแต่บุตรสาวของเธอไม่เห็น “ถ้าคิดจะมาเสียอย่างก็ไม่เห็นจะยากเลย เดี๋ยวแม่จะโทรไปคุยกับเขตต์ ให้เขาแวะรับพราวมาด้วย”
“แม่ชวนเขาไปงานด้วยหรือคะ?”

“งั้นสิ พ่อแม่เขาจะมาร่วมงานด้วย เขตต์เขารู้อยู่แล้ว เขาจะขับรถมาจากโน่น พราวก็ไปกลับพร้อมเขาแล้วกัน อย่าลืมลางานสักวันสองวันด้วยล่ะ จะได้มีเวลาอยู่บ้านบ้าง ค่อยกลับวันอังคาร”

มารดาตัดสัญญาณโทรศัพท์ไปแล้ว ปล่อยให้พราวพรายนั่งทำหน้าเซ็งๆอยู่ที่โต๊ะทำงาน ที่เซ็งก็เพราะยังไม่นึกอยากเดินทางไปกรุงเทพฯในช่วงนี้ เธอมีอะไรหลายอย่างในอุบลฯที่อยากจะทำ เพราะตอนนี้มีโรงโบว์ลิ่งขนาดสิบแปดเลนมาเปิดในอุบลฯ มีลูกค้าโดยเฉพาะทหารต่างชาติไปใช้บริการกันอย่างคับคั่ง เธอและเพื่อนๆกำลังเห่อเล่นโบว์ลิ่ง มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็พากันไปโยนโบว์ลิ่ง

แต่ในที่สุดพราวพรายก็ได้แต่ทอดถอนใจ เธอจะไม่กลับบ้านที่กรุงเทพฯได้อย่างไร ในเมื่อเป็นงานวันเกิดบิดาทั้งที ทำไมพราวพรายจะไม่รู้ว่ามารดามีแผนการที่เกี่ยวกับเขตต์ และงานนี้ยังเชิญบิดามารดาเขามาร่วมงานด้วยอีกต่างหาก หญิงสาวคิดว่าเพราะคุณจิตรายังไม่รู้เรื่องข้อตกลงระหว่างเธอกับเขตต์ที่เกิดขึ้นบนตลิ่งสูงของลำน้ำโขง จึงได้เดือดเนื้อร้อนใจ หาทางให้เธอกับเขาเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ

เช้าวันนั้นที่ใต้ต้นปีบดอกดกพราว เขตต์เริ่มแถลงความในใจของเขาด้วยการถามเธอดื้อๆว่า “คุณพราวคงพอจะทราบใช่ไหมครับ ว่าผมชอบคุณพราว?”

แม้จะเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันใดวันหนึ่งเขาจะต้องพูดเช่นนี้ แต่หญิงสาวก็มีสีหน้าระเรื่อกับคำถามของเขา

เมื่อเธอไม่ตอบว่าอะไรและไม่ยอมมองหน้าเขาด้วย เขตต์ก็รุกต่อว่า “ผมชอบคุณพราวตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ที่ผมเอาของฝากคุณป้าไปให้ที่บ้าน”

คราวนี้พราวพรายซึ่งตั้งตัวได้แล้ว ทำหน้าตาเฉยบอกเขาว่า “ขอบคุณค่ะที่ชอบฉัน เราอาจจะถูกชะตากันก็ได้นะคะ เพราะทั้งแอ๋วและฉันก็รู้สึกชอบคุณทันทีเหมือนกัน เราดีใจที่ได้คุณเขตต์เป็นเพื่อนคนใหม่”

ชายหนุ่มที่ยังไม่หายประหม่ามองหน้าเธออย่างงงๆ ที่เธอพูดเหมือนไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอคงจะพูดแก้ขวยตามวิสัยหญิง เขาก็เลยรุกต่อ “ผมก็ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับคุณแอ๋ว แต่สำหรับคุณพราวน่ะคนละแบบกัน”

คราวนี้พราวพรายเป็นฝ่ายเขินบ้าง อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขตต์ลดเลี้ยวเข้ามาหาเธอได้เก่งทีเดียว เขาคงต้องการให้เธอถามว่า ‘คนละแบบน่ะแบบไหน’ หญิงสาวคิดอย่างขันๆว่า ‘ฉันไม่ยอมตกหลุมพรางของคุณง่ายๆหรอก’

“ค่ะ มีคนเคยบอกว่าแอ๋วกับฉันไม่เหมือนกัน ถึงจะเป็นคนๆละแบบกันก็จริงแต่เราก็เป็นเพื่อนที่รักกันมาก ใครขอเข้ามาเป็นเพื่อนกับเราคนใดคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นเพื่อนของอีกคนหนึ่งไปด้วยโดยอัตโนมัติ เพราะเพื่อนฉันก็เหมือนเพื่อนแอ๋ว เพื่อนแอ๋วก็เหมือนเพื่อนฉัน พอคุณเขตต์บอกว่าดีใจที่ได้เป็นเพื่อนแอ๋ว ฉันก็ขอโมเมต้อนรับคุณเขตต์ ซึ่งสมัครใจเป็นเพื่อนแอ๋ว ให้เป็นเพื่อนฉันด้วยเหมือนกัน ดีใจไหมคะ คุณเขตต์ ตอนนี้คุณได้เพื่อนสองคนแล้ว”

“โธ่ คุณพราว ล้อผมเล่นอีกแล้ว” เขตต์หยุดชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะรุกต่อ “ผมชอบคุณแอ๋วแบบเพื่อน แต่ผมชอบคุณพราวแบบผู้ชายชอบผู้หญิง เอ้อ..ผมรักคุณพราวน่ะครับ”

หลุดปากออกไปได้ชายหนุ่มก็ถอนใจยาวอย่างปลอดโปร่ง เหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วก็นึกแปลกใจที่พราวพรายไม่ได้มีท่าทางตกใจคาดไม่ถึงเลยกับคำฝากรักของเขา แต่เรื่องอายนั่นน่ะไม่ต้องสงสัยเลย เธออายจนหน้าเนียนใสของเธอกลายเป็นสีชมพูอ่อนโดยไม่ต้องพึ่งบลัชออน เขตต์มองอย่างเอ็นดู นึกเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงจะเป็นผู้ชายคนแรก ที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอ ได้สารภาพรักต่อเธอ ได้เห็นท่าเก้อๆอายๆของเธอ

แต่เมื่อพราวพรายยังนิ่งเฉยไม่ตอบโต้แต่ประการใด เขตต์ก็เริ่มวุ่นวายใจ เขารุกเธอมากเกินไปหรือเปล่า หารู้ไม่ว่าที่หญิงสาวนิ่งอั้นไปเพราะกำลังคิดถึงชีวิตของตัวเอง ที่อยู่ว่างๆเหมือนปราศจากชายใดมาแยแสสนใจตั้งแต่วิชชาขาดการติดต่อไป แล้วอยู่ๆก็มีผู้ชายคนใหม่สองคนที่มีคุณสมบัติทัดเทียมกันเดินเข้ามาในชีวิตโดยไม่คาดฝัน ในขณะที่ผู้ชายคนเก่าก็หวนกลับมา ต่างคนต่างก็เรียกร้องต้องการความรักจากเธอเหมือนๆกัน ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน สองคนแรกถูกเธอปฏิเสธไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ส่วนผู้ชายคนนี้เล่าเธอควรจะทำอย่างไรกับเขา จะรับหรือจะปฏิเสธ เธอตัดสินใจเกี่ยวกับเขตต์เอาไว้แล้วก็จริง แต่เธอควรลองคิดดูอีกทีจะดีไหม

พราวพรายคิดทบทวนอย่างรวดเร็ว ถ้าเธอปฏิเสธเขาก็จะเดินจากไปอย่างทรนงเช่นเดียวกับผู้ชายคนแรก ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมเช่นเขตต์มีหรือจะอับจนหนทาง คงมีผู้หญิงดีดีอีกมากมายที่จะอ้าแขนรับเขา เธอแน่ใจหรือว่าจะไม่เสียดายที่ปฏิเสธผู้ชายดีดีคนแล้วคนเล่า คนแรกที่เธอปฎิเสธเขาไปแล้วในฐานะชายต้องห้าม แต่ทำไมลึกๆลงไปในหัวใจเธอถึงยังโหยหาเขาอยู่ แล้วผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้เล่า เธอจะโหยหาเขาเหมือนคนแรกด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าเธอตอบตกลงยอมเป็นคู่รักกับเขตต์ แม้จะยังไม่ได้รักเขาในแบบที่เขาต้องการ เขาก็จะต้องเข้าใจผิดคิดว่าเธอรักเขาเหมือนที่เขารักเธอ นอกจากจะเป็นการฝืนใจตัวเองแล้วยังจะเท่ากับหลอกลวงเขาอีกด้วย คนแบบเธอจะทำอย่างนั้นได้หรือ ถ้าคำตอบนี้ใช้ไม่ได้ก็คงเหลืออีกเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น

“คุณพราวครับ โกรธผมหรือเปล่า” ชายหนุ่มที่กำลังคิดว่าเธอคงโกรธจนไม่ยอมพูดกับเขา ถามอย่างร้อนใจ
“ไม่ได้โกรธหรอกค่ะ กำลังคิดมากกว่า ฉันขอถามอะไรคุณบ้างได้ไหมคะ?”
“ถามได้เลยครับ ผมยินดีตอบทุกอย่าง” เขตต์ตอบอย่างกระตือรือร้น
“คุณบอกว่ารักฉัน ฉันมีอะไรที่ทำให้คุณพอใจหรือคะ?”

คราวนี้เขตต์มองหน้าพราวพรายเต็มตา “ผมชอบผู้หญิงแบบคุณพราว ผมจะไม่พูดเรื่องความสวย ความน่ารักนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าแกล้งยอกันเอง ผมหมายถึงนิสัยใจคอ ความประพฤติ อะไรแบบนี้แหละครับ ในสายตาของผมคุณพราวเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม เรียบร้อย วางตัวดี ไม่เรื่องมาก ไม่นินทาว่าร้ายใคร แถมยังเป็นแม่บ้านแม่เรือนอีกด้วย”

พราวพรายสะดุ้งวาบอยู่ในใจ เขตต์ตีค่าเธอเสียสูงลิบ เพียบพร้อม? วางตัวดี? แค่สองอย่างนี่ก็ไม่ใช่ตัวตนของเธอแล้ว ถ้าจะวัดเอาจากพฤติกรรมโลดโผนที่ผ่านมาที่เขาไม่เคยรู้ และก็เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวนึกเสียใจอย่างจริงจัง กับความบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลังของตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะไม่มีใครรู้ แต่เธอก็รู้อยู่เต็มอกและไม่มีทางลืมได้ตลอดชีวิต ขนาดยังไม่ทันนึกรักเขตต์เธอก็ยังสำนึกถึงความผิดพลาดครั้งนั้นแล้ว ถ้ารักเขาด้วยเธอมิต้องเสียใจมากกว่านี้อีกหลายเท่าหรอกหรือ อาจจะเข้าทำนอง “พบไม้งามเมื่อขวานบิ่น” เสียด้วยซ้ำ

น่าสงสารเขตต์ เขาไม่รู้ ไม่รู้และไม่รู้อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับเธอ เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเธอนั้นแสนจะเอาแต่ใจตัวเอง ดึงดื้อถือดี เปลี่ยนใจวันละร้อยหน ที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่ใช่กุลสตรีแบบที่เขาคาดหวัง เธอจะกล้าบอกความจริงเขาไหม เมื่อรู้แล้วเขาจะทำอย่างไร เข้าใจแล้วให้อภัยไม่ถือสา หรือวิ่งหนีไปแทบไม่ทันแล้วนำเรื่องไปโพนทนา หรือที่ร้ายกว่านั้นคือไปบอกให้บิดามารดาของเธอรู้

หญิงสาวเริ่มสับสนวุ่นวายใจ ที่ผ่านมาเธอคิดได้อย่างไรว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ก็เคยคิดอยู่บ่อยๆไม่ใช่หรือว่าเนื้อตัวของเธอๆจะทำอย่างไรกับมันก็ได้ ไม่เห็นเกี่ยวกับใครสักหน่อย คิดอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ใช่ มันกลายเป็นชะนักปักหลังที่จะติดตัวไปชั่วชีวิต

ถึงจะคิดอะไรแบบโลดโผนไม่แคร์ใคร แต่ในที่สุดเธอก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าเธอเป็นหญิงไทยที่เติบโตมาในครอบครัวที่เข้มงวดกวดขัน ยึดมั่นถือมั่นกับขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามมาตลอด สังคมไทยยังไม่ได้อนุญาตให้ผู้หญิงทำอะไรได้โลดโผนตามใจชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเพศ ความเสมอภาคระหว่างหญิงกับชายในเรื่องนี้ยังเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับไม่ได้ ผู้หญิงคนใดหาญกล้าลุกขึ้นมาทำตัวเหมือนผู้ชาย ก็มีแต่จะถูกประนามจนแทบไม่ได้ผุดได้เกิด

การนิ่งงันของพราวพรายทำให้เขตต์เข้าใจผิด “คุณพราวรังเกียจผมหรือเปล่าครับ? ไม่ยอมพูดอะไรกับผมบ้างเลย ถ้าคุณพราวโกรธที่ผมบังอาจ ผมก็ต้องขอโทษด้วย”

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้รังเกียจคุณ” หญิงสาวรีบแก้ความเข้าใจผิดของเขา “เพียงแต่ฉัน เอ้อ..ฉันตกใจน่ะค่ะที่คุณมองฉันในแง่ดีไปหมด เพราะฉันรู้จักตัวเองดีว่าไม่ได้ดีงามอะไรขนาดนั้น ฉันมีอะไรที่บกพร่องตั้งมากมาย ฉัน..”

“อย่าถ่อมตัวเลยครับคุณพราว อย่าลืมว่าผมไม่ได้เพิ่งรู้จักคุณพราวเมื่อวานนี้นะครับ เรารู้จักกันมาหลายเดือนแล้ว ผมยังไม่เห็นอะไรที่ไม่ดีในตัวคุณพราวเลย คุณพราวเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จัก” เขตต์รีบพูดขัดขึ้นมาตามความเข้าใจของเขา ที่คิดว่าเป็นธรรมดาที่เธอจะต้องถ่อมตัวเช่นนั้น

พราวพรายจำเป็นต้องเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ “ให้ฉันถามคุณดีกว่านะคะ ว่าผู้ชายคาดหมายอะไรจากผู้หญิงที่เขาสนใจ ฉันไม่ได้หมายความถึงฉันหรือคุณโดยเฉพาะเจาะจงนะคะ ฉันหมายถึงผู้ชายทั่วๆไป เวลาจะชอบผู้หญิงสักคนเขา..เอ้อ..เขาใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน นอกจากรูปร่างหน้าตา”

ตอนนี้สีหน้าท่าทางของเขตต์เป็นปกติแล้ว เพราะพราวพรายตั้งคำถามที่อย่างน้อยก็ไกลออกไปจากตัวเขาหรือตัวเธอ แม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันก็ตาม

“ถึงคุณพราวจะกันไว้ก่อนเรื่องรูปร่างหน้าตา แต่เมื่อเป็นคำถามในกรณีของผู้ชายทั่วๆไป ผมก็คงหลีกเลี่ยงไม่พูดเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะการที่เราจะติดใจผู้หญิงสักคนหนึ่ง มันก็มักจะมีเรื่องรูปร่างหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอันดับแรกด้วย ไม่มากก็น้อย เหมือนตอนที่ผมเห็นคุณพราวครั้งแรกผมก็สะดุดตาว่าคุณพราวเป็นผู้หญิงที่สวยมาก หลังจากนั้นผมก็หาทางที่จะรู้จักคุณพราวให้มากขึ้น ซึ่งตอนนั้นผมก็คงจะอยากรู้เรื่องอื่นๆ เช่นนิสัยใจคอ ความประพฤติ แบคกราวนด์ต่างๆ ว่าไปด้วยกันได้ไหม อะไรทำนองนี้แหละครับ ถ้าเห็นว่าไปกันได้ก็สานต่อ ถ้าไปกันไม่ไหวก็ถอย ก็คงมีเท่านั้น”’

“แล้วความรักล่ะคะจำเป็นไหม?”
“สำหรับผม เป็นเรื่องสำคัญ ผมคงจะทนอยู่กับผู้หญิงที่ผมไม่รักไม่ได้”
“ แต่คุณเขตต์คงไม่ได้หมายความว่า พอเห็นหน้าแล้วถูกใจก็รักเลยหรอกนะคะ”

ชายหนุ่มหัวเราะ “สำหรับผมไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เราอาจจะพบผู้หญิงสวยมากมายหลายคน แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องรักทุกคนนี่ครับ คุณพราว ผมว่าความสวยเป็นเรื่องของความถูกตา ส่วนความถูกใจจะเกิดตามมาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับอะไรต่ออะไรอีกหลายเรื่องนะครับ เช่นนิสัยใจคอ ความประพฤติ พอถูกใจแล้วมันก็กลายเป็นความรัก ความผูกพัน ผมคิดว่ายังงั้นนะครับ ส่วนคนอื่นจะคิดยังไงผมไม่ทราบ”

“สรุปว่าผู้ชายชอบผู้หญิงที่ต้องสวยด้วยดีด้วยใช่ไหมคะ?”
“ถ้าเลือกได้ผู้ชายทุกคนก็อยากได้อย่างที่คุณพราวว่าแหละครับ แต่ก็ใช่ว่าจะโชคดีเหมือนกันหมดทุกคน”

“ถ้าสมมติว่าคุณเขตต์ต้องเลือกระหว่างผู้หญิงสองคน คนหนึ่งสวยแต่ไม่ค่อยดี กับอีกคนที่ดีแต่ไม่ค่อยสวย คุณเขตต์จะเลือกคนไหนคะ?”

“เรื่องนี้แค่สมมติเท่านั้นใช่ไหมครับ” เขตต์ถามยิ้มๆ นึกขันที่เธอคาดคั้นถามด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “งั้นขอผมถามก่อน คนที่ว่าสวยแต่ไม่ดีน่ะ อะไรครับที่ไม่ดี แสนงอน เอาแต่ใจตัว อะไรพวกนี้ไม่นับนะครับ ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิง”

พราวพรายรีรอ ก่อนจะตอบว่า “เช่นความประพฤติไม่ค่อยดีน่ะค่ะ”
“ความประพฤติแบบไหนหรือครับ? คุณพราวต้องระบุให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย”
หญิงสาวอึกอัก ไม่กล้าระบุออกไปตรงๆ “เอางี้ดีกว่า ความประพฤติแบบไหนของผู้หญิง ที่คุณหรือผู้ชายส่วนใหญ่รับไม่ได้”

เขตต์นิ่งอึ้งไปหน่อย ที่อึ้งไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้ เพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้น ว่าสมควรหรือไม่ที่จะพูดเรื่องแบบนั้น ให้สาวน้อยหน้าใสแสนบริสุทธ์ผู้นี้ฟัง แต่เมื่อจำเป็นต้องตอบ เขาก็พยายามอธิบายอย่างสุภาพที่สุด

“ถ้างั้นตอบได้ง่ายหน่อย ผมคิดว่าผู้หญิงที่ผู้ชายส่วนใหญ่และแม้แต่ครอบครัวของเขาก็รับไม่ได้ คือผู้หญิงที่มีประวัติหรือความประพฤติด่างพร้อยในเรื่อง เอ้อ..เรื่องนั้นน่ะครับ คุณพราวคงจะพอเข้าใจใช่ไหมครับว่าผมหมายถึงอะไร ผมไม่อยากพูดให้ชัดเจนมากกว่านี้ รับในที่นี้ผมหมายถึงว่ารับมาเป็นคู่รักหรือคู่ชีวิตนะครับ ถ้าแค่ควงเล่นๆชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีผู้ชายคนไหนรังเกียจหรอกครับ”

“ขอฉันสมมติต่อไปอีกหน่อยนะคะ ถ้าคุณเขตต์ชอบผู้หญิงคนหนึ่งแล้วต่อมารู้ว่าเขาเคยแต่งงานมาก่อน แต่เลิกกันไปแล้ว คุณเขตต์จะทำอย่างไรต่อไปคะ”

ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหนว่าเขตต์คิดอย่างไรกับผู้หญิงที่มีราคี แต่พราวพรายก็ไม่กล้าถามตรงๆ ได้แต่อ้อมไปเสียไกล

ชายหนุ่มหัวเราะ “สมมติของคุณพราวแต่ลข้อ เล่นเอาผมสะดุ้งเลยนะครับ”
“คุณเขตต์ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ ฉันก็ถามเรื่อยเปื่อยไปยังงั้นเอง แค่อยากจะรู้ทัศนคติของผู้ชาย ต่อผู้หญิงในแง่มุมต่างๆบ้างเท่านั้น”

“ตอบได้สิครับ แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับผมเท่านั้นนะ ผมคงไปตอบแทนผู้ชายทุกคนไม่ได้ คำถามของคุณพราวคงหมายถึงผู้หญิงที่เคยผ่านการหย่าร้างมาแล้ว สำหรับผม บอกได้เลยว่าถ้ารักเสียอย่างผมก็คงไม่แคร์ เพราะการหย่าร้างไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าแต่งงานกันไปแล้ววันหนึ่งเกิดอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็คงต้องเลิกกัน จะไปโทษว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ลำบาก ผมว่าถ้าจะหาคนผิดก็คงต้องให้ผิดทั้งคู่แหละครับ ที่ไม่สามารถหรือไม่พยายามประคับประคองชีวิตคู่ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ในกรณีที่คุณพราวถามผมตอบได้เลยว่าถ้าผมรักผู้หญิงคนนั้นมากพอ ผมก็จะเดินหน้าต่อไป เพราะผมถือว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาแต่งงานอย่างเปิดเผย หย่าอย่างเปิดเผย สังคมควรจะให้โอกาสเขาได้ตั้งต้นใหม่ ใช่ว่าเขาจะมีพฤติกรรมลึกลับซับซ้อนที่สังคมไม่ยอมรับนี่ครับ”

คำตอบของเขตต์ทำให้พราวพรายใจวาบลง เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของตัวเองที่ผ่านมา คำตอบของเขาบอกให้เธอรู้ว่าเขตต์เป็นผู้ชายที่ใช้กฏเกณ์ของสังคมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต คนอย่างเขาจะเดินไปตามกรอบที่กำหนดเอาไว้แล้วเท่านั้น เขาไม่น่าจะเป็นคนที่เดินออกนอกกรอบได้

เห็นสีหน้าที่เจื่อนจางของผู้หญิงตรงหน้า เขตต์ก็คิดว่าเรื่องที่เขาพูดคงจะหนักไปหน่อยสำหรับสาวน้อยอย่างเธอ “ผมว่าเรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ผมบอกคุณพราวไปแล้ว ว่าผมรักคุณพราว ทีนี้จะตอบผมได้หรือยังว่าจะกรุณาผมได้บ้างไหม?”

เสียงนุ่มนวลและแววตาที่มองเธออย่างเต็มไปด้วยความหวัง ทำให้พราวพรายหน้าซีดลงไปอีก นึกสงสารชายหนุ่มแสนสุภาพคนนี้ไม่น้อย เธอเชื่อว่าเขารักเธอ แต่ก็เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อโดยสุจริต ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่งามพร้อมอย่างที่เขาต้องการ ในอนาคตถ้าได้รู้ความจริงเขาจะยังรักเธออยู่อีกหรือ

“คุณพราวครับ ทำไมเงียบไป จะกรุณาตอบผมหน่อยได้ไหมครับว่าคุณพราวคิดอย่างไรกับผม” เขตต์เริ่มไม่สบายใจ ที่เห็นเธอนิ่งอั้นเหมือนมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถเลี่ยงไม่ตอบเขาได้ พราวพรายก็ตัดสินใจบอกเขาว่า “คุณเขตต์คะ มีเหตุผลหลายข้อที่ฉันยังให้คำตอบคุณไม่ได้ในตอนนี้ ข้อแรกคือเรายังรู้จักกันน้อยมาก คุณยังไม่รู้จักตัวตนจริงๆของฉันเลย ฉันอาจจะไม่ได้ดีจริงอย่างที่คุณคิด ต่อไปคุณอาจจะนึกเสียใจก็ได้” เธอพูดอย่างมีความหมายแต่เขาไม่เข้าใจ “อีกข้อคือตอนนี้ฉันยังชอบคุณแบบเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่ในแบบที่คุณต้องการ”

“ขอผมพูดบ้างนะครับ ผมคิดว่าผมรู้จักคุณพราวดีพอสมควร แม้จะยังไม่มากนัก แต่ผมก็หวังว่าคุณพราวจะให้โอกาสผมได้รู้จักคุณมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เราเรียนรู้กันและกันได้ไม่ใช่หรือครับ ระหว่างที่คบกันไป ส่วนเรื่องที่คุณพราวยังไม่รักผมน่ะ ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่ผมก็เชื่อว่าถ้าคุณพราวเปิดใจยอมรับผมบ้าง ผมก็สามารถจะทำให้คุณพราวรักผมได้ในวันหนึ่งข้างหน้า” เขตต์พูดอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง

หญิงสาวลอบถอนใจอย่างหนักอก เมื่อได้ยินคำพูดต่อๆไปของเขตต์

“ผมเข้าใจดีว่าคุณพราวคงต้องคิดหนักในเรื่องแบบนี้ ถ้าตอนนี้คุณพราวยังให้คำตอบผมไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งปฏิเสธผม เอาแบบนี้ดีไหมครับ ขอเวลาให้ผมสักหกเดือน ให้เราได้คบกันต่อไปในฐานะเพื่อนเหมือนเดิมไปก่อนก็ได้ เพื่อที่คุณพราวจะได้ศึกษาผมว่าเป็นคนอย่างไร เชื่อถือได้แค่ไหน ผมจะขอคำตอบจากคุณพราวอีกครั้ง เมื่อครบกำหนดที่ว่า ที่ผมต้องขอเวลาถึงหกเดือนก็เพราะผมอยู่ไกลจากคุณพราวมาก ไม่ได้มีโอกาสพบกันบ่อยเท่าที่ควร และอีกอย่างเรารู้จักกันได้หกเดือนกว่าแล้ว ผมคิดว่าเวลาหนึ่งปีน่าจะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม สำหรับความสัมพันธ์ของเรา ระหว่างนั้นผมสัญญาว่าจะไม่เซ้าซี้คาดคั้นเอาคำตอบจากคุณพราว เพียงแต่ว่าคุณพราวต้องให้โอกาสผมได้ใกล้ชิดคุณพราวมากกว่าเดิม อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ผมขอเพียงเท่านี้คงจะไม่มากเกินไป คุณพราวคิดว่ายังไงครับ”

เมื่อเขตต์ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ แม้เธอจะพยายามชี้แจงแล้ว ในที่สุดพราวพรายก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากบอกเขาว่า “ถ้าคุณเขตต์ต้องการแบบนั้นและยืนยันว่า เมื่อเวลานั้นมาถึงแต่เราไม่สามารถจะเป็นคู่รักกันได้ คุณจะไม่เสียใจหรือโทษฉัน ฉันก็จะรับข้อเสนอของคุณ ที่คุณขอเวลาหกเดือน เราจะคบกันแบบเพื่อนต่อไป จนกว่าจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน แล้วค่อยมาคุยกันอีกที”

พราวพรายคิดว่าตอนนี้เธอจำเป็นต้องให้โอกาสทั้งเขตต์และตัวเอง อย่างน้อยก็หกเดือนตามที่เขาร้องขอ ในช่วงนั้นเขาจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอมากขึ้น หญิงสาวตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ถ้าในที่สุดเธอคิดว่ารักเขาแล้วและพร้อมที่จะแต่งงานกับเขา เธอจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เพราะเธอไม่สมควรจะปิดบังเขาอีกต่อไป ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับเขตต์ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ถ้าเขารักเธอจริงและใจกว้างพอที่จะให้อภัยไม่ถือสา เธอก็จะแต่งงานกับเขา แต่ในกรณีที่แม้หกเดือนจะผ่านไป และความรู้สึกของเธอต่อเขา ไม่สามารถพัฒนาผ่านจากความเป็นเพื่อนไปสู่การเป็นคนรักได้ ก็ไม่จำเป็นที่เขตต์จะต้องมารับรู้เรื่องส่วนตัวที่เร้นลับและน่าอดสูของเธอ ให้เขานึกดูถูกเธอและอาจจะเลยไปถึงครอบครัวของเธอด้วยเปล่าๆ












 



Create Date : 21 กันยายน 2564
Last Update : 21 กันยายน 2564 11:41:33 น.
Counter : 950 Pageviews.

5 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณโอพีย์, คุณnewyorknurse, คุณ**mp5**, คุณอุ้มสี

  
แวะมาอ่านค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 21 กันยายน 2564 เวลา:22:59:49 น.
  
มาอ่านต่อครับ
ถ้าบอกเรื่องของนิค เขตต์น่าจะยอมรับไม่ได้
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 21 กันยายน 2564 เวลา:23:33:00 น.
  
แวะมาเยี่ยมครับ
โดย: **mp5** วันที่: 23 กันยายน 2564 เวลา:13:27:17 น.
  
แวะมาส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 27 กันยายน 2564 เวลา:16:10:22 น.
  
อยากโหวตให้ค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 28 กันยายน 2564 เวลา:16:31:55 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
กันยายน 2564

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com