คินนั้นทั้งคืนเคนไม่ได้ล้มตัวลงนอนอีกเลย ตั้งแต่ตอนที่ทิพย์สุรางค์วิ่งหนีเขาจากห้อง ลงบันไดแล้วขับรถออกไปจากหน้าบ้านตาเป็ง เขาวิ่งตามเธอไปจนถึงลานหน้ากระท่อมแล้วก็หยุดอยู่เพียงนั้น ไม่กล้าวิ่งตามรถเธอไปเพราะเกรงว่าจะมีคนพบเห็นแล้วกลายเป็นเรื่องเอิกเกริก ที่นำความเสื่อมเสียมาสู่ทิพย์สุรางค์มากขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มจำได้ว่าคืนนั้นเขาเป็นไข้สูงแคืนละหนาวจนเกือบสั่น หนานคำซึ่งมาดูอาการ จัดยาแก้ไข้และยาแก้หวัดให้แล้วกำชับให้เข้านอนแต่หัวค่ำ ตัวเขาร้อนเป็นไฟและรู้สึกปวดศีรษะมาก หลังกินยาเขาก็เข้านอนแต่ก็หลับๆตื่นๆอยู่นาน แล้วเขาก็ฝัน ซึ่งเป็นความฝันซ้ำๆซากๆที่เพิ่งเกิดขึ้นในระยะหลังๆนี้เอง เขามักฝันเห็นภาพลางเลือนของผู้หญิงสาวรูปร่างแบบบางคนหนึ่ง เธอมองเขาแล้วก็ร้องไห้ แต่เมื่อเขาพยายามจะเข้าใกล้เพื่อมองหน้าเธอให้ชัด เขาก็จะตกใจตื่นขึ้นก่อนทุกครั้ง
คืนนี้ก็เช่นกัน..เขาฝันเห็นเธอคนนั้นอีกแล้ว แต่ที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้งก็คือครั้งนี้เธอเดินมานั่งใกล้เขา เอื้อมมือมาลูบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน ในฝันนั้นเขาคว้าแขนเธอเอาไว้และรู้ด้วยสัญชาติญาณ ว่าเธอคือคนที่หัวใจของเขาเฝ้าตามหา แล้วความโสมนัสยินดีที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างท่วมท้นจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาจูบกอดเธอผู้นั้นอย่างรุนแรงดื่มด่ำ เหมือนคนที่เสียของรักไปแล้วได้กลับคืนมา
แต่เมื่อได้สติลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจากเสียงกรีดร้องของใครสักคน เขาก็ตกใจจนแทบช็อคเมื่อเห็นทิพย์สุรางค์ ที่กำลังพยายามสวมเสื้อผ้าให้ตัวเองอยู่อย่างรุกรี้รุกรน เขากระโดดขึ้นยืนแล้วก็ใจหายวาบเมื่อเห็นสภาพร่างกายของตัวเอง เมื่อมองหาจนพบกางเกง ซึ่งมีลักษณะเหมือนถูกเหวี่ยงไปตกอยู่บนพื้นใกล้ๆ ก็รีบหยิบมาสวมโดยเร็ว
ยังไม่ทันมีเวลาได้หาเสื้อยืดสีดำที่จำได้ว่าใส่นอนแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เขาก็เห็นทิพย์สุรางค์ซึ่งแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังพยายามยันตัวขึ้นจากท่าที่นั่งอยู่ เคนปราดเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ เขาเห็นดวงหน้าซีดขาวที่น้ำตากำลังไหลพราก เธอร้องไห้โดยไม่มีเสียงคร่ำครวญ ผมเผ้าของเธอหลุดรุ่ยยุ่งเหยิง ไม่ต้องบอกเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“โธ่ คุณหนู คุณหนูครับ เกิดอะไรขึ้น ผมทำอะไรลงไป” เมื่อเห็นมือของเธอสั่นระริกเขาก็พยายามจับเอาไว้ แต่ทิพย์สุรางค์สะบัดเต็มแรง ตบหน้าเขาติดๆกันสองทีซ้อนแล้วผลุดลุกขึ้นยืน
“ คุณหนูครับ อย่าเพิ่งไป พูดกันก่อน ” เขาวิงวอนเมื่อเห็นเธอเริ่มออกเดิน แล้วรีบลุกขึ้นเดินอ้อมไปดักหน้าเธอเอาไว้
“ คนบัดซบ! คนชั่วช้าสารเลว! ” เธอตวาด “หลีกไปนะ! ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนต่ำช้าสามานย์อย่างนาย ”
ทิพย์สุรางค์ผลักไสเขาอย่างแรง เมื่อเขาพยายามจะรั้งตัวเธอเอาไว้
“โธ่ คุณหนู ผมขอโทษ ผมไม่รู้ตัวเลย ผมคิดว่าผมเพียงแต่ฝันไปเท่านั้น ” เขาพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้น เธอเน้นเสียงเมื่อออกคำสั่งอีกครั้งหนึ่ง
“ หลีกไป ! อย่าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ”
แล้วเธอก็เดินหลีกเขาออกประตูไป เมื่อถึงบันไดหญิงสาวก็วิ่งอย่างร้อนรนลงบันได จนเขากลัวว่าเธอจะพลัดตกลงไป เมื่อวิ่งตามลงมาถึงข้างล่าง เขาเห็นทิพย์สุรางค์วิ่งฝ่าสายฝนที่ยังตกปรอยๆอยู่ไปขึ้นรถ ขับอย่างน่าหวาดเสียวออกไป เขาอยากจะตามเธอไปแต่ก็ไม่สามารถทำได้
เคนนั่งกุมขมับคิดอะไรไม่ออก เฝ้าถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาทำเรื่องบัดซบแบบนั้นจริงๆหรือ ? เขาไม่ได้เพียงแต่ฝันไปเท่านั้นหรอกหรือ เขาสร้างมลทินให้ทิพย์สุรางค์ ผู้ที่เคยช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นจากความตายได้อย่างไร ตัวตนจริงๆของเขามีนิสัยเลวๆ ที่ชอบรังแกผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้หรือ แต่แล้วในที่สุดเขาก็ฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ว่าทำไมเธอจึงมาอยู่ในห้องของเขาในยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนั้น
ชายหนุ่มคิดทบทวนไปมาอยู่นานแล้วก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เมื่อเห็นผ้าห่มสีเหลืองอมขาวในถุงพลาสติก ที่วางอยู่ใกล้เสื่อที่เขาใช้นอน เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเธอคงจะรู้จากกรว่าเขาไม่สบาย เธอคงเป็นห่วงจนต้องเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้
“โธ่ คุณหนู ”
เขาคร่ำครวญอยู่ในใจด้วยความสงสารอย่างสุดซึ้ง เธอมาหาเขาด้วยจิตที่เมตตาเพราะคงรู้ว่าตาเป็งไม่อยู่ เธอคงกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปโดยไม่มีใครรู้เห็น เธอต้องเสียหายเพราะความใจดีของตัวเอง เขาทำลายเธอโดยไม่รู้ตัว เขาสร้างรอยบาปให้ผู้หญิงดีๆคนหนึ่งต้องมีมลทินติดตัวไปจนตาย แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป เขาจะทำอะไรให้เธอได้บ้าง
ถ้าเขาอยู่ในสถานภาพที่ดีกว่านี้ มีเกียรติยศศักดิ์ศรีและฐานะพอที่จะเชิดหน้าชูตาเธอได้ เขาก็จะไม่รีรอเลยที่จะคุกเข่าลงตรงหน้าทิพย์สุรางค์ อ้อนวอนขอร้องเธอ ขอโอกาสที่จะมอบชีวิตทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ชดเชยให้เธอ และถ้าเธอยังแค้นและอยากจะฆ่าเขา เขาก็พร้อมที่จะรับโทษทัณต์นั้นแต่โดยดี แต่นี่เขาไม่มีอะไรเลย ไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองเป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร แล้วจะมีหน้าไปเสนอตัวรับผิดชอบเธอได้หรือ เธอสูงส่งเกินกว่าที่เขาจะดึงเธอให้ต่ำลงมา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเล่า เขาจะทำอย่างไรจึงจะชดเชยให้เธอได้
เคนคิดวนเวียนกลับไปกลับมาแต่ไม่มีทางออกอยู่เช่นนี้จนท้องฟ้าเริ่มสว่าง ฝนที่ตกปรอยๆมาทั้งคืนขาดเม็ดไปแล้ว ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกไปทำงานเร็วกว่าปกติ ตอนนี้อาการป่วยของเขาหายไปราวกับปลิดทิ้ง แต่หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว ด้วยความสงสารทิพย์สุรางค์และละอายต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป ถึงจะทำโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เขากระสับกระส่ายกระวนกระวายตลอดเช้านั้น คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาอยากพบทิพย์สุรางค์อีกสักครั้ง เพื่อให้เธอรับรู้ว่าเขาเสียใจจริงๆ
เมื่อหนานคำเข้ามาที่สำนักงานในตอนสายและพบเคนนั่งทำงานอยู่แล้ว ก็ถามว่า “ อ้าว ทำไมไม่นอนพัก คุณยังไม่หายดีนี่ หน้าตาก็ยังซีดเซียวเหมือนอดนอนมาทั้งคืน ”
เคนยิ้มแห้งๆ “ ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ ”
ตอนพักเที่ยงชายหนุ่มไม่ได้แวะโรงอาหารเหมือนทุกวัน เขาอยากพบกรเพื่อเลียบเคียงถามถึงทิพย์สุรางค์ แต่กรก็หายหน้าหายตาไปเสียเฉยๆ เขาถีบจักรยานไปเกือบทุกแห่งที่รู้ว่ากรชอบไป แต่ก็ไม่เห็นเด็กชายคนนั้นแม้แต่เงา เคนคิดว่ากรคงยังอยู่บนตึกใหญ่ แต่เขาก็ไม่กล้าพาตัวไปที่นั่นโดยไม่มีเหตุอันควร
หลังเลิกงานในตอนเย็นวันนั้นเคนขึ้นไปที่ตึกใหญ่ เพื่อสอนหนังสือกรตามปกติ ถึงไม่มีอารมณ์ที่จะสอนแต่เขาก็อยากพบกรเพื่อสอบถามถึงทิพย์สุรางค์ แต่เมื่อถึงเวลาเรียนเด็กชายก็ยังไม่ปรากฏตัว ชายหนุ่มนั่งคอยอยู่อย่างกระสับกระส่ายกว่าครึ่งชั่วโมง จนกรเดินเข้ามาในห้องสมุดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถือหนังสะติ๊กคู่ชีพมาด้วย
“ไปหานกยิงกันเถอะ ” กรชวน
เคนมองเด็กชายอย่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้เขามาสอนพิเศษให้ กรไม่เคยบิดพริ้วที่จะมาเรียนเลยสักครั้ง เขาจะรีบเข้ามาคอยในห้องสมุด ก่อนที่ชายหนุ่มจะมาถึงเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะ คุณจะไม่เรียนหรือไง” เคนถาม รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง เมื่อคิดว่าหรือเกิดอะไรขึ้นกับทิพย์สุรางค์ ที่ทำให้กรกล้าที่จะขัดคำสั่งเธอ
“จะเรียนไปทำไมล่ะ วันนี้แม่เสือไม่อยู่ เราไปเดินเล่นกันดีกว่า ” เคนรู้ว่าเขาหมายถึงทิพย์สุรางค์ที่เขาชอบตั้งฉายาให้ ตามอารมณ์ของเขาในขณะนั้น
เคนจ้องมองกรอย่างกังวลใจ “ หมายความว่าไง คุณหนูไม่อยู่บ้านหรือ ”
กรพยักหน้าท่าทางดีใจ “ แม่นแล้ว เปิ้นไปกรุงเทพฯตั้งแต่เช้ามืด ”
“ไปกรุงเทพฯ ” เคนถามย้ำราวกับคนโง่ เธอไปแล้ว ไปทำไม
โชคดีที่เด็กชายไม่ได้สังเกตหน้าที่ซีดขาวและตาที่แดงก่ำ เหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนของเขา
“คุณรู้ไหมว่าเธอจะกลับมาเมื่อไหร่ ”
กรสั่นศรีษะ “ไม่รู้หรอก เห็นหนานคำบอกว่าเธอรีบไปตั้งแต่เช้ามืด ถึงจะไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินเอาไว้ก่อน เธอก็บอกว่าจะไปนั่งรอจนกว่าจะได้เที่ยวบิน ” แล้วเขาก็เสริมว่า “ หนานคำบอกว่าเปิ้นคงมีธุระด่วนจี๋ ”
ชายหนุ่มคอตก เธอหนีเขา เธอพยายามหลบหน้าหลบตาเขา นั่นอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สุรางค์ทิพย์ทำได้ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่มันยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดและละอายใจมากยิ่งขึ้น ตกลงวันนั้นไม่มีการเรียนพิเศษ กรลากเคนออกไปเดินท่อมๆแถวดงไม้ที่มีนกชุกชุมจนมืดค่ำ ไม่ได้นึกสงสัยในท่าทางเซื่องซึมใจลอย ถามคำตอบคำหรือบางทีก็ไม่ตอบของเขาเลย
หลังจากวันนั้นชายหนุ่มก็กลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เขาก้มหน้าก้มตาทำงานไปตามหน้าที่ พยายามเงี่ยหูฟังข่าวของทิพย์สุรางค์ว่าเธอกลับมาเวียงพุกามแล้วหรือยัง เขาเฝ้าคอยวันสุดสัปดาห์ที่กรจะกลับจากโรงเรียน แล้วพยายามเลียบเคียงถามเด็กชายว่าหญิงสาวผู้นั้นติดต่อมาบ้างหรือไม่ แต่กรก็ไม่มีคำตอบให้เขา ทิพย์สุรางค์เงียบหายโดยปราศจากข่าวคราวใดๆ
แล้ววันหนึ่ง..หลังการจากไปของทิพย์สุรางค์ได้ประมาณสามสัปดาห์ ขณะที่เคนกำลังนั่งทำงานอยู่กับหนานคำในห้องทำงาน อินแปงก็เดินเข้ามาในห้อง พูดกับหนานคำด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า
“ หัวหน้าครับ มีผู้ชายสองคนมาถามหานายเคน ”
ทั้งหนานคำและเคนเงยหน้าขึ้นมองอินแปงพร้อมๆกัน “ ใคร ? ” หนานคำถามแล้วนึกขึ้นมาได้จึงหันไปถามเคนว่า “ คุณนัดใครให้มาหาที่นี่หรือ”
“ ไม่มีนี่ครับ ” ชายหนุ่มตอบโดยที่ยังนึกอะไรไม่ออก
“ เขาอยู่ที่ไหนตอนนี้ ” หนานคำซักอินแปง
“ ผมให้รออยู่ที่โรงอาหาร นายเคนจะไปพบเขาหรือเปล่าล่ะ“
เคนขยับจะตอบ แต่หนานคำซึ่งสงสัยอะไรบางอย่างถามขึ้นก่อนว่า “เขาถามหาเคนเลยหรือไง”
“เปล่าครับ เขาเอารูปให้ดูแล้วถามว่ามีคนหน้าตาเหมือนในรูปนี้ พักอยู่ที่นี่ใช่ไหม ผมเห็นว่าคนในรูปนั่นหน้าตาเหมือนเคนมาก ผมก็เลยให้เขานั่งรอแล้วมาบอกหัวหน้านี่แหละครับว่าจะให้ทำยังไง ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนโดยเร็วอย่างตื่นเต้น เวลาที่เขารอคอยมาถึงแล้วกระมัง
หนานคำลุกขึ้นยืนบ้างแล้วบอกเคนว่า “ คุณรออยู่ที่นี่แหละ ผมจะไปพบเขาเอง จะไปดูลาดเลาก่อน ว่าได้หรือเผื่อเป็นไอ้พวกที่ทำร้ายคุณมันตามมาล่ะ ใจเย็นๆไว้ก่อน ”
“ นั่นสินะ ” อินแปงเห็นด้วย “ ให้หัวหน้าไปดูก่อนดีกว่า นายอย่าเพิ่งโผล่ไปให้เขาเห็นเลย ”
หนานคำกลับมาที่ห้องที่เคนรออยู่พร้อมกับทำงานไปด้วยภายในสิบห้านาที เมื่อมาถึงเขามองหน้าชายหนุ่มแล้วมองดูรูปที่ถืออยู่ในมืออย่างเปรียบเทียบอยู่อึดใจหนึ่ง
“ นี่รูปคุณหรือเปล่า”
เคนรับรูปขนาดโปสการ์ดมาดู เขาเห็นคนสองคนในรูปใบนั้น ผู้หญิงวัยกลางคนยืนเคียงข้างชายหนุ่มร่างสูงท่าทางปราดเปรียว แขนข้างหนึ่งของเขาโอบอยู่รอบเอวของผู้หญิงคนนั้น ทั้งคู่กำลังยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เคนเงยหน้าขึ้นมองหนานคำเหมือนจะถามว่านี่มันอะไรกัน แล้วก้มลงพิจารณาผู้ชายในรูป หน้าตาของชายหนุ่มคนนั้นเหมือนเงาสะท้อนในกระจกเงา ที่เขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“สองคนที่มาตามหาคุณบอกว่าเขาเป็นนักสืบเอกชน ที่ทางครอบครัวคุณจ้างให้มาตามหาคุณ ” หนานคำอธิบายแล้วถามว่า “คุณอยากจะพบเขาหรือเปล่า? เท่าที่ดูท่าทางเขาก็ไม่น่าจะใช่พวกที่ทำร้ายคุณ ผมคิดอย่างนั้นนะ แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจ ”
เคนรู้สึกตื่นเต้น ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความหวัง
“ผมอยากคุยกับเขาก่อน ถึงผมจะคิดว่าผมอาจจะเป็นผู้ชายในรูปนี่ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเตรียมที่จะเดินไปที่โรงอาหารคนงาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานที่เขาทำงานอยู่ แต่หนานคำหยุดเขาไว้
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ที่โรงอาหารมีคนเข้าออกพลุกพล่าน ให้เขามาคุยกับคุณที่นี่น่าจะเหมาะกว่า” ว่าแล้วเขาก็ออกไปตะโกนเรียกอินแปงซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆ “อินแปง ไปพาสองคนนั่นมาที่นี่หน่อย ”
ผู้ชายสองคนที่เดินตามอินแปงมา คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในวัยกลางคน ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มผอมสูงอายุประมาณสามสิบปี ทั้งคู่แต่งกายเรียบร้อยถือกระเป๋าเอกสารไว้ในมือ หนานคำเชิญผู้ชายทั้งสองให้เข้าไปในห้องประชุมเล็กๆซึ่งอยู่หลังห้องทำงาน
“คุณลองคุยกับเขาดูเองนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกผม ผมจะอยู่ในห้องทำงาน ”
หลังจากนั้นหนานคำก็ออกจากห้องประชุมไป ความจริงเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร ทำไมจู่ๆก็มีคนมาตามหาเคนหลังจากเขาอยู่ที่เวียงพุกามเกือบหนึ่งปีแล้ว แต่เขาเป็นคนไม่ชอบยุ่งกับเรื่องของใครโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าเป็นสมัยที่เคนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ชายวัยกลางคนผู้นี้คงต้องพยายามอยู่ร่วมวงรับรู้เหตุการณ์ด้วยแน่ เพราะตอนนั้นเขายังระแวงอยู่มาก แต่ตอนนี้หนานคำเชื่อแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับใคร เคนจำเป็นต้องอยู่ที่เวียงพุกามก็เพราะเขาจำอะไรไม่ได้เท่านั้น ตัวเขาเองก็จะดีใจไปด้วย ถ้าเคนสามารถกลับไปหาครอบครัวของเขาได้ในที่สุด
เคนลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับชายแปลกหน้าทั้งสอง ซึ่งกำลังจ้องมองเขาเป็นตาเดียวกัน ชายวัยกลางคนหยิบนามบัตรส่งให้พร้อมกับแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อสมศักดิ์และนี่เวทย์ลูกน้องผม เราเป็นนักสืบเอกชนของสำนักงานนักสืบสมศักดิ์และเพื่อน ตามที่ระบุไว้ในนามบัตร ”
เคนอ่านนามบัตรแล้วเงยหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถาม ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็รีบอธิบายทันที
“ เราได้รับการติดต่อว่าจ้างจากตัวแทนของคุณธัญญา คุณแม่ของคุณ ให้ตามหาคุณ ”
ชายหนุ่มถามขัดขึ้นว่า “ แม่ผมชื่อธัญญางั้นหรือ?”
นักสืบทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้วหันมามองเคน “ คุณจำชื่อคุณแม่คุณไม่ได้หรือครับ?” คนที่ชื่อเวทย์ถามอย่างสงสัย
เคนอึ้งแล้วตัดบทว่า “ เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณช่วยเล่าตั้งแต่ต้นเลย ว่าทำไมคุณถึงเจาะจงมาตามหา เอ้อ..” เขาหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดูอีกรอบแล้วกล่าวต่อว่า “ ผม..ที่นี่ ”
แล้วเขาก็มองผู้ชายทั้งสองที่อ้างตัวว่าเป็นนักสืบ อย่างคลางแคลงใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็พร้อมที่จะพิจารณาเรื่องที่เขากำลังจะเล่าอย่างถี่ถ้วน เคนยังไม่แน่ใจหรอกว่าชายหนุ่มในรูปนั้นคือเขา และยังไม่รู้แน่ด้วยว่าผู้ชายสองคนนี้เป็นนักสืบเอกชนจริงหรือเปล่า นอกจากนี้ยังไม่เคยรู้จักคุณธัญญาอะไรที่เขาอ้างถึงด้วย
สมศักดิ์เปิดกระเป๋าเอกสาร หยิบแฟ้มออกมากางลงบนโต๊ะเพื่อการอธิบายและแสดงตัวตน
“สำนักงานของผมอยู่ที่กรุงเทพฯตามที่อยู่ในนามบัตร เมื่อประมาณหกเดือนที่แล้วมีผู้หญิงชื่อคุณนวลละออ มาติดต่อขอให้ช่วยตามหานายคริส เลย์ตัน ที่สงสัยว่าจะสูญหายในประเทศไทยหรือประเทศใกล้เคียง ผมมีหน้าที่สืบหาเฉพาะแถบภาคเหนือของไทยนี่เท่านั้น ส่วนแถบตะวันออกเฉียงเหนือด้านที่ติดต่อกับประเทศลาว ก็มีลูกน้องของผมอีกทีมหนึ่งไปตามหามาแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของคุณเลย สำหรับประเทศใกล้เคียงก็มีนักสืบเอกชนที่นั่นรับช่วงกันไป เพราะเราไม่รู้ว่าคุณหายไปตรงจุดไหนกันแน่ตรงรอยต่อระหว่างประเทศ อาจจะเป็นระหว่างชายแดนไทยกับพม่าหรือกับลาว ไม่มีใครรู้แน่ แม้แต่ผู้ว่าจ้างของเราเองก็ตอบไม่ได้ ”
เขาหยุดพลิกเอกสารที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “ ทางครอบครัวคุณรอการติดต่อจากคุณอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลย ”
เคนนิ่งฟังเงียบๆ เขาได้ยินชื่อของผู้ชายในรูปใบนั้นซึ่งนักสืบอ้างว่าเป็นรูปของเขา ชายหนุ่มถามตัวเองว่าเขาชื่อคริส เลย์ตันหรือ ? แต่ทำไมเขาจึงไม่รู้สึกคุ้นเคยกับมันเลยล่ะ ถ้าเขาเป็นนายคริส เลย์ตันคนนั้นจริง ก็หมายความว่าเขาไม่ใช่คนไทยหรืออย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสับสนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่มีแนวโน้มที่จะไม่เชื่อมากกว่า ถ้าเขาไม่ใช่คนไทยทำไมเขาจึงพูด อ่านและเขียนภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว เคนคิดว่าคนทั้งสองคงยังไม่รู้เรื่องการถูกลอบทำร้ายและการเสียความจำในอดีตของเขา ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยเรื่องดังกล่าว
ผู้ชายที่ชื่อเวทย์ถามว่า “ ทำไมคุณไม่ติดต่อทางบ้านเลยเล่าครับ”
เคนจงใจไม่ตอบคำถามนั้น แต่ย้อนถามกลับไปว่า “ทำไมคุณดั้นด้นเข้ามาถึงที่นี่ได้ล่ะ มันอยู่ไกลจากตัวเมืองมากนะ”
“ตอนแรกเราไม่ได้เจาะจงที่นี่หรอกครับ ” คนชื่อสมศักดิ์อธิบาย “เราตาม หาคุณหลายจังหวัดในแถบชายแดนด้านนี้มาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ไม่พบร่องรอย จนกระทั่งได้รับข่าวจากสายของเราทางนี้ เขาเอารูปของคุณที่ได้มาจากทางบ้านคุณ ไปเทียบกับรูปที่ติดอยู่บนบอร์ดโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง รูปถ่ายใกล้เคียงกันมาก เขาบังเอิญมีญาติทำงานที่โรงพยาบาล เลยได้ข้อมูลว่าคนในรูปมาทำงานอยู่ที่นี่ เราก็เลยลองตามมาดูว่าใช่คนที่ตามหาหรือไม่ ”
เวทย์เสริมว่า “ โชคดีที่เจอรูปคุณที่โรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางตามพบแน่ เพราะที่นี่เข้ามาค่อนข้างลำบากแล้วก็ไกล เราคงไม่ดั้นด้นมาแน่ถ้าไม่ได้เบาะแสจากสายของเรา ”
สมศักดิ์มองเคนอย่างพิจารณา แล้วถามเรื่องที่เขายังสงสัยไม่แน่ใจ
“ ตอนแรกที่ผู้ชายคนที่ไปคุยกับผมที่โรงอาหารบอกว่าคุณชื่อเคน ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกับคนที่ตามหาอยู่หรือเปล่า จนกระทั่งได้พบตัวจริงของคุณนี่แหละถึงได้มั่นใจว่าใช่แน่ ทำไมคุณไม่ใช้ชื่อจริงเล่าครับ ”
“ตอนอยู่ที่นี่ผมใช้ชื่อนี้ ” ชายหนุ่มอธิบายเพียงสั้นๆ แล้วย้อนถามข้อข้องใจของเขาว่า “ ทำไมคุณธัญญาหรือคุณนวลละออนั่น ไม่มาหาผมด้วยตัวเองล่ะ ”
“อ๋อ ทางบ้านคุณยังไม่ทราบหรอกครับว่าเราพบคุณแล้ว ” สมศักดิ์ชี้แจง “ แต่เดี๋ยวกลับไปที่โรงแรมผมจะติดต่อให้ทราบว่าจะเอายังไงต่อไป คุณนวลละอออาจจะขึ้นมาพบคุณด้วยตัวเองก็ได้ ”
เขานิ่งคิดอะไรสักอย่างก่อนกล่าวต่อว่า “ เราเคยพบบางคนที่คล้ายคลึงกับคุณสองสามครั้งแล้ว แต่เมื่อคุณนวลละออมาดูตัวแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ ซึ่งทำให้เธอผิดหวังมาก ครั้งนี้เราเลยต้องมั่นใจจริงๆเสียก่อน จึงจะติดต่อส่งข่าวให้เธอทราบ ”
“แล้วผมจะเชื่อได้อย่างไร ว่าพวกคุณเป็นคนที่ครอบครัวผมส่งมา?”
สมศักดิ์ส่งเอกสารในแฟ้มให้เคน “ นี่ครับ เป็นบันทึกคำสั่งและสัญญาที่ตกลงว่าจ้าง ให้บริษัทของเราติดตามค้นหาคุณจนพบ คุณนวลละออเป็นคนเซ็นในฐานะผู้ว่าจ้าง และนี่เป็นลายเซ็นและตราประทับของบริษัทผม ”
เขาชี้ให้เคนดูลายเซ็นดังกล่าว ชายหนุ่มหยิบเอกสารมาอ่านรายละเอียดทั้งหมด คุณนวลละออซึ่งลงนามในเอกสารก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เกี่ยวข้องกับนายคริสนั่นอย่างไร แต่เขาไม่ถามอีกแล้ว เขาถามแต่เพียงว่า
“แล้วคุณจะทำอะไรต่อไป ? ”
“วันนี้เราจะกลับไปก่อนเพื่อติดต่อผู้ว่าจ้าง ส่งข่าวให้รู้เรื่องคุณ คุณนวลละออจะเป็นคนบอกเราเองว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป จะขึ้นมารับคุณเองหรือจะให้เราพาคุณไปส่ง ”
เคนคิดอย่างรวดเร็วว่าแสดงว่าคุณนวลละอออะไรนั่น คงไม่ได้อยู่ในจังหวัดนี้ คงจะรออยู่ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเขาก็คิดต่อไปว่าวิธีไหนที่จะเสี่ยงน้อยที่สุด เพราะเขาก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี ในเรื่องราวที่อีกฝ่ายหนึ่งเล่าให้ฟัง ชายหนุ่มอ่านข้อความในเอกสารที่ยังถืออยู่อีกครั้งเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง เมื่อเห็นหมายเลขโทรศัพท์ของคุณนวลละออที่ปรากฏอยู่ในนั้น เขาก็จดจำเอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วบอกสมศักดิ์ว่า
“คุณช่วยบอกคุณนวลละออว่าผมจะโทร.ไปหาเธอเอง เพราะตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าจะไปได้เมื่อไหร่ หลังจากนั้นผมจะติดต่อกับคุณอีกที คุณรอผมอยู่ที่โรงแรมก่อน อย่าเพิ่งเข้ามาที่นี่ ผมไม่อยากให้วุ่นวายเพราะผมเป็นแค่ลูกจ้างคนหนึ่งเท่านั้น ”
แววตาของสมศักดิ์บอกให้เคนรู้ว่าเขาเข้าใจดี ว่าเคนคงต้องการจะตรวจสอบอะไรบางอย่างก่อนตัดสินใจ
นักสืบทั้งสองเก็บของใส่กระเป๋า ลุกขึ้นยืน กล่าวคำอำลาแล้วเดินออกไปขึ้นรถ ที่ตอนนี้คนขับนำมาจอดคอยอยู่หน้าโรงบ่มแล้ว