ประวัติศาสตร์การเดินทางรอบกาแล็กซี่ของระบบสุริยะอาจถูกบันทึกไว้ใต้ผิวดวงจันทร์
ในจักรวาลแห่งนี้ เป็นเรื่องปรกติที่ของเล็กๆ จะโคจรรอบของที่ใหญ่กว่า และแม้ว่าดวงอาทิตย์จะใหญ่มากจนโลกเราต้องโคจรรอบมัน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ดาวฤกษ์ธรรมดาๆ ที่โคจรไปรอบๆ กาแล็กซี่ทางช้างเผือกอีกต่อหนึ่งเท่านั้น
แต่การโคจรรอบทางช้างเผือกก็ไม่ราบเรียบอย่างที่คิด ระบบสุริยะของเราใช้เวลากว่า 200 ล้านปีในการโคจรครบหนึ่งรอบ (ซึ่งช้ากว่าความเร็วรอบข้างเสียด้วย) ทำให้เราต้องเคลื่อนที่ผ่าน "คลื่น" เมฆเนบิวลาจากแขนกาแล็กซีที่เคลื่อนที่เร็วกว่า ซึ่งบางครั้งเมฆเนบิวลาเหล่านี้ก็มีกิจกรรมที่รุนแรงอย่างการเกิดใหม่และแตกดับของดาวฤกษ์ จนนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มถึงกับตั้งสมมติฐานว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่หลายครั้งมีสาเหตุมาจากรังสีอวกาศเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม การจะพิสูจน์เรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก เพราะต่อให้เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริงจนฝังธาตุกัมมันตรังสีไว้ในผิวโลก แต่เพราะผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้การขุดหาหลักฐานบนโลกทำได้ไม่มากเท่าไหร่
หลักฐานหนึ่งที่ "อาจ" บ่งชี้ว่าซูเปอร์โนวาทิ้งหลักฐานไว้คือ iron-60 บนตะกอนดินในมหาสมุทแปซิฟิก ซึ่งถ้ามันเกิดจากซูเปอร์โนวาจริง เหตุการณ์นั้นควรจะเกิดในช่วงไม่กี่ล้านปีมานี้เอง
ถึงเช่นนั้นก็อย่าพึ่งหมดหวังกับหลักฐานบนโลกไป เพราะนักดาราศาสตร์ได้ชี้ว่าดวงจันทร์ที่ไร้กิจกรรมบนพื้นผิวมาเนิ่นนานของเรา อาจเก็บบันทึกข้อมูลของธาตุกัมมันตรังสีอย่าง krypton-83 และ xenon-126 ซึ่งเป็นหลักฐานมัดตัวซูเปอร์โนวาอย่างแน่นหน้าไว้ก็ได้ และเราอาจหาประวัติย้อนหลังของมันได้ไกลมาก เมื่อดูในชั้นหินลาวาของดวงจันทร์ที่ดูดซึมรังสีเหล่านี้ได้ดี
นอกจากหลักฐานซูเปอร์โนวาอันรุนแรงแล้ว เราอาจได้ข้อมูลของช่วงที่ระบบสุริยะผ่านกลุ่มเนบิวลาที่หนาแน่นอีกด้วย สังเกตได้จากลมสุริยะที่ถูกบีบจากเนบิวลาหนาแน่นเหล่านั้นจนฝังอยู่ในชั้นหินเยอะกว่าปรกติ ซึ่งนี่อาจอธิบายเรื่องยุคน้ำแข็งบนโลกเนื่องจากถูกเมฆเนบิวลาบดบังแสงอาทิตย์ได้อีกด้วย
ที่มา: JuSci.net