Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
13 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 

โรคพ่อแม่ทำ : ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจลูกอย่างแท้จริง

เค้าว่า
การ "ขาด" ทางจิตใจของเด็กนั้นมิได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการปฏิบัติตนของพ่อแม่ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเด็ก
"โรคทางใจ" จึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่สร้างให้ลูกเองทั้งสิ้น
ฮื่อ โดนนนน
(รีบอ่านต่อเลย รีบสุดๆ)

เค้า (อีกแระ) ว่า บุคลิคภาพของบุคคลทุกคน ล้วนถูกหล่อหลอมมาจากการอบรมบ่มเพาะในครอบครัวของเขาเอง

(ประมาณว่า คนเราขาดอะไรในวัยเด็ก ก็จะไปแสดงออกโดยการโหยหา เสพหรือติดอะไรบางอย่างที่ช่วยชดเชยให้"ใจ"ของตัวเองไม่รู้สึกขาด)

เด็กๆทุกคนต้องการให้พ่อแม่ดูแลเอาใจใส่อย่างมากมาย แต่พ่อแม่จำนวนมากขาดความเข้าใจและทำให้ปล่อยปละละเลยไม่สนองความต้องการที่ท่วมท้นของเด็ก ทำให้เด็กเติบโตมามีความพร่องทางจิตใจและต้องไปหาทางออกเพื่อเติมเต็มในรูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยให้ลืมความว่างเปล่าได้เพียงชั่วคราว แต่สภาวะการขาดที่แท้จริงก็ยังไม่ได้รับการเติมอย่างถูกต้อง
การที่จะป้องกันการขาดหรือความบกพร่องทางใจของลูก ก็ต้องเรียนรู้ความต้องการพื้นฐานของเด็ก
ซึ่งก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น

เด็กต้องการที่จะมีชีวิตอยู่รอด
มีความปลอดภัย และมีความมั่นคงทางใจ


เด็กต้องการเอาใจใส่จากพ่อแม่ เลยแสดงออกโดยการร้องให้ ทำฤทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ เพียงเพื่อให้พ่อแม่มาอยู่ใกล้ๆ นอกจากนี้การดูแลของพ่อแม่ยังเป็นเครื่องประกันว่าเขาจะได้รับการปกป้องจากภัยอันตรายต่างๆเป็นการสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับเด็กๆ
บางครั้งพ่อแม่ปล่อยให้ลูกอยู่ในความดูแลของคนอื่นเพราะพ่อแม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม แต่เด็กก็จะรู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกปฏิเสธจากพ่อแม่อยู่ลึกๆ สภาวะการขาดกันทางกายไกลๆ (เข้าร.ร.ประจำหรือเรียนตปท.) บางครั้งเด็กไม่เข้าใจว่าพ่อแม่ต้องการอย่างไร จะรู้ก็แค่ความรู้สึกคล้ายถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่

เด็กต้องการการโอบกอดสัมผัสจากผู้อื่น

การทดลองจากนักจิตวิทยาบอกว่า การขาดสัมผัสอย่างอบอุ่นจากพ่อแม่มีผลทำให้เด็กทารกขาดการพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจที่สำคัญ แม้ว่าเด็กจะได้รับการดูแลดี กินอาหารดี แต่ก็ไม่เหมือนการสัมผัส มีนักจิตบำบัดครอบครัวบอกไว้ว่าคนเราทุกคนต้องการการโอบกอดประมาณ 4-12 ครั้งเพื่อความเจิรญเติบโตที่มั่นคงในอนาคต

พ่อแม่บางคนรักลูก แต่ไม่เคยพูดจาให้เด็กรู้หรือกอดเด็ก เด็กๆจึงขาดการเรียนรู้ที่จะแสดงออกที่ถูกต้องทางจิตใจ เวลารู้สึกยังไงก็จะเก็บกดซ่อนไว้เพราะไม่เข้าใจว่าควรจะแสดงออกหรือไม่ เพราะพ่อแม่ไม่เคยแสดงออกสิ่งเหล่านี้
(ตีความต่อไปได้ว่า การที่เราจะมีลูกที่กล้าแสดงออกเกี่ยวกับความรู้สึกในเชิงบวกนั้น ส่วนนึงก็มาจากการที่เราหมั่นแสดงออกกับเค้าเช่นกัน)

เด็กต้องการได้รับการตอบสนองจากผู้ที่ดูแล

การให้อาหารและความปลอดภัยยังไม่พอ การตอบสนองที่เด็กต้องการมีความหมายตั้งแต่การเล่นกับเค้า การสื่อสารทั้งทางภาษาพูดและภาษากายจากคนใกล้ตัว สิ่งเหล่านี้มีความหมายกับการเติบโตของเด็กๆเพราะจะทำให้เค้ารู้สึกเค้ามีคนที่รักและเข้าใจอยู่ใกล้ๆ

ถ้าเราเลี้ยงเค้าเหมือนเป็นแค่หน้าที่ที่ต้องทำ เด็กก็จะรับรู้ได้เช่นกันว่าการเลี้ยงดูมาจากความรักใคร่อาทรอย่างแท้จริงหรือแบบขอไปที สิ่งเหล่านี้จะมีผลมากต่อพัฒนาการทางจิตใจของตัวเด็กเองในอนาคต เพราะเด็กจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักความต้องการของตัวเอง มีชีวิตอยู่เพื่อเติมเต็มแต่ความต้องการของคนอื่น ไม่มีโอกาสได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
(ข้อนี้โดนใจมากๆ เพราะส่วนตัวลึกๆรู้สึกว่าการที่ลูกจะโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตัวเอง รู้จักตัวเอง เคารพตัวเอง หรือมี EQ ดี อย่างที่เค้าเรียกๆกัน ก็เพราะพื้นฐานการได้รับความรักอย่างแท้จริง และการเปิดโอกาสได้รับและได้แสดงออกซึ่งความรักต่อตนเองและต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรา"เติม"ใจตัวเองได้เต็ม เราคงสามารถแสดงออกถึงใจที่เต็มนั้นได้ในทุกๆสถานการณ์และทุกๆเหตุการณ์ ไม่มากก็น้อย)

เด็กต้องการได้รับการแนะแนวและการได้เห็นตัวอย่างที่ดี

นอกเหนือจากการเติบโตทางร่างกาย เด็กยังต้องการคำแนะนำช่วยเหลือทั้งทางคำพูดและการกระทำจากผู้ที่เลี้ยงดู ไม่ว่าจะเป็นการทำตัวให้เป็นตัวอย่าง การสอนรู้จักมารยาทการอยู่ร่วมกันในสังคม ฯลฯ ทักษะเหล่านี้ จำเป็นและสำคัญต่อการเข้าใจชีวิตที่ถูกต้องของเด็กๆ เพราะเด็กจะไม่มีทางคิดเองได้ถ้าปราศจากการชี้แนะจากพ่อแม่
ในทางกลับกัน การปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ดีให้กับลูก ก็จะส่งผลถึงลูกอย่างมากเหมือนกัน พระพรหมคุณาภรณ์ กล่าวไว้ว่า "พ่อแม่เป็นผู้แสดงโลกให้แก่ลูก หมายความว่า ลูกจะรู้จักผู้ชายคนแรกคือพ่อ และผู้หญิงคนแรกคือแม่ ... เด็กจะเติบโตมีทีท่าเช่นเดียวกับการแสดงออกของพ่อแม่ตัวเอง"

เด็กต้องการการรับฟัง การยอมรับและมีส่วนร่วมจากผู้ที่ดูแลเขา

เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เด็กๆต้องการให้ผู้อื่นรับฟัง แม้ว่าบางทีเราจะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่ถ้าคำพูดหรือการกระทำของเค้าได้รับการรับฟังและยอมรับ เด็กๆก็จะมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น มันทำให้เด็กกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง
การยอมรับในตัวเด็ก พ่อแม่ทำได้โดยการไม่ตำหนิ ดุว่า ปิดกั้นการพูดการแสดงออกของเด็กๆ รวมทั้งการอดทนที่จะรับฟังสิ่งที่เด็กพยายามจะสื่อออกมาให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้
การยอมรับไม่ได้แปลว่าพ่อแม่จะต้องเห็นด้วยกับการกระทำของเด็ก แต่อย่างน้อยก็รับฟังให้เป็นและเข้าใจอารมณ์ของเด็ก ใช้ความอดทนในการอธิบายให้เด็กฟัง
การยอมรับฟังและเข้าใจเด็กนั้น ทางจิตวิทยาถือว่า เป็นการช่วยให้เด็กรู้สึกว่าเขาไม่ใช่สิ่งไร้สาระ และการที่ความคิดและความรู้สึกของเค้าได้รับการรับฟังนั้น จะทำให้เด็กเล็กๆภายในตัวเค้า (a child within) มีเสรีภาพในการแสดงออกและทำให้ตัวตนที่แท้จริงของเค้าได้มีโอกาสเติบโต

ให้เด็กมีโอกาสเจอ
กับอุปสรรคและความผิดหวังบ้าง


อุปสรรคและความผิดหวังเป็นบทเรียนที่มีค่าของชีวิต
เด็กๆที่เติบโตโดยที่พ่อแม่ไม่เคยให้พบกับอุปสรรคหรือความผิดหวังอะไรเลยจะเติบโตเป็นคนที่ไม่เข้าใจว่าชีวิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร และแย่ไปกว่านั้น เวลาเจอความผิดหวังอะไรจากใคร ก็จะรับไม่ได้เพราะไม่เคยถูกฝึกให้เจอกับความผิดหวังของชีวิต หรือไม่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลของความผิดหวังนั้น

เด็กต้องการได้รับการสนับสนุน ความไว้วางใจและความจงรักภักดี

เด็กๆควรได้มีโอกาสแสดงออกตามศักยภาพที่ควรจะเป็นของตัวเอง เพราะการสนับสนุนจากพ่อแม่จะช่วยให้ตัวตน (real self) ได้มีโอกาสแจ้งเกิด พ่อแม่บางคนจะสนับสนุนเฉพาะในเรื่องที่ตัวเองต้องการ ทั้งๆที่เด็กอาจจะไม่ชอบ เด็กก็เลยขาดโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพที่แท้จริงของเค้าไป
ความไว้วางใจกับการจงรักภักดี เป็นสิ่งที่ทั้งพ่อแม่และเด็กจะต้องสร้างให้เกิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะเด็กจะต้องรู้สึกว่าเขาได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่ดูแลเค้า เพื่อที่เค้าจะได้สามารถมอบสิ่งเดียวกันให้กับผู้อื่นต่อไป และช่วยให้เค้าสามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างมั่นคง

เด็กต้องการได้รับการประสบความสำเร็จ

หมายถึง สถานการณ์ที่เด็กจะเข้าไปควบคุม ได้ลงมือทำสิ่งบางอย่างให้สำเร็จแบบที่เขาต้องการทำ สิ่งนี้จะช่วยสร้างความรู้สึกภูมิใจ และส่งผลต่อความมั่นใจที่จะทำในสิ่งต่างๆต่อไป
คนบางคนโตมาในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไป้ด้วยการติเตียน ไม่ว่าจะหยิบจับทำอะไรก็จะต้องมีเสียงวิพากย์วิจารณ์หรือประนามล่วงหน้า ทำให้เค้าไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าจะหยิบจับทำอะไร มีแต่ความกลัวความล้มเหลวและหวาดระแวง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เค้าโตขึ้นเป็นคนที่ขาดความมั่นใจและกลัวการตัดสินใจตามไปด้วย

เด็กต้องการการให้และได้รับความรัก
อย่างปราศจากเงื่อนไขและการยึดติด


ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักบริสุทธิ์ที่ไม่หวังอะไรตอบแทน ถ้าเด็กได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าเค้าจะเป็นอย่างไร เค้าก็ยังได้รับความรักและความปราถนาดีไม่เปลี่ยนแปลง เด้กต้องการความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้เพื่อที่จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ให้ความรักกับผู้อื่นอย่างถูกต้องเช่นกัน

อ่านแล้วต้องขอบันทึกไว้...โดนสุด ๆ เป็นเรื่องพื้นฐานที่เด็กสมควรได้รับ
โดยความรักและเอาใจใส่

ขอขอบคุณแม่จิบ ของเด็กชายเจ๊ตตี้และเด็กชายเจมี่ด้วยนะคะ....




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
3 comments
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 16:19:10 น.
Counter : 559 Pageviews.

 

เด็กชายปลาวาฬก็เป็นโรคนี้ โรคพ่อแม่ทำให้หน่อยคร้าบบ ถ้าไม่ทำ ก็จะมองหน้าแล้วก็ sign please ชอบชี้นิ้วสั่ง มีแม่เป็นนางทาส งุงิงุงิ

 

โดย: แม่ปลาวาฬ IP: 58.9.65.226 14 พฤษภาคม 2552 22:14:15 น.  

 

อ่านแล้วยังตีความไม่แตกว่าโรคพ่อแม่ทำคืออะไร แต่พอเห็นคอมเมนต์ข้างบนแล้วกร๊ากกก อ๋อ อย่างนี้เหรอคะ

 

โดย: รีอัน IP: 123.248.221.158 15 พฤษภาคม 2552 7:32:03 น.  

 

ใช่เลย พฤติกรรมของเด็กมาจากที่บ้านปั้นให้เป็นแบบนั้น พ่อแม่ต้องคอยช่วยๆเตือนกันอย่าให้มีอะไรพลาดให้ลูกเห็น เดี๋ยวจำเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ไม่ดีหละแย่เลย

 

โดย: IcyRose (IcyRose ) 15 พฤษภาคม 2552 10:10:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ครอบครัวตัวน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุณแม่ลูกหนึ่ง (กำลังคิดอยู่ว่าจะมีอีกหนึ่ง) หัดทำ blog เพื่อจะได้มีพื้นที่ในการบันทึกการบ้านลูก เพราะเชื่อมั่นลึก ๆ ในสัญชาตญาณของตัวเอง ว่าไม่มีใครเลี้ยงหนูได้ดีเท่าแม่...
Friends' blogs
[Add ครอบครัวตัวน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.