Group Blog
 
 
สิงหาคม 2556
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
แบกเป้ไปตามใจฝัน : ท่องลาวเหนือ (เชียงของ > บ่อแก้ว > ปากมอง > หนองเขียว > เมืองงอย > หลวงพระบาง (ตอนที่ 1)

ສະບາຍດີ เมืองลาว




25-11-2554

หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานก็เริ่มอยากจะออกเดินทางอีกครั้ง ครั้งนี้คุยกับเพื่อนๆว่าอยากไปลาวเหนือ โดยเข้าทางเชียงของแล้วกลับทางเวียงจันทร์ โปรแกรมก็เพลนไว้คร่าวๆเพราะสมาชิกยังไม่แน่นอน จนเกือบจะได้เที่ยวคนเดียวแล้ว ดีที่เพื่อนเป็นห่วงเลยเคลียร์งานไปด้วยอีก 2 คน ทริปนี้เรียกว่าเป็นทริปทรหด เพราะการเดินทางในลาวนั้นเป็นเรื่องที่ต้องมีความอดทนอย่างสูง เส้นทางที่โค้งค่อนข้างเยอะ (เรียกว่าแม่ฮ่องสอนชิดซ้ายเลย ^^) แต่ละที่จึงใช้เวลาค่อนข้างนานจน 1 ในสมาชิกที่ไปด้วยเกือบจะไม่ไหวทีเดียว

คราวนี้เริ่มต้นการเดินทางจากพัทยา จุดหมายแรกคือ เชียงราย แล้วค่อยไปเจอกับเพื่อนอีก 2 คนที่เชียงของ



ตั๋วพร้อม+กระเป๋าพร้อม



เลือกเดินทางกับนครชัย

วันที่ 1
จากเมื่อวานรถออกจากพัทยาตอน 15.13 น. กว่าจะมาถึงเชียงรายก็ 6.30 ซึ่งรถไม่ได้เข้าไปจอดที่ท่ารถในตัวเมือง เราจึงต้องนั่งตุ๊กๆเข้าไปอีก 80 บาท ตอนแรกตั้งใจว่ารถน่าจะมาถึงไม่เกิน 6 โมงเช้า ก็กจะนั่งรถต่อไปเชียงของเลย แต่ปรากฎว่ากว่าจะมาถึง ทำให้เราพลาดรถเที่ยว 6 โมงไปต้องรออีก 1 ชั่วโมง เลยออกไปหาอะไรรองท้องใกล้ๆกับท่ารถก่อน 



พาหนะพาไปเชียงของ



รถโดยสารที่นั่งต่อไปยังเชียงของเป็นรถประจำทางขนาดเล็ก ซึ่งจะวิ่งเส้นทางผ่านหมู่บ้านจากเชียงรายออกไปยังเชียงของ ค่าตั๋ว 65 บาท ตอนนั้นยังคิดเลยว่ามันถูกมาก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (ตอนนั้นเพื่อนไปรอที่เชียงของแล้ว) ระหว่างทางก็มีวิวให้ดูเยอะแยะไปหมด ถ้าไม่ติดว่ารีบหรือเพื่อนรออยู่คงรู้สึกสบายๆ ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติมากกว่านี้



ระหว่างทางเชียงราย >> เชียงของ


ละแล้วก็เจอกกันซะทีกับผู้ร่วมเดินทางอีก 2 คน รถจากเชียงรายมาถึงตลาดประมาณ 9.20 ก็ต่อรถสกายแล็ปมาที่ท่าเรืออีกทีหนึ่ง ระยะทางไม่ไกลมาก เค้าเก็บเงิน 30 บาทก็ถือว่ารับได้ มาถึงที่ด่านก็กรอกเอกสารและนำไปยื่นที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ตอนนั้นนักท่องเที่ยวมีจำนวนพอสมควร แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจอะไรมากจึงใช้เวลาไม่เท่าไหร่พวกเราก็จะได้ข้ามฟากแล้ว



เรือข้ามฟากจากไทยไปลาวเสียค่าบริการคนละ 30 บาท ระยะทางก็ประมาณนั่งเรือข้ามฟากเจ้าพระยาเลย ^^



รอเรือออก



เมื่อข้ามไปถึงฝั่งลาว อันดับแรกที่เราต้องทำคือ กรอกเอกสารและนำไปยื่นที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของเค้า อันนี้ต้องสังเกตุนิดนึง เพราะตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้ และกำลังจะเดินเลยออกไปหน้าถนนที่มีรถสองแถวจอดรออยู่ ดีที่หันไปมองนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกกลุ่มเดินขึ้นไปทางขวามือ หลังจากที่ขึ้นจากท่าเรือมาแล้ว เลยลองเดินตามไป (ไม่งั้นสงสัยจะเป็นคนเถื่อนเข้าเมืองเค้าแน่นอน ^^) หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยก็มาแลกเงินเป็นเงินกีบ คราวนี้เราก็มีสาวแบงค์มาด้วยเลยสบายไป ไม่ต้องมาปวดหัวเรื่องตัวเลข อิอิอิ



หลังจากแลกเงินเสร็จก็เดินออกไปที่หน้าถนน จะมีรถสองแถวจอดรอเยอะมาก เราก็ถามเค้าว่าจะไปท่ารถบ่อแก้ว ต้องไปคันไหน เค้าก็จะบอกเราเอง (ไม่ต้องเหมานะ) นั่งรถจากท่าเรือไปที่ท่ารถใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่ารถก็คนละ 50 บาท



และแล้วก็มาถึงที่ท่ารถซักที เป้าหมายของเราต่อจากนี้คือ จะมุ่งหน้าไปยังเมืองงอย จึงต้องเลือกไปลงที่ที่ใกล้สุดเพื่อให้เราเดินทางต่อได้แต่เช้า จะได้ไม่เสียเวลา เมื่อถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่าพวกเราต้องไปลงรถที่ "ปากมอง" ที่สำคัญคือรถกำลังจะออกแล้ว เป็นรถที่จะไปเวียงจันทร์ พวกเราไม่ได้ถามอะไรมากจึงรีบซื้อตั๋วแล้ววิ่งขึ้นรถไปเลย ค่ารถก็ตกคนละ 120,000 กีบ เป็นรถปรับอากาศ (ชั้นไหนไม่แน่ใจ) เป็นอันว่าพวกเราได้ขึ้นรถและรถออกตอน 11.15 





สารภาพตามตรงด้วยจากการที่เราไม่รู้ข้อมูลเรื่องเส้นทาง ระยะทางและการวิ่งรถของที่นี่ ทำให้เราไม่รู้เลยว่ามันช่างทรหดอะไรเช่นนี้ เริ่มต้นจากรถที่สภาพก็ถือว่าพอใช้ได้ ถนนจากบ่อแก้วมาเป็นทางลาดยาง รถวิ่งสวนเลนส์ ข้างทางก็เป็นเขาตลอด ตอนแรกในใจยังคิดเลยว่าก็ยังดีที่เป็นถนนลาดยาง แต่ที่ไหนได้พอมาถึงอุดมไชยเท่านั้นแหละถึงเจอของจริง ทางเป็นลูกลังตลอดทำให้ฝุ่นแดงเข้ามาช่องแอร์เต็มไปหมด จนพวกเราต้องหาผ้ามาปิดจมูก สองข้างทางก็ไม่มีไฟทางเลยซักนิด มืดมาก ระยะทางที่เหลือก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ หลับแล้วหลับอีกแบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้จะต้องลงตรงไหน ถามคนบนรถก็ได้คำตอบว่าประมาณ 5ทุ่ม ซึ่งตอนแรกไม่เชื่อเลยจริงๆว่ามันจะนานขนาดนั้น สรุปแล้วพวกเรามาถึงปากมองตอน 5ทุ่มครึ่ง รถก็จอดให้ผู้โดยสารคนอื่นลงไปกินข้าว ส่วนพวกเราก็ถึงจุดหมายอย่างหมดสภาพ เพราะรถโดยสารที่เรานั่งมา "ไม่จอดแวะระหว่างทางเลย เว้นแต่คนขับอยากปลดเบาก็จะจอด ผู้โดยสารที่เป็นคนพื้นที่ ทั้งหญิงและชายก็จะวิ่งเข้าไปหามุมส่วนตัวในป่า และไม่มีจอดให้ซื้อของกินหรือกินข้าว" แล้วคิดสภาพของพวกเราที่ถ้านับจากบ่อแก้วก็นั่งรถมาตลอดไม่มีเสบียง ไม่ได้เข้าห้องน้ำมากันเลยตั้งแต่นั่งเรือข้ามฟาก 12 ชั่วโมงกับการนั่งรถจากบ่อแก้วมาปากมอง....มีอยู่ช่วงนึงที่รถจอดเติมน้ำมัน ไม่มีใครลงจากรถเลย แต่พวกเราไม่ไหวกัยแล้วเพราะหิวมาก น่าจะประมาณ 2 ทุ่มกว่าได้ ก็เลยวิ่งลงไปซื้อมาม่าที่ร้านค้าใกล้ๆ จนเด็กรถต้องตะโกนเรียกพวกเราให้กลับมาขึ้นรถ ^___^

หลังจากลงรถแล้วก็หาที่พักที่ใกล้ที่สุดเพราะจะไม่ไหวกันแล้ว ส่วนที่อื่นก็คงจะปิดไปหมดแล้ว ขนาดที่พักที่เราเลือกยังต้องไปเรียกเค้าให้ออกมาจากมุ้งเลย แถมอากาศก็เย็นจัดด้วย  ที่พักคืนแรกของเราไม่เท่าไหร่แล้วก็แพงด้วย ประมาณ 700 หรือ 800นี่แหละ แต่ไม่มีตัวเลือกก็ต้องยอม ยังดีที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่นอน.....เป็นอันว่าสิ้นสุดการเดินทางที่แสนยาวนานในวันแรก ซึ่งถ้านับเฉพาะของตัวเราเอง ออกจากพัทยาตอนบ่าย 3 โมง ได้มาพักจริงๆก็คือ 5ทุ่มครึ่ง รวมแล้วก็ 32ชั่วโมงกับการเดินทาง.....สลบ!!!!

วันที่ 2 : อรุณสวัสดิ์ปากมอง >> หนองเขียว >> ปลายทาง เมืองงอย
วันนี้พวกเรามีเป้าหมายคือ "เมืองงอย" เป็นเมืองเล็กๆอยู่ติดกับแม่น้ำอู ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางไปก็เพื่อไปซึมซับ ดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่น ดังนั้นวันนี้พวกเราจึงตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทาง โดยสอบถามคนแถวนั้นก็ได้ความว่าจากปากมองจะมีรถสองแถววิ่งไปที่ "หนองเขียว" รถออกตอน 7 โมงเช้า แล้วพวกเราก็ต้องต่อเรือเพื่อไปที่ "เมืองงอย" อีกที เพราะการเดินทางไปเมืองงอยต้องไปทางเรือเพียงอย่างเดียว



ที่พักในปากมอง





บรรยากาศปากมองยามเช้า
อากาศตอนเช้าที่ปากมองเย็นพอสมควร หลังจากไปถามรถที่จะไปหนองเขียวแล้ว จึงตกลงว่าจะไปหาอะไรอุ่นๆรองท้องกันซะหน่อย ^^



เฝออุ่นๆช่วยได้เยอะจริงๆ



ไคแผ่น..ของขึ้นชื่ออีก 1 อย่าง





ยานพาหนะพาเราไปหนองเขียว

เมื่อตุนเสบียงเรียบร้อยเราก็ไปรอขึ้นรถกัน ค่าโดยสารคนละ 25,000 กีบ รถจะจอดตรงสามแยกที่มาจากอุดมไชย หาเจอได้ไม่ยาก ถามคนแถวนั้นก็ได้ หลังจากเราขึ้นรถแล้วรถจะวิ่งเข้าไปที่ท่ารถปากมองก่อน เพื่อรับผู้โดยสารคนอื่น ใช้เวลารออยู่ครึ่งชั่วโมง (มีแอบเซ็งเพราะอยากรีบไปไวๆ ^^") จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหนองเขียว ผู้ร่วมเดินทางบนรถสองแถว นอกจากพวกเรา 3 คนแล้วก็มีเด็กผู้ชายคนลาวอีก 2 คน และนายทหารที่ขึ้นระหว่างทางอีก 1 นาย จากที่ได้นั่งคุยกับคุณทหาร จึงทำให้รู้ว่าประเทศลาวนั้นเค้าจะให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก ถ้ามีเหตุการณ์อะไรที่คนของเค้าทำให้นักท่องเที่ยวเดือดร้อน หรือได้รับอันตราย ที่นี่จะถือว่าเป็นความผิดอันใหญ่หลวง เค้าคงเห็นเราเป็นผู้หญิง 3 คนมาเที่ยว เลยบอกให้พวกเราสบายใจได้ ไม่ต้องกลัว เพราะแค่เราข้ามแดนมา เราก็อยู่ในสายตา ในการดูแลของรัฐบาลเค้าแล้ว ดังนั้นใครจะมาเที่ยวที่เมืองลาว ก็สบายใจได้เลยนะคะ



ระหว่างทางไปหนองเขียว

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พวกเราก็ถึงหนองเขียว เมืองที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาต่อเรือเพื่อไปยัง เมืองงอย, หลวงพระบาง หรือ เมืองขวาอีกทีหนึ่ง อันดับแรกหลังจากลงรถก็คือตรงไปยังท่าเรือเพื่อซื้อตั๋วก่อน แต่ตอนที่เราไปเค้าบอกว่าเรือจะมาประมาณ 11 โมง ค่าตั๋วคนละ 25,000 กีบ เดี๋ยวค่อยมาซื้อก็ได้ พวกเราก็เลยไปเดินเล่นและหาอะไรกินก่อน....เจ้าหน้าที่ขายตั๋วที่นี่น่ารักมาก อัธยาศัยดี ยิ่งพอรู้ว่าเราเป็นคนไทย เค้ายิ่งดีใจและบอกว่าน้อยมากที่จะเห็นคนไทยมาเที่ยวแบบนี้ ยิ่งมาแต่ผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีเลย ก็ให้ความช่วยเหลือ แนะนำพวกเราเป็นอย่างดี



ฮอดแล้ว...หนองเขียว



คุณลุงขายตั๋วเรือ...น่ารักมาก



ตารางเรือ...ใครจะไปไหนก็ดูเอานะคะ ^^

หลังจากสอบถามเรื่องเรือเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็ออกสำรวจหนองเขียวทันที....หนองเขียวเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างไว้บริการนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นบริษัททัวร์ ที่พัก ร้านอาหาร Money Exchange และยังมีทัวร์ต่างๆให้นักท่องเที่ยวเลือกได้ตามใจชอบ ทั้งเดินป่า นั่งเรือล่องแม่น้ำอู จักรยานเสือภูเขา และอื่นๆอีกมาก จะว่าไปถ้าไม่ไปถึงเมืองงอย ก็สามารถอยู่เที่ยวที่หนองเขียวได้เช่นกัน เพราะทัศนียภาพสวยมาก อากาศดี เหมาะกับการพักผ่อนเช่นเดียวกัน





สะพานข้ามแม่น้ำอู เป็นจุดหนึ่งที่ใครมาเที่ยวแล้วต้องเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก....ถึงแม้ระยะทางข้ามไปอีกฝั่งจะไกลพอสมควร แต่ด้วยบรรยากาศ วิวสองข้างทางและอากาศที่เย็นสบายแบบนี้ ยังไงก็ไม่หวั่น ^^



วิวสองฝั่งแม่น้ำอูจากบนสะพาน





เก็บภาพเป็นที่ระลึก



จากมุมร้านอาหาร

หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อยพวกเราก็เดินย้อนกลับมาเพื่อซื้อตั๋วและรอขึ้นเรือ



มี Western Union ด้วย



ร้านขายของชุมชน



มารอซื้อตั๋วเรือ



ซักนิดก่อนลงไปที่ท่าเรือ



เรือมาแล้วคร๊าบ.....

เรือที่เราจะโดยสารไปเมืองงอยเป็นเรือขนาดเล็ก...ประมาณเรือหางยาวแสนแสบแต่จุดเด่นของมันก็คือ เค้าจะเอาที่นั่งออกเหลือเพียงม้านั่งยาวติดกราบเรือทั้งสองด้าน ส่วนตรงกลางไม่มีที่นั่ง สัมภาระก็จะเอาไว้ที่ท้ายเรือ แต่ด้วยขนาดและจำนวนของผู้โดยสาร แค่นั่งหันหน้าเข้าหากันเข่าก็ชนกันแล้ว ยิ่งส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตกเกือบทั้งหมดยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพของการนั่งเรือ....2 ชั่วโมงสำหรับการเดินทางจากหนองเขียวไปเมืองงอย และ 2 ชั่วโมง กับ การนั่งแบบเก็บคองอเข่า มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีไปอีกแบบ เพราะเราได้ฝึกความอดทนไปด้วย 555



สภาพการนั่งของผู้ร่วมเดินทาง



ที่นั่งพอดีตัวมากกก....2 ชั่วโมงกับการนั่งท่านี้ (สังเกตุว่าเข่าคนนั่งตรงข้ามชนเราพอดีเลย ^^")
สองข้างทางระหว่างหนองเขียวมาเมืองงอยจะเป็นภูเขาตลอดแนว แม่น้ำก็จะมีแก่งหินเป็นบางช่วง ให้ความรู้สึกเหมือนไปล่องแก่งประมาณนั้น ^^ เมื่อใกล้ถึงบริเวณที่มีหมู่บ้าน สังเกตุได้จากจะเริ่มมีสวนผลไม้ของชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นส้มซะส่วนมาก บางสวนก็อยู่สูงมากขึ้นไปอยู่บนภูเขาเลย ชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ (เพื่อให้ลืมอาการปวดขา) ประมาณบ่ายโมงพวกเราก็ถึงเมืองงอย....นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มากับเราจะลงที่นี่ มีแค่ไม่กี่คนที่จะไปลงเมืองขวาเพื่อเดินทางต่อเข้าเวียดนาม บริเวณท่าเรือก็จะมีเจ้าของหรือคนดูแลที่พักมายืนรอนักท่องเที่ยวเพื่อเสนอขายที่พักให้ เราก็เลือกได้เองตามใจชอบ สำหรับพวกเรา เอาความสะดวกไว้ก่อนเพราะอารมณ์นั้นไม่อยากเดินหาแล้ว จึงเลือกที่พักที่อยู่ทางขวามือของท่าขึ้นเรือใกล้สุด ชื่อ "บ้านสายลม" เจ้าของเป็นคุณลุงกับคุณป้า เป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ ราคา 50,000 กีบ แต่พวกเรามากัน 3 คนเค้าก็เลยขอคิดเพิ่มเป็น 60,000 กีบ ได้วิวแม่น้ำด้วย



ท่าขึ้นเรือ ณ เมืองงอย



ที่พักของพวกเรา

หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย พักพอหายเหนื่อย เราก็ออกเดินเที่ยวในตัวหมู่บ้านกัน ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ก็จะมาดูเกี่ยวกับวิถีชาวบ้าน ชมธรรมชาติ ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวจึงมีไม่มากนัก ตัวหมู่บ้านถ้าเทียบจริงๆก็จะประมาณถนน 1 เส้น พวกเราเลือกที่จะเดินไปเที่ยวที่ "ถ้ำกลาง" ซึ่งก็อยู่ไกลจากหมู่บ้านประมาณ 3กิโลเมตร ระหว่างทางพวกเราได้ยินเสียงน้ำ พอเดินเข้าไปดูถึงรู้ว่าเป็นฝายน้ำของที่นี่ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะปลูกข้าวกันอยู่ด้านในภูเขา เวลาที่เก็บเกี่ยวเสร็จก็จะนำใส่รถไถ หรือใส่เรือแล้วล่องออกมาที่หมู่บ้าน (ตอนลงไปดูฝายบังเอิญเจอเค้ากำลังล่องเรือข้าวข้ามตรงฝายพอดี...เก่งมากๆ)

กว่าจะเดินถึงที่ถ้ำก็เป็นเวลาเย็นแล้ว แวะเข้าไปเที่ยวไม่นานก็ต้องรีบกลับออกมาเพราะกลัวจะมืดซะก่อน อากาศก็เย็น อีกอย่างคือตัวเราเปียกด้วย (โดนเพื่อนหลอกให้ลงน้ำที่ฝาย) ดีที่ก่อนกลับไปนั่งพักที่ร้านกาแฟชาวบ้านร้านหนึ่ง หาชาอุ่นๆดื่มพร้อมกับขอซื้อผ้าถุงจากเค้า (กางเกงเปียก) เค้าเลยเอาผ้าซิ่นของเค้าเองมาขายให้เรา 555 ยังดีที่ไซต์เท่าๆกันเลยใส่ได้ กว่าจะเดินกลับมาถึงที่พักก็เกือบค่ำพอดี อาบน้ำอาบท่า ออกไปหาอะไรกินกันแล้วก็กลับมาพักผ่อน (กลางคืนอากาศเย็นมากมาย ดีที่ได้เครื่องดื่มให้ความร้อนและนอนเบียดกัน 3 คนเลยพอให้อุ่นขึ้นมานิด ^^ )

วันที่ 3 : อรุณสวัสดิ์ ดินแดนแห่งขุนเขา และ สายน้ำอู

วันนี้พวกเราตั้งใจตื่นแต่เช้าเพื่อมาสูดอากาศสดชื่น...และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ อากาศยามเช้าที่นี่ดีมาก มีหมอกเยอะแต่ก็ไม่หนาวจัดจนเกินไป ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จก็เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ระหว่างทางก็มีชาวบ้านนำสินค้ามาวางขายกันข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ต่างๆ หรือแม้กระทั่งลูกเจี๊ยบ?? (สงสัยขายให้ไปเลี้ยงมั้ง) และก็มีชาวบ้านบางส่วนที่มารอใส่บาตร พวกเราก็เดินเลยเข้าไปซึ่งระยะทางเดินในหมู่บ้านไม่ไกลมาก เดินแค่นิดเดียวก็สุดถนนแล้ว ระหว่างทางก็หาของกินไปเรื่อยเปื่อยเป็นออเดริฟ ^^



ถนนเส้นหลักในหมู่บ้าน



เดินเล่น...สูดอากาศบริสุทธิ์



กับ 2 หนุ่มน้อย



แป้งทอด (รสชาติออกหวานๆคล้ายปาท่องโก๋)



คนที่นี่จะนิยมทางขนมเส้น (ขนมจีน) เป็นอาหารเช้า น้ำยาก็จะคล้ายๆกับน้ำยาป่าบ้านเราแต่รสชาติจะออกหวานนิดๆ มีน้ำพริกให้ใส่เพื่อเพิ่มรสชาติ ซึ่งพริกของเค้านี่สุดยอดจริงๆเลยค่ะ ใส่ไปแค่นิดเดียวเผ็ดควันออกหูเลย อิอิ ไหนๆเราก็มาจนถึงที่แล้ว จะไม่ลองอาหารพื้นบ้านก็ยังไงอยู่ จึงจัดไปเบาๆคนละจาน ราคาก็ประมาณ 10 บาท



หลังจากลองขนมจีนกันเรียบร้อยแล้วก็คุยกันว่าอยากหาอะไรดื่มกัน จากเมื่อวานจำได้ว่ามีร้านกาแฟอยู่ร้านนึงที่วิวสวยมาก อยู่ไม่ไกลจากที่เราพักก็เลยเดินไปกัน จำชื่อร้านไม่ได้ แต่ถ้ามองจากท่าเรือไปทางซ้ายมือจะเห็นเลยว่าร้านนี้ทำเลดีสุด ส่วนรสชาติกาแฟไม่ค่อยเท่าไหร่ ก็ถือว่าไปกินบรรยากาศแล้วกันนะคะ ^^



เป็นการดื่มกาแฟที่บรรยากาศดีที่สุด





สาว สาว สาว กับ บรรยากาศ สวย สวย



เนื่องจากยังค้างคาใจกับรสชาติของอาหารเช้า พวกเราเลยคุยกันว่าจะลองกลับไปที่ร้านเดิมที่เรากินข้าวกันเมื่อคืนซึ่งรสชาติถือว่าอร่อย และที่สำคัญคือเจ้าของร้านกับลูกสมุนเด็กเสิร์ฟน่ารักจริงๆ จากเมื่อคืนที่เราสั่งอาหารกันเยอะมากเพราะอยากลองเมนูต่างๆ + กับลองชิมคอกเทลของที่ร้านหลายเมนู เลยทำให้ประทับใจร้านนี้ (เมื่อวานบอกเด็กเสิร์ฟว่า ขอ "น้ำเปล่า" 1 ขวด....น้องรีบวิ่งเข้าไปในครัวและออกมาพร้อมกับ "น้ำปลา" 1 ขวด 555 เราก็งง นี่สรุปคือเราพูดไม่ชัดหรอเนี่ย ^___^)

ร้านนี้ชื่อร้าน "River Side" จากท่าขึ้นเรือเลี้ยวขวาเข้าถนนเส้นหลักของหมู่บ้านประมาณ 200 เมตร ให้มองทางขวามือก็จะเห็นป้ายร้าน ซึ่งหากใครหาที่พักเค้าก็มีบริการ ราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ







"อ้ายบัวผัน" เจ้าของร้านกับบรรดาลูกสมุน....ที่บอกประทับใจร้านนี้อีกเหตุผลก็คือ แนวความคิดของเจ้าของร้าน ที่ส่งเสริมให้เด็กๆในชุมชนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยเด็กๆในร้านนั้นเวลากลางวันเค้าก็จะไปเรียนหนังสือกัน แต่ใช้เวลาหลังเลิกเรียนและเสาร์-อาทิตย์ มาทำงาน น้องที่เป็นเจ้าของร้านบอกกับพวกเราว่า ที่ร้านจะรับแต่เด็กๆมาเสิร์ฟอาหาร เพราะอยากให้เค้ามีรายได้เพิ่มให้กับครอบครัว อีกอย่างคือเด็กเค้าจะได้ไม่เอาเวลาไปมั่วสุมกัน แถมยังได้ฝึกภาษากับลูกค้าต่างชาติอีกด้วย.....น่าชื่นชมค่ะ ^^
อาหารที่เราสั่งก็คือชุดอาหารเช้าแบบอเมริกัน (กาแฟอร่อยกว่าร้านเดิม อิอิ) และเมนูที่สั่งเพิ่มก็คือ มันฝรั่งทอด  อันนี้ติดใจเลย เพราะเค้าเอามันฝรั่งสดมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วทอด ไม่ใช่แบบที่แช่แข็งมา กินคู่กับซอสมะเขือเทศอร่อยอย่าบอกใคร ต้องสั่งเพิ่มถึง 2 จาน

หลังจากมื้อเช้าที่อร่อยถูกใจก็ได้เวลาอำลาเมืองงอยกันแล้ว เพราะว่าเรือจะมารับพวกเรากลับไปที่หนองเขียวตอน 9 โมงเช้า...แล้วพวกเราก็จะนั่งรถต่อไปหลวงพระบางกันเลย คำนวนกันว่าน่าจะไปถึงหลวงพระบางตอนบ่ายๆเย็นๆ


บะบายเมืองงอย

ติดตามหลวงพระบางได้ใน (ตอนที่ 2) นะคะ




Create Date : 29 สิงหาคม 2556
Last Update : 5 กันยายน 2556 13:57:11 น. 2 comments
Counter : 7158 Pageviews.

 
อยากไปบ้างจัง.


โดย: มลดี้ IP: 27.55.156.141 วันที่: 31 สิงหาคม 2556 เวลา:5:56:53 น.  

 
มีโอกาสลองไปเที่ยวนะคะ แล้วจะประทับใจมิรู้ลืมค่ะ ^____^


โดย: Miss Traveler วันที่: 5 กันยายน 2556 เวลา:13:59:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Miss Traveler
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Miss Traveler's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.