รอยยิ้มจากการลาออก
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อทำงานบริษัทมาจนถึงจุดหนึ่ง ก็มักจะเกิดคำถามกับตัวเองเสมอ ว่าหากเราอายุ 50 แล้ว เราจะยังทำงานแบบเดิมๆ อยู่มั๊ย แล้วคำตอบที่ได้จากการพูดคุยกับตัวเองก็คือ ไม่! เราจะไม่อยู่แบบนี้โดยเด็ดขาด แล้วก็มักจะถามตัวเองต่อไปว่า แล้วถ้าอีก 20 ปี ข้างหน้าเราได้เลื่อนขั้นเป็นถึงหนึ่งในทีมผู้บริหารล่ะ เพราะที่ผ่านมา 10 ปีเราก็เดินมาถึงระดับผู้จัดการแล้ว อีกไม่นานก็จะได้โปรโมทอีกขั้น แล้วอีก 20 ปี เราต้องเดินไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ซิน่า แล้วคำตอบก็ยังคงเป็น ไม่! เราไม่อยากย่ำอยู่กับที่แบบนี้
กับสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ลงทุกวัน ต้องหามเข้าโรงพยาบาลเดือนละครั้ง เงินเก็บก็หร่อยหรอ และแล้วก็ได้ตัดสินใจคล้ายคนไร้ความรับผิดชอบ ลาออกจากบริษัทซะ โดยที่ยังไม่ได้รวบรวมแม้กระทั่งความกล้า ไม่ได้คิดว่าค่าผ่อนคอนโด ค่าจ่ายบัตรเครดิต ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าทั้งหลายจะเป็นยังไง เงินเก็บก็ไม่มี หนี้สินก็เยอะแยะ!
สิ่งเดียวที่มี ที่คุณพ่อคุณแม่พยายามส่งเสริมมาตลอด คือความรู้ทางด้านภาษา ที่ถึงกับส่งไปอยู่ต่างประเทศแต่ยังเล็ก แต่ด้วยความไม่เอาไหนของตัวในตอนนั้น "อยู่ไม่ได้ๆ กลับๆๆ" (เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 รอบ เสียเวลาไป 2 ปี คาดว่าคุณแม่น่าจะเสียไปหลายตังค์ด้วย ) จนความพยายามของบุพการีสำเร็จผลตอนเข้าเรียน ม.ปลาย พอรู้ตัวอีกที ทางบ้านก็โดนพิษเศรษฐกิจแตกฟองสบู่ ทำให้ไม่สามารถส่งเสียต่อไปในระดับมหาวิทยาลัยได้ จึงต้องกลับมาเรียนที่ประเทศไทย (เฮ๊อ...เรื่องมันเศร้า) แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านยังพอมีอยู่บ้างทำให้ได้เข้าเรียนต่อทางด้านภาษาศาสตร์อินเตอร์อย่างที่อยากเรียน (อืมๆ เหมือนคนไม่เจียมยังไงไม่รู้เนอะ เงินไม่มียังอยากนู่นอยากนี่)
พบจบออกมาก็เข้าทำงานด้านวรรณกรรมต่างประเทศทันที แล้วก็ได้มารู้ว่า ความพยายามและความรู้เมื่อมาอยู่ในสังคมที่เรียกว่าองค์กรแล้ว มันไม่มีค่าอะไรเลย นี่มันการเมืองชัดๆ ถ้ามีพวกผิดก็เป็นถูกได้ เป็นบ่าวนายเดียวก็ไม่ได้ ต้องมีลิ้นหลายๆ แฉก ต้องเอาหน้าตลอดเวลา หากผิดพลาดเสียหน้าจะได้มีหน้าสำรองไว้หลอกคนอื่นต่อ หรือเป็นนางพญาพันหน้า
อืมๆ ทำงานมา 10 ปี ก็ไม่เห็นสังคมในองค์กรจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ซ้ำแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อตัวเองสะสมความเครียดจากในองค์กรมากเข้า ก็ทำให้เกิดอาการที่คนสมัยนี้เรียกว่า "วีนแตก" (โดยส่วนตัวชอบเรียก ฟาดงวงฟาดงา ) กับคนรอบข้าง พอหนักเข้าก็ทำให้เกิดปัญหาทะเลาะในบ้านทุกวัน เลยมาถามตัวเองว่า ตำแหน่งกับเงินทองต้องแลกมากับการทะเลาะและทำให้คนที่รักเราและเรารักเสียใจจริงๆ เหรอ ...แล้วก็ย้อนกลับไปถามตัวเองกับคำถามต้นข้อความ จึงได้บทสรุปว่า เลิกเหอะ เลิกเป็นโรคประสาทแบบนี้ซะที
แหะ แหะ แต่การลาออกมาโดยไม่มีแผนอะไรรองรับอาจเป็นเรื่องที่ประสาทกว่าก็เป็นได้ เลยย้ายกลับมาอยู่บ้านแฟน (ซะงั้น) คุณพ่อคุณแม่ท่านก็แสนดี เข้าออกเข้าใจ (ทั้งๆ ที่ท่านไม่น่าจะเข้าใจเราเล๊ยยย) ให้เราค้นหาตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เรารัก แต่ให้มันอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงคือเลี้ยงตัวเองได้ด้วย ไม่ใช่เพ้อฝัน พอถามตัวเองว่ามีความสามารถอะไรก็ค้นพบคำตอบว่ามันคือภาษา แล้วก็มาจบลงที่การเป็นครูสอนพิเศษ
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 1 ปีพอดี 1 ปีที่ยาวนานกับการค้นหาตัวเอง กับการเริ่มต้นทุกอย่างด้วยความยากลำบาก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ให้เวลากับตัวเองมากที่สุด ถึงแม้จะไม่มีเงินทองมากมายนัก (บัตรก็โดนระงับ แถมโดนฟ้อง) แต่การได้ส่งต่อความรู้และประสบการณ์ชีวิตอันน้อยนิดให้เด็กๆ รุ่นต่อไป ให้เขาได้พร้อมที่จะปรับตัวและเข้ามาอยู่ในวงจรของสังคมองค์กร (...อุบาศก์...ซึ่งคาดว่าที่ดีๆ คงมีอยู่เยอะ แต่ดันซวยหรือบุญน้อยก็ไม่รู้ เลยไม่ได้มีโอกาสได้ไปอยู่ ) ก็เป็นสิ่งที่มีความสุขมากจริงๆ ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้นอีกขั้นว่า ความสุขอยู่ที่ตัวเราและทำยังไงที่จะแจกจ่าย และให้กำลังใจผู้ที่คอยให้กำลังใจเรา
ทุกวันนี้ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ให้มีคุณสมบัติในการเป็นครูที่ดี ที่ไม่เพียงแต่ส่งต่อความรู้แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ชีวิดอันน้อยนิดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้แล้วก็ขอถือโอกาสนี้เป็นกำลังใจให้ทุกคนฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดีค่ะ
Create Date : 09 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 9 ธันวาคม 2554 11:48:04 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1807 Pageviews. |
|
|