|
"ชีวิตนี้น้อยนักแต่ชีวิตนี้สำคัญนัก" อ้างอิงจากพระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ,3 ตุลาคม 2550
ทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่า...เราเกิดและดับ วนว่ายตายเกิดแบบนี้เป็นแสนๆล้านๆชาติ เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีในภพนี้นั้นเป็นแค่เศษเสี้ยวของเวลาทั้งหมดที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่
หากประมาทเราจะใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดในวันนี้โดยการปล่อยใจปล่อยตัวไปตามกิเลส...จนในที่สุดก็พาตัวเองไปอยู่ในภพเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยความยากแค้นและทุกข์ทรมานใจ...
บางคนเมื่อเจอทุกข์...ก็หาทางพ้นทุกข์...แต่ไม่ค่อยเฉลียวใจถามตัวเองว่าเหตุของทุกข์นั้นเกิดจากอะไร...ส่วนใหญ่ทุกข์ก็เกิดจากความไม่พอใจ...ไม่สุขใจ...ไม่สบายกายไม่สบายใจ...
แต่ถ้าหากโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ...ก็ควรถามตัวเองว่าโชคชะตาพาเราเดินมาเจอทุกข์นี้ทำไม...เจอเพื่อเรียนรู้...เจอเพื่อชดใช้...เจอเพื่อให้จดจำและเข็ดหลาบ...
เราบางคนไม่เชื่อ...และหลงลืม...ลืมไปว่า...ที่ต้องทุรนทุรายอยู่นี้อาจเพราะได้เคยไปทำร้ายทำลายให้ใครเดือดร้อนไว้...จนสิ่งที่ได้ทำหรือเวรกรรมนั้นตามติดมาทัน...ก็เลยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นทุกข์ในตอนนี้
หากโลกนี้ไม่เรื่องบังเอิญ...สิ่งที่เกิดก็คงเกิดเพราะสิ่งที่ได้เคยทำไว้ในเวลาของกาลอื่น...ผลของสิ่งที่ได้ทำไว้ก็ติดตามมาเพื่อตอบแทนความดี...หรือตามมาเพื่อทวงถามโทษ...อันนี้ก็แล้วแต่เรื่องที่สร้างกันมาในแต่ละภพภูมินั้นๆ
ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเวรกรรมนั้นไม่มีจริง...เป็นแค่กุศโลบายที่อยากให้คนทำความดีไม่เบียดเบียนกันเท่า...เราก็อยากให้เชื่อแบบนั้นเพราะผุ้คนจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขร่มเย็น
ปลูกสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น...สอนสั่งสิ่งใดก็จะได้ต้นกล้าที่เป็นไปตามนั้น...ส่งเสริมสิ่งใดก็จะเห็นสิ่งนั้นเบื้องหน้า...ภพนี้ภูมินี้สร้างสิ่งนี้...ภพหน้าภูมิหน้าก็จะได้รับผลของสิ่งที่ได้สร้างไว้...
ให้เชื่อว่า
ทำไม่ดีได้ดีไม่มี...ทำไม่ดีก็ได้ผลไม่ดีนั้นแหละ
ทำดีต้องได้ดี...นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง...และต้องยึดถือสิ่งนี้เป็นครรลองอย่างหนักแน่่นในชีวิต...
ความดีจะสร้างได้จากคนที่มีสำนึกดี...จิตใจดี...และเราต้องแข็งแรงพอจึงจะปกป้องคนดีและความดีได้
พาลวะปัจจัย และสติปัญญาญาณ บารมี และต้นทุนชีวิตที่ดีทั้งหมดในตอนนี้เป็นเหมือนอาภรณ์ติดกายหยาบของเราในชาตินี้เท่านั้น
หากไม่สั่งสมให้เพิ่มพูน และใช้สิ่งที่มีไปในการทำลายทำร้ายผู้อื่น ใช้ต้นทุนที่มีไปโดยการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น กอบโกยและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นอย่างอย่างเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้แล้ว
ทิศเบื้องหน้าก็จะยากแค้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ เพราะไม่ได้สร้างบุญ แต่กอบโกยเอากิเลสตัณหามาสุ่มเกาะติดตัว พอถึงเวลาต้องถอดอาภรณ์ของภพนี้ออก ร่างกายก็จะมีแต่สิ่งสกปรกน่ารังเกียจเกาะเต็มกาย
อาภรณ์ชุดใหม่ที่จะสวมใส่ในภพหน้า...ก็สิ่งที่เห็นหลังจากถอดอาภรณ์ชุดเดิมออกนั้นแหละ...ถ้าเน่าเฟะเหม็นสาปก็จะได้อาภรณ์ที่แสนจะยากแค้น...นั่นก็เพราะได้สร้างและกอบโกยเอาสิ่งนั้นมาเกาะตัวไว้
เวลาในโลกนี้ช่างน้อยนัก...ไม่ได้หมายความว่ามีเวลาน้อย...ก็ต้องเร่งขวนขวายเสพสุข...กอบโกยเอาความโลภ...ความอยากได้อยากมีมาปรนเปรอตน...เอาเปรียบคนอื่นอย่างตะกละตะกลามเหมือนคนตายอดตายอยาก...ใครเดือดร้อนก็ไม่สนใจ
เวลาในโลกนี้น้อยนัก...หมายถึงว่าเวลาที่มีในภพนี้น้อย...เราต่างก็วนเวียนเกิดดับเป็นแสนๆล้านๆชาติ...สิ่งที่เราได้ทำในวันนี้ภพชาตินี้จะเป็นเครื่องกำหนดทิศเบื้องหน้าให้เรา...เรามีเวลาไม่มากนักที่จะศึกษาธรรมะ รักษาศีล เพื่อสร้าง ทาน บารมี และพาลวะปัจจัยให้ติดตัวไปในทิศเบื้องหน้า
| Create Date : 29 พฤศจิกายน 2567 |
|
0 comments |
| Last Update : 30 พฤศจิกายน 2567 0:24:33 น. |
| Counter : 198 Pageviews. |
|
 |
|