Director:Michel Gondry
Writers:Charlie Kaufman (story)
Stars: JimCarrey, Kate Winslet
EternalSunshine of the spotless mind (2004)ภาพยนตร์ชื่อยาวที่มาพร้อมกับชื่อภาษาไทยเก๋ๆว่า ลบเธอ...ไม่ให้ลืม จริงๆแล้วพระจันทร์เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มานานพอดูค่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสหามาดูสักทีน่าจะคล้ายๆ กับ TokyoGodfathers ที่เคยได้ยินว่าดีแต่ยังไม่ได้ลองพิสูจน์ด้วยตาตนเองแต่วันนี้ฤกษ์ดีก็เลยตัดสินใจหยิบหนังขึ้นมาดูและก็รู้ว่า อืม...หนังเค้าดีจริงๆ
EternalSunshine of the spotless mindเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้เชื่อว่าชีวิตของเค้าธรรมดาไม่น่าสนใจนามว่า โจเอลได้รู้ความจริงว่าแฟนของเค้า คลีเมนไทน์ ไปพบดร.โฮเวิร์ดเพื่อขอลบความทรงจำที่มีเกี่ยวกับโจจนหมดสิ้นนั่นทำให้โจตัดสินใจลบความทรงจำเกี่ยวกับคลีเมนไทน์เช่นกันทว่าระหว่างการลบความทรงจำ โจเอล กลับต้องการยกเลิกภารกิจนี้เพราะเขาไม่อยากลืมคลีเมนไทน์จริงๆ
แค่อ่านพล็อตเรื่องก็น่าสนใจแล้วนะคะชายหนุ่มที่ต้องการลบความทรงจำที่เกี่ยวกับคนที่ตัวเองรักและเลิกกันไปแล้วแต่สิ่งที่พระจันทร์คิดว่าดีกว่าพล็อต ดีกว่าการแสดงของจิม แคร์รีย์ และ เคท วินสเล็ต นั่นก็คือ บท และการลำดับภาพแม้ว่าตอนต้นของหนังจะดูเนือยๆ ถึงขั้นน่าเบื่อแต่ยิ่งดูก็ยิ่งรู้ว่าหนังเต็มไปด้วยรายละเอียดให้เราสังเกตและพลาดช่วงไหนไม่ได้เลย เพราะ หนังเล่นสลับระหว่าง เรื่องก่อนที่จะรัก และเรื่องก่อนที่จะลบความทรงจำ ส่วนนี้เมื่อดูจบหลายคนน่าจะเป็นเหมือนกันคือ คนเขียนบทเยี่ยมยอดมากๆพอๆ กับการลำดับภาพที่น่าจะเป็นส่วนดีที่สุดของหนังไปเลยค่ะ
พูดกันเรื่องการต้องการลืมเรื่องราวที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกคนคงเคยมีประสบการณ์แย่ๆหรือเรื่องราวที่เสียใจและไม่อยากจะจดจำเรื่องราวเหล่านั้นน่าแปลกที่ว่ายิ่งไม่อยากจำ ก็กลับไม่ยอมลืม ในหนังไม่ได้ชี้นำให้เราตรงๆ ว่าการลืมใครสักคนที่เคยรัก เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ แล้วหากลืมกันได้จริงๆ ชีวิตจะเดินต่ไปอย่างถูกต้องหรือส่วนนี้ทำให้พระจันทร์นึกถึงตัวละคร ทิฟฟานี่ ในหนังเรื่อง Silver linings playbook ที่เจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิตจนเสียศูนย์เช่นกันแต่เธอกลับเลือกที่จะมองว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ
There'salways going to be a part of me that's sloppy and dirty,but I like that. Withall the other parts of myself.
แม้ว่าบางช่วงชีวิตของฉันจะทำเรื่องสกปรกหรือไม่ดีไว้แต่ฉันก็ชอบมันรวมทั้งทุกๆ ส่วนของตัวเอง
แต่คลีเมนไทน์และโจเอลต่างเลือกที่จะยอมลืมเรื่องราวส่วนหนึ่งในชีวิต โดยหลงลืมไปว่าก่อนที่ทั้งคู่จะอยู่ในภาวะ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหรือน้ำต้มผักไม่ได้หวานเหมือนดังเดิมอีกต่อไปนั้น ทั้งสองเริ่มต้นด้วยความสวยงามและบทสนทนาเรียบง่าย ที่ทำให้คนทั้งสองเริ่มต้นคบกัน
ในช่วงที่โจเอลพยายามสุดตัวเพื่อหนีจากการลบความทรงจำเขาได้เดินทางกลับไปยังความทรงจำที่เขาและคลีเมนไทน์เคยมีร่วมกันและนั่นกลับยิ่งที่ให้ความรักเด่นชัดขึ้น จนเมื่อรู้ว่าไม่มีทางหนีจากการ ลืม ได้แล้วเขาจึงบอกกับคลีเมนไทน์ในความทรงจำว่า แค่เพลิดเพลินกับเวลาที่มีอยู่นี้ก็พอ เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาอาจมีความสุขร่วมกับเธอแต่ไม่ได้ใส่ใจเพราะเมื่อเลิกกันความทรงจำดีๆ ที่มีต่อกันก็ไม่เหลืออยู่ต่างฝ่ายต่างจำได้แต่เรื่องแย่ๆ ดังที่เราได้ยินจากเทปสนทนาก่อนการรักษานั่นเอง
ในตอนท้ายที่ทั้งสองคนรู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างลบความทรงจำที่มีระหว่างกันไปก่อนหน้านี้ แต่การที่ทั้งสองกลับมาพบกันและประทับใจกันอีกรอบก็น่าเพียงพอแล้วที่จะบอกว่า แม้ความจำจะหายไปแต่ความผูกพันน่าจะยังคงอยู่ คลีเมนไทน์ยอมรับกับโจเอลว่าเธอไม่ใช่คนที่ดีพร้อม และเธออาจจะเบื่อเขาอีกครั้งก็ได้ถ้าเขายังมีกรอบให้เธอต้องเดินตามอยู่เหมือนเดิมโจเอลตอบออกไปแค่ โอเคนั่นเพราะเขายอมรับได้แล้วว่า เขารักเธอที่เป็นเธอ เธอที่ไม่ได้ดีพร้อมและตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน
ในส่วนที่หนังพูดเรื่องความสัมพันธ์ของคนรักและเลิกรากันทำให้นึกถึงภาพยนตร์อีกเรื่องคือ Blue Valentine แต่ด้วยเนื้อหาที่ไม่มีแฟนตาซีอยู่เลย ประกอบกับหนังก็บอกเราตั้งแต่แรกแล้วว่า Nobodybaby, but you and me คือเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้น ทำให้เราไม่รู้แน่ชัดว่าปัญหา ของสองคนนี้คืออะไร จนทำให้อีกฝ่ายต้องการตัดใจจากความสัมพันธ์ แต่ EternalSunshine of the spotless mind ไม่เครียดเขม็งเท่าและแม้จะไม่ได้เล่าปัญหาแบบชัดเจนแต่พอทำให้เข้าใจได้ว่าเมื่อฝ่ายหนึ่งตั้งกำแพงสูงเกินไป ในขณะที่อีกฝ่ายก็สบายๆ เกินไป ความไม่เข้าใจเบื่อหน่ายจึงบังเกิด และอาจทำให้กลายเป็นทิฐิที่ต้องการเอาชนะอีกฝ่าย ทั้งๆที่ต่างฝ่ายต่างก็ยังรักกันนั่นเอง
EternalSunshine of the spotless mindจึงเป็นหนังที่เราเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนตัดสลับไปในช่วงที่มีความสุข ความสัมพันธ์ไม่ลงรอย การลบอีกฝ่ายออกจากความทรงจำและการกลับมารักกันอีกครั้ง เพราะยอมรับได้แล้วว่า การลืมไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความสัมพันธ์ ตราบที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ยอมหันหน้าคุยกันแม้ว่าในสักวันจะต้องเลิกกัน แต่ช่วงระหว่างความทรงจำที่ดีๆก็จะยังคงอยู่และไม่จำเป็นต้องลบใครออกจากความทรงจำอีกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลภาพยนตร์จาก IMDb
พออ่านตรงนี้แล้ว รู้สึก อยากดูขึ้นมาทีเดียวครับ
เขียนได้ดีครับ โดยเฉพาะตอนจบ
ชอบประโยค There'salways going to be a part of me that's sloppy and dirty,but I like that. Withall the other parts of myself. และ แม้ความจำจะหายไปแต่ความผูกพันน่าจะยังคงอยู่ ครับ