::บทที่ 10 พฤติกรรมของสัตว์ (behavior):: อัพ 15% เจ้าคร๊า
พฤติกรรมของสัตว์
พฤติกรรม (behavior) พฤติกรรมเป็นปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตตอบโต้ต่อการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกตัวของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ พฤติกรรมเป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม พันธุกรรมจะเป็นผู้กำหนดระดับและขอบเขต ของการเจริญของส่วนต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อพฤติกรรม เช่น ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ฮอร์โมน ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบประสาทที่เจริญซับซ้อนมากก็ย่อมมีพฤติกรรมที่สลับซับซ้อนไปด้วย ส่วนสภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในธรรมชาติ เป็นแบบแผนของการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่จึงเรียกการรับตัวนี้ว่า การปรับตัวทางด้านพฤติกรรม (behavioral adaptation) ซึ่งจะควบคู่ไปกับการปรับตัวทางด้านอื่นๆ ด้วยผลของการปรับตัว ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ในแหล่งที่อยู่ได้ดียิ่งขึ้น
การศึกษาพฤติกรรม นักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกที่ได้ศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ ได้แก่ เพอร์นัว (F.A.V. Pernau) ปีพ.ศ. 2259 (ค.ศ. 1716) โดยรายงานว่า สัตว์มีพฤติกรรมทั้งที่เป็นสัญชาตญาณและการเรียนรู้ ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ปี พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) ได้ศึกษาพฤติกรรมของสัตว์และคนโดยการเปรียบเทียบทางด้านวิวัฒนาการ ต่อมา สพัลดิง (D.A. Spalding) ปี พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) ได้ศึกษาพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาแต่กำเนิดในนกนางแอ่น ในช่วงปี พ.ศ. 2473 2493 (ค.ศ. 1930 - 1950) นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพฤติกรรมอย่างมีระบบมากขึ้น โดยคาร์ล ฟอน ฟริสซ์ (Karl Von Frisch) ได้ศึกษาการสื่อสารและหาอาหารของผึ้ง คอนราด ลอเรนซ์ (Konrad Lorenz) ได้ศึกษาพฤติกรรมการฝังใจของห่านแคนาดา และนิโก ทินเบอร์เกน (Niko Tinbergen) ได้ศึกษาพฤติกรรมของปลาสติกเกิลแบค (stickleback fish) และนกนางนวลหลายชนิดผลงานของนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 ท่านนี้ ก่อให้เกิดวิทยาศาสตร์สาขาใหม่คือ สาขาพฤติกรรมศาสตร์ (ethology) และในปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 3 ท่านนี้ก็ได้รับรางวัลโนเบลร่วมกัน ในสาขาสรีรวิทยาและการแพทย์ ทำให้การศึกษาพฤติกรรม โดยอาศัยกลไกทางสรีรวิทยาของสัตว์นั้นๆ ในปัจจุบันการศึกษาพฤติกรรมสัตว์ หรือพฤติกรรมศาสตร์ จะอาศัยความสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์ 2 สาขา คือ 1. การศึกษาทางสรีรวิทยา (physiological approach) โดยอธิบายพฤติกรรมในรูปแบบของลไกทางสรีรวิทยาของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบกล้ามเนื้อ 2. การศึกษาทางจิตวิทยา (psychological approach) โดยการศึกษาถึงผลของปัจจัยต่างๆ รอบตัวทั้งภายในและภายนอกร่างกายสัตว์ ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาและแสดงออกของพฤติกรรมที่สามารถมองเห็นได้ นักพฤติกรรมศาสตร์ (ethologist) คือ บุคคลที่ศึกษาทางด้านพฤติกรรม เพื่อหาสาเหตุของการเกิดพฤติกรรม การพัฒนาของพฤติกรรมรวมไปถึงการวิวัฒนาการของพฤติกรรมว่ามีความเป็นมาอย่างไร พันธุกรรมเกี่ยวข้องย่างไร
การศึกษาพฤติกรรมมีวิธีการดังนี้
รูปที่ 10-1 การศึกษาในสภาพธรรมชาติของนกนางนวล
1. การสำรวจในธรรมชาติ ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ต้องมีการติดตามเฝ้าดู รวมไปถึงการติดอุปกรณ์สื่อสารไปกับตัวสัตว์ เพื่อที่จะได้ติดตามดูพฤติกรรมได้อย่างใกล้ชิด มีการจดบันทึกข้อมูลต่างๆ โดยไม่ให้สัตว์รู้ 2. การศึกษาในห้องทดลอง เป็นการศึกษาสัตว์ในห้องทดลองอาจใช้วิธีการเฝ้าดู โดยไม่ให้สัตว์เห็นแล้วจดพฤติกรรมการอยู่ร่วมกันของสัตว์ในห้องทดลอง การศึกษาสรีรวิทยา เช่น ระบบประสาทโดยดูว่าระบบประสาทส่วนใดควบคุมการทำงานของร่างกายส่วนไหน การฉีดฮอร์โมนบางชนิดให้กับสัตว์เพื่อดูพฤติกรรมของสัตว์ที่เปลี่ยนไป เป็นต้น
รูปที่ 10-2 การศึกษาในห้องทดลอง
10.1 กลไกการเกิดพฤติกรรม
การเกิดพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตจะต้องมีสิ่งมากระตุ้น (stimulus) แล้วสิ่งมีชีวิตนั้นตอบสนอง (respond) ต่อสิ่งกระตุ้น ซึ่งจะออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การวิ่ง การร้องไห้ การกินอาหาร การสืบพันธุ์ เป็นต้น สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดพฤติกรรม แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ 1. สิ่งเร้าภายนอก (external stimuli) คือสิ่งเร้าที่อยู่นอกตัวผู้แสดงพฤติกรรม เช่น อาหาร แสงสว่าง ความร้อน น้ำ สารเคมี เสียง แรงดึงดูดของโลก 2. สิ่งเร้าภายใน (internal stimuli) เป็นสิ่งเร้าที่อยู่ภายในตัวของผู้ที่แสดงพฤติกรรมเอง เช่น ความกระหาย ความหิว ความต้องการทางเพศ สิ่งเร้าเหล่านี้ เป็นผลจากการทำงานของระบบประสาทและระบบฮอร์โมน ระบบประสาท และระบบกล้ามเนื้อ จะเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรม โดยที่ระบบประสาท ทำหน้าที่ในการรับความรู้สึกจากหน่วยรับความรู้สึก แล้วส่งกระแสประสาทไปยังสมองหรือไขสันหลังเพื่อตอบสนองต่อไป ซึ่งเขียนเป็นไดอะแกรมได้ดังนี้
รูปที่ 10-3 ไดอะแกรม แสดงการเกิดพฤติกรรม
ในสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำ เช่น พวกโพรทิสต์ จะมีระบบประสาทที่ไม่ได้พัฒนาไปมากนัก เช่น มีเส้นใยประสานงาน (co ordinating fibre) เท่านั้น ดังนั้น พฤติกรรมที่เกิดก็เป็นพฤติกรรมแบบง่ายๆ ด้วย เช่น การเคลื่อนที่แบบไม่มีทิศทางของพารามีเซียม
รูปที่ 10 4 การตอบสนองของดอกไม้ทะเลเมื่อใช้วัตถุกระตุ้น ในพวกซีเลนเทอเรต ระบบประสาทพัฒนาไปบ้าง แต่ก็ไม่มากโดยระบบประสาท เป็นข่ายใยประสาท (nerve net) ทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาท จึงไม่มีทิศทางแน่นอน พฤติกรรมก็เป็นแบบง่ายๆ เช่นเดียวกับพวกโพรทิสต์ ส่วนในส่งมีชีวิตชั้นสูง มีระบบประสาทที่พัฒนาไปมากทั้งในส่วนของอวัยวะรับความรู้สึกและอวัยวะตอบสนอง ดังนั้น พฤติกรรมจึงมีความสลับซับซ้อนว่าพวกแรกมาก สัตว์ชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกัน เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นย่างเดียวกัน อาจแสดงพฤติกรรมเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะของสัตว์ในขณะนั้นๆ เช่น อายุ เพศ ความเจริญของระบบประสาทและกล้ามเนื้อรวมไปถึงมูลเหตุจูงใจด้วยว่ามากน้อยขนาดไหน อวัยวะรับความรู้สึกแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ (1) รับความรู้สึกจากภายนอก (exteroceptor) โดยรับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ตารับแสง หูรับเสียง จมูกรับกลิ่น ผิวหนังรับอุณหภูมิ เป็นต้น (2) รับความรู้สึกจากภายใน (interoceptor) โดยรับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายใน เช่น ความรู้สึกกระหาย ความรู้สึกหิว ความรู้สึกต้องการทางเพศ (3) รับการกระตุ้นทั้งภายในและภายนอก (propioceptor) พวกนี้ช่วยทำให้เราทราบตำแหน่งของร่างกายว่าอยู่อย่างใด ได้แก่ อวัยวะที่ทำหน้าที่ทรงตัวในหู รวมทั้ง ตัวรับความรู้สึกที่อยู่ในกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อด้วย สำหรับหน่วยตอบสนองนั้นก็เป็นหน่วยที่แสดงออกขงพฤติกรรม ซึ่งระดับความเจริญและพัฒนาของระบบตอบสนองก็จะสัมพันธ์กับหน่วยรับความรู้สึก และระบบประสาทส่วนกลาง กล้ามเนื้อเป็นหน่วยตอบสนองในสัตว์ทั่วๆ ไป ส่วนในพวกโพรทิสต์ ไม่มีกล้ามเนื้อ แต่ก็อาศัยอวัยวะอื่นทำหน้าที่แทน เช่น ซีเลีย แฟลเจลลา หรือการไหลเวียนของโพรโทพลาซึมในพวกอะมีบา (moebiod movement) การตอบสนองมักจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและการเคลื่อนที่เสมอ ในการแสดงพฤติกรรมของสัตว์ต้องมีสิ่งเร้ามากระตุ้น สัตว์จะแสดงพฤติกรรมเมื่อมีเหตุจูงใจ (motivation) ให้แสดงพฤติกรรมนั้น ๆ เหตุจูงใจคือ ความพร้อมในร่างกายสัตว์ เช่น ความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ เหตุจูงใจจะทำงานร่วมกับปัจจัยภายในร่างกายของสัตว์อีกหลายประการ เช่น สุขภาพ ระดับฮอร์โมน ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ หรือประสบการณ์ต่างๆ ที่สัตว์ได้รับ เหตุจูงใจตามปกติต้องสูงพอประมาณ เช่น ร่างกายขาดน้ำเนื่องจาเสียเหงื่อมากจะมีผลไปกระตุ้นสมองส่วนไฮโพทาลามัส (hypothalamus) ให้เกิดการกระหายน้ำในขณะเดียวันสมองก็สั่งการไปหน่วยปฏิบัติการ (effector) ให้เดินหาน้ำละเมื่อพบน้ำก็จะดื่มทันที ตัวกระตุ้นที่เหมาะสมคือ น้ำ และความพร้อมของร่างกายสัตว์ทำให้สัตว์ปลดปล่อยพฤติกรรมออกมาได้ คือ พฤติกรรมการดื่มน้ำและเรียกตัวกระตุ้นนี้ว่า ตัวกระตุ้นปลดปล่อย (releasing stimulus) ส่วนกระแสประสาทที่ไวต่ตัวกระตุ้นปลดปล่อยนี้เรียกว่า กลไกการปลดปล่อยพฤติกรรม (releasing mechanism) โดยทั่วไปเหตุจูงใจและตัวกระตุ้นปลดปล่อยจะเป็นปฏิภาคผกผันกัน คือ ถ้าเหตุจูงใจสูงสัตว์จะแสดงพฤติกรรมได้โดยตัวกระตุ้นปลดปล่อยไม่ต้องสูงมากนัก ในทางตรงกันข้ามถ้าเหตุจูงใจต่ำ ตัวกระตุ้นปลดปล่อยต้องสูงมากจึงจะแสดงพฤติกรรมได้ เช่น สัตว์อิ่ม (เหตุจูงใจต่ำ) เมื่อนำอาหารธรรมดา (ตัวกระตุ้นปลดปล่อยต่ำ) มาให้สัตว์กินสัตว์ไม่แสดงพฤติกรรมกินอาหาร แต่ถ้าเป็นอาหารชนิดพิเศษ (ตัวกระตุ้นปลดปล่อยสูง) สัตว์แสดงพฤติกรรมการกินอาหารได้ สัตว์หิว (เหตุจูงใจสูง) เมื่อนำอาหารธรรมดา (ตัวกระตุ้นปลดปล่อยต่ำ) มาให้สัตว์กินสัตว์ก็สามารถแสดงพฤติกรรมการกินอาหารได้
บรรณานุกรม
ประสงค์ & จิตเกษม หลำสะอาด.คู่มือ ชีววิทยา เล่ม 3(2544).โรงพิมพ์ เพิ่มทรัพย์ การพิมพ์.
Create Date : 03 ตุลาคม 2550 |
|
15 comments |
Last Update : 11 ตุลาคม 2550 12:01:40 น. |
Counter : 7567 Pageviews. |
|
|
|
คงจะต้องตามอ่านบทแรกๆ
ขอบคึณครับ
อ่านไม่ไคร่เห็นเลย