milaika
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Group Blog
 
 
กันยายน 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
18 กันยายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add milaika's blog to your web]
Links
 

 

นรีย์นุช สุดถวิล ตอนที่ 2 ในห้วงความมืด

ขอโทษนะคะที่หายไปนานมากๆ (ถ้าหากมีผู้ติดตามอยู่Smiley)ลุยเลยแล้วกัน!


ฉันลืมตางัวเงียขึ้นมา มองเห็นทุกอย่างมืดไปหมด มืดจนไม่รู้ว่ามือตัวเองอยู่ที่ไหน ก็เลยจำเป็นต้องเอื้อมมือไปคลำตั้งแต่หัวลงมาจนถึงดวงตาทั้งสองข้าง ลองกดเบ้าตาลึกๆเพื่อดูว่าจะตาลายจนเห็นสีรึเปล่า ปรากฏว่าเซลล์ประสาทตายังทำงานดีอยู่ โอเค ถ้าอย่างนั้นก็สรุปได้ว่าที่ที่ฉันอยู่ในตอนนี้ มันมืดมากๆ เมื่อฉันลองคลำไปทั่ว ก็เลยรู้ว่าตอนนี้ฉันนั่งอยู่บนกองฟาง แล้วด้วยความที่ทุกอย่างรอบตัวมันมืดมนเหลือหลาย ฉันก็กลัวที่จะขยับตัวไปทิศทางไหน เพราะไม่แน่ใจว่าเลยกองฟางนี้ไปจะกลายเป็นอะไร ที่แน่ๆตอนนี้หัวสมองของฉันหมุนติ้วไปสามพันตลบเพื่อรีบประมวลผลว่านี่มันอะไรกัน


                เท่าที่ฉันระลึกได้นั้น ก็มีเพียงแค่ฉันนอนหลับตาลงบนเตียงในขณะที่ยัยแป้งสะกดจิตของฉัน เอ...บางทีนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอน หรืออาจจะเป็นสภาวะอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในระหว่างถูกสะกดจิต...สงสัยว่าตอนที่ฟื้นขึ้น ฉันอาจจะต้องไปหาคำตอบให้รู้ให้ได้ บางทีอาจจะมีวิธีอื่นที่ทำให้เวลาอยู่ในภาวะถูกสะกดนั้น ไม่ต้องเห็นทุกอย่างมืดแล้วก็วังเวงขนาดนี้ เพราะนี่มันเงียบแล้วก็ออกจะน่ากลัวเกินไปหน่อยเสียแล้ว ฉันยกมือมาลูกหัวใจเบาๆ ให้มันอยู่อย่างสงบๆ...อย่าเพิ่งจินตนาการอะไรน่ากลัวขึ้นมาเชียวนะ!


                ฉันขยับตัวเอียงหูไปด้านข้างเล็กน้อยเพราะได้ยินเสียงกุกกัก ดังมาจากทิศทางหนึ่ง เสียแต่ว่าฉันไม่รู้ว่าเสียงนั้นคือเสียงอะไร ด้วยความที่อยู่ในความมืดมาชั่วระยะหนึ่ง ตาเริ่มชินกับความมืดมากพอที่จะเห็นเงาตะคุ่มเลือนลางของสภาพแวดล้อมรอบตัว ฉันไม่รู้ว่าสายตามันปรับสภาพเพราะร็อดเซลล์ที่รับภาพเวลาแสงน้อยเริ่มถูกกระตุ้นให้ทำงาน หรือว่าอยู่ๆข้างนอกห้องก็เริ่มมีแสงไฟวูบวาบ ช่วยให้เห็นภาพรอบตัวได้ชัดเจนเลยทีเดียว


                ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่บนกองฟางในห้องกว้างๆห้องหนึ่ง อันที่จริงจากการประมวลมองภาพรอบตัว นี่มันน่าจะเป็นศาลเจ้าร้างๆสักแห่งมากกว่า เพราะรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่มีฝุ่นและหยากไย่เกาะอยู่เต็มไปหมดช่วยตอบคำถามให้หมดไปจากใจ


                “ จงตามหาชายในฝัน”


                ฉันได้ยินเสียงยัยแป้งดังแว่วเข้ามาในหู ถึงน้ำเสียงจะเป็นเสียงของแม่นักเรียนดีเด่น แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นที่ทำให้ฉันสงบปากรับฟัง อาจจะเป็นเพราะโทนเสียงที่เหมือนจะนิ่งสงบ เสียงที่จริงใจซะจนคนถูกขอร้องไม่อยากจะปฏิเสธ


                คนในฝันมันหากันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันเริ่มสงสัยตงิด ว่าตอนนี้ฉันกำลังมายืนทำอะไรอยู่หน้ารูปปั้นองค์กวนอิม ที่อมยิ้มนิดๆแล้วปรายตาลงมามองฉันอย่างเมตตา หยากไย่ที่เกาะเต็มไปหมดกำลังแกว่งปลิวน้อยๆเหมือนอยากดึงดูดความสนใจจากฉันมากกว่าการแข่งสบตากับรูปปั้น ฉันแอบอมยิ้มกับตัวเอง เออ...เรานี่ก็แปลกดีนะ ไม่มีอะไรทำจนถึงขั้นยอมให้เพื่อนสะกดจิตตัวเอง เพื่อมาแข่งสบตากับรูปปั้น!


                แอ๊ด...


                ฉันรีบหันขวับไปด้านหลังอย่างตกใจตามสัญชาติญาณ เมื่อได้ยินเสียงประตูศาลาเปิดอย่างแผ่วเบา แต่ไอ้ด้วยความที่รอบตัวฉันมีแต่ความเงียบ เสียงที่แผ่วเบาประดุจเข็มตกลงบนพรม ก็เลยได้ยินซะดังประหนึ่งระเบิด


สมาธิ สติ และปัญญาของฉันปลิวหายไปหมดในทันทีเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มสองตา ฉันเบิ่งตากว้างอย่างตื่นตระหนก อยากจะกรี๊ดให้ลั่นโลก เมื่อมองเห็นผู้ชายร่างอ้วนโชกเลือดย่างสามขุมเข้ามาหา ถ้าไม่นับเลือดที่ชุ่มย้อมเสื้อผ้าเสียจนเปลี่ยนสีบนร่าง ฉันก็พบว่าทุกอย่างตรงหน้ามันดูไม่ปกติ ชุดของชายคนนั้น รองเท้าของชายคนนั้น รวมทั้งทรงผมอีก...มันเหมือนกับว่าฉันพลาดอะไรบางอย่างไป...คำถามสำคัญที่ควรจะเริ่มถามตัวเองอย่างจริงจังเสียที นี่ฉันอยู่ที่ไหน?


แต่ก่อนที่ฉันจะได้คิดหาคำตอบ ร่างอ้วนๆตรงหน้าก็ล้มฟุบไปซะก่อน ฉันรีบพุ่งเข้าไปรับ แต่ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าคิดผิดอย่างใหญ่หลวง ผู้ชายคนนี้ตัวอ้วนใหญ่และหนักกว่าที่ฉันคาดไว้เป็นอย่างมาก ทำให้ไอ้ร่างผอมแห้งของฉันโดนทับเข้าไปเต็มๆ เมื่อชายคนนั้นเซล้มมาทับฉันไว้ ความรู้สึกที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิด ก็เลยเกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน...เปล่า มันไม่ใช่ความวาบไหวของรอยสัมผัสระหว่างชายหญิง แต่มันคือ ความจุก...คุณลองจินตนาการถึงตอนที่เกิดเสียหลังล้มลงแล้วดันถูกกระสอบข้าวสารหนักหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัมล้มทับลงสิ มันจุกเสียซะจนฉันหายใจไม่ทัน แล้วก็รู้สึกปวดลิ้นปี่ขึ้นมาทันที...จะเอาหมูอ้วนตัวนี้ลงไปยังไงดีวะ...ฉันเหลือบมองไปรอบห้อง น้ำหนักกดทับซะจนเริ่มหายใจไม่ออก แล้วตาก็เริ่มพร่ามัวลง แต่ก่อนที่สติสุดท้ายจะสูญไป ฉันก็เกิดแรกเฮือกใหญ่เหมือนอดรีนาลีนหลั่งทั่วตัวเมื่อ...ไม่นะ! อย่าบอกนะว่านี่ คือ...ชายในฝันของฉัน


แล้วด้วยอารมณ์ที่คิดแบบนั้น ฉันก็เลยดิ้นรนยุกยิก ตั้งหน้าตั้งตาทั้งพลักทั้งดันซะจนหมูยักษ์ขยับตัวเลื่อนไปด้านข้าง ฉันดันใบหน้าท้วมๆที่ซบอยู่ตรงซอกคอของฉันให้เงยขึ้นมา มองเห็นเป็นใบหน้าเรียบๆไม่ได้มีอะไรสะดุดตาของผู้ชายที่โหงวเฮ้งบ่งบอกว่าเป็นคนซื่อๆ ไม่ได้มีพิษมีภัยหรือคิดร้ายต่อใคร แล้วไอ้ด้วยความที่ฉันดันหัวเค้าเงยขึ้นมา มันเลยทำให้ฉันเห็นเลือดที่ยังคงหยดแหมะๆออกมาจากบาดแผลตรงหัว ที่มองดูคล้ายรอยถูกฟาดด้วยอะไรซักอย่าง อย่างรุนแรง คราวนี้จากที่เคยรักตัวกลัวตายแล้วก็เคยกลัวผู้ชายคนนี้ กลายเป็นว่า...ฉันกลัวผู้ชายคนนี้จะตายไปต่อหน้าต่อตาจากการเสียเลือดจนหมดตัว


ฉันดันตัวชายร่างใหญ่ให้นอนหงายแล้วรีบฉีกแถบผ้าที่ชุดของชายคนนั้นออกมาเป็นแถบ เท่าที่เห็นผ้า มันดูสะอาดมากพอที่จะเอามาพันแผลและห้ามเลือดได้ แม้ว่าใจจริงฉันจะอยากเอาผ้าไปต้ม หรือไม่ก็อบไอน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรคเสียก่อน แต่ก็กลัวว่าถ้าเอาเวลาไปทำอย่างนั้น คงได้เอาผ้าสะอาดมาห่อศพเสียมากกว่า ซึ่งจากการที่ฉันฉีกแถบผ้าออกมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้ฉันถึงบางอ้อว่าทำไมบรรดาหนังจีน ถึงฉีกผ้ามาพันแผลกันได้ง่ายนักนะ ผ้านิ่มๆในมือช่วยตอบคำถามได้ทุกอย่างว่า ผ้าที่เอามาทำเป็นชุดพวกนี้เป็นผ้าเนื้อหยาบที่ฉีกขาดได้ง่ายมากซะจนผู้หญิงแรงน้อยอย่างฉันยังฉีกได้เป็นริ้วๆ แหม...ลองเทียบกับชุดที่ใส่ปกติแล้ว ฉันรู้สึกยินดียิ่งนักที่ได้มีผ้าสวยงามแถมคงทนใส่ ถ้าต้องมาใส่ชุดพวกนี้ฉันคงขาดใจตาย กลัวว่าวิ่งๆอยู่จะขาดหลุดผลั่วะ ลงมาทั้งยวง


ในขณะที่หัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฉันก็กวาดสายตามองหาน้ำสะอาดในศาลาร้าง แต่ก็อย่างที่เพิ่งบอกไปว่าร้างซะจนรูปปั้นยังขึ้นอยากไย่ นับประสาอะไรกับน้ำเปล่าที่คงจะระเหยกลายเป็นไอไปหมดแล้ว ฉันถอนหายใจเบาๆ กะว่าจะพันแผลไปสดๆห้ามเลือดไปก่อน ถ้าแผลติดเชื้อแต่รอดตายจากการเสียเลือด ก็ต้องยอมเสี่ยงหล่ะนะ ฉันเริ่มเอาผ้ามาพันรอบศีรษะตามแบบที่ได้เรียนมา แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นไหวางซุกอยู่หลังกองฟาง วางอย่างแนบเนียนซะจนไม่เห็น ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจมองหา ฉันรีบวางทุกอย่างในมือ กระโดดพรวดไปหาไหใบนั้น ภาวนาว่าขอให้เป็นอะไรก็ได้ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเยอะๆ ขอให้ไม่ใช่พวกผักดองหรือปลาร้าอะไรประมาณนั้น


กลิ่นฉุนกึกที่ทำเอาฉันแทบจะหน้าคะมำในทันที่สูดดม ช่วยตอบคำถามให้ฉันได้เป็นอย่างดีว่านี่แหล่ะคือสิ่งที่มองหา ฉันรีบเอาผ้าที่อยู่ในมือจุ่มลงไปในไหซะจนชุ่ม ไม่ลืมที่จะเอาเหล้ามาล้างมือด้วยเพื่อความสะอาด เมื่อเสร็จขั้นตอน ฉันก็วิ่งกลับมาหาชายร่างอ้วนแล้วเริ่มลงมือรักษาแผลอย่างตั้งใจ


“ เฮ้อ! เกือบตายแหน่ะ”


ฉันเอามือปาดเหงื่อที่ไหลเพราะความเครียด ไอ้ที่บอกว่าเกือบตายหน่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับคนที่สลบไปแล้วหรอก แต่ฉันหมายถึงตัวเองที่มีโอกาสได้ลงมือช่วยชีวิตผู้ป่วยด้วยตนเองเป็นครั้งแรกแล้วดันลนลานซะจนเกือบทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต


ฉันเพิ่งถอนใจด้วยความโล่งใจได้ไม่ทันไร ก็รู้สึกถึงรอยเย็นวาบตรงปลายคอ อะไรซักอย่างที่ทาบมาจากเบื้องหลัง สิ่งนั้นมันเย็นซะจนฉันเริ่มเหงื่อตกอีกรอบ ทีนี้จะเป็นอะไรอีกหล่ะ...สวรรค์...






Free TextEditor

อ้อ หลังจากนี้จะเอาไปลงไว้ที่ //writer.dek-d.com/a/writer/view.php?id=647773 ติดตามเข้าไปอ่านได้เลยนะคะ
ตอนนี้ลงถึงตอนที่ 8 แล้วค่ะ




 

Create Date : 18 กันยายน 2553
6 comments
Last Update : 18 กันยายน 2553 20:42:40 น.
Counter : 547 Pageviews.

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
หายไปเสียหลายวัน เผอิญดรสางานเข้าค่ะคุณmilaika นิยายก็เขียนคาไว้แค่สองหน้ากระดาษเอง ทำไมถึงยุ่งก็ไม่รู้ช่วงนี้ 5555 แต่มีงานทำดีกว่าตกงาน จริงไหมคะ

 

โดย: ดรสา 22 กันยายน 2553 10:01:45 น.  

 

 

โดย: ดรสา 28 กันยายน 2553 0:59:54 น.  

 

สวัสดียามเช้าค่ะคุณMILAIKA

น้ำแมงลัก เพื่อสุขภาพค่ะ ...เกศสุริยง....

น้ำเม็ดแมงลัก

ส่วนผสม
เม็ดแมงลัก 5 กรัม (1 ช้อนชา)
น้ำสะอาด 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
น้ำตาล 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
วิธีทำ
1. เอาเม็ดแมงลักมาเลือกเอาเศษผงออก แล้วเอาใส่ภาชนะที่ทนความ ร้อน
2. เอาน้ำร้อนหรือน้ำเย็นก็ได้ เทลงให้ในเม็ดแมงลัก คนให้เข้ากัน
3. ปล่อยให้เม็ดแมงลักพองตัวออกจนมีลักษณะเป็นเมือกขาวใส ตรง กลางเม็ดแมงลักจะมีสีดำ ๆ
4. เอาน้ำตาลใส่ในเม็ดเมงลัก ชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด เป็นการช่วยลดความ เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
คุณค่าทางยาแก้ท้องผูก ระบายท้อง ถ้าให้ได้ผลดี ควรดื่ม ก่อนนอน

 

โดย: เกศสุริยง 28 กันยายน 2553 8:51:45 น.  

 


มื้อเที่ยงนี้ ทานอะไรกันคะ? ของดรสา เย็นตาโฟจร้าาา
สร้างกริตเตอร์

มีความสุขมากๆนะคะคุณmilaika

 

โดย: ดรสา 29 กันยายน 2553 12:01:51 น.  

 


มาระลึกถึงพระคุณครู ที่blogกันนะคะ เกศสุริยง
สร้างกริตเตอร์

ห่างหายไปหลายวัน พอจะแตะคอม ฝนก็ตกฟ้าก็ร้องเสียทุกที วันนี้upblogใหม่ และว่างเลยมาทักทายกันให้หายคิดถึง มีความสุขทุกเมื่อวันนะคะคุณmilaika

 

โดย: เกศสุริยง 3 ตุลาคม 2553 9:30:14 น.  

 

Comment Hi5 Glitter
แวะมาทักทายยามดึก ช่วงนี้ยุ่งงงงงงงมากๆเลยค่ะ ไม่ได้เข้าblogสองวันแล้ว วันนี้พอมีเวลาเลยรีบมาเลยค่ะ คิดถึงอ่ะค่ะ เพื่อนชาวbloggangกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วค่ะ คุณmilaika สบายดีนะคะ คิดถึงมากมายค่ะ

 

โดย: เกศสุริยง 9 ตุลาคม 2553 21:35:18 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.