[Ciao! Italia] วันที่ 8 : เวนิสวาณิช (Venice)
Venice, Italy (7 March 2010)

* เป็นเรื่องส่วนตัวปะปนมามาก ฉบับสาระจะรีวิวไว้อีกทีในห้อง blueplanet
** อาจมีภาพ เสียง และเนื้อหาไม่เหมาะสมด้านพฤติกรรม ผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีควรได้รับคำแนะนำ

ค่าใช้จ่าย (ไม่รวมของฝากและของฝากซื้อ)

มื้อกลางวัน (สเปาเก็ตตี้+ทิรามิสุ+ลาซานญ่า+น้ำ) 20 ยูโร
สปาเก็ตตี้มื้อเย็น 3.9 ยูโร
น้ำดื่ม 1.2 ยูโร
ค่าโทรศัพท์ 2.4 ยูโร
ค่า Internet cafe 1.8 ยูโร

รวม 29.3 ยูโร

วันนี้ตื่นมา 7.30 น. สายมากถ้าเทียบกับวันก่อนๆ ลงมารับประทานอาหารเช้า ตบท้ายด้วย Tiramisu และพุดดิ้งรสวานิลลาที่ซื้อมาจาก Supermarket เมื่อวาน

Tiramisu ที่นี่ใส่ Marsala Wine แรงใช้ได้เลยว่ะ หอม+ร้อนในคอนิดหน่อย

วันนี้ออกจากที่พัก late มาก เราต้องขึ้นรถไฟไป Venice ล้อหมุน เวลา 9.30 น. กว่าจะออกจากที่พักก็ปาไป 9.20 น. พวกเรารีบวิ่งไปสถานีรถไฟ Firenze S.M.N. พอถึงชานชาลา กำลังจะก้าวขึ้นรถไฟ ปรากฎว่า ปอป้อหาย !!





พวกเราก็เดินขึ้นไปวางของบนรถไฟกันก่อน พอขึ้นไปถามเจ้าหน้าที่รถไฟว่าอีกกี่นาทีรถไฟออก

เจ้าหน้าที่บอกว่า 1 นาที !!

เอ๋ กับ นิก ก็รีบลงจากรถไฟเพื่อไปตามหาป้อ เหลือเรากะจั้มบนรถไฟ เฝ้าสัมภาระอยู่ รอลุ้นว่าทุกคนจะได้เดินทางไป Venice อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน

ซักพัก ป้อก็เดินขึ้นมา พร้อมกับถามว่า "อ้าว แล้วไอ้เอ๋กับไอ้นิกไปไหนล่ะ ?"

เรากับจั้มก็อธิบายเหตุการณ์เมื่อกี๊ให้ป้อฟัง ซักพักเอ๋กับนิกก็กลับขึ้นมา ซักพักรถไฟก็ล้อหมุนพอดี เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ

ป้อบอกว่า "ไม่ไม่ คือกระเป๋ากุมีล้อเดียวไง เลยวิ่งเร็วๆไม่ได้ต้องค่อยๆเดิน วิ่งแล้วกระเป๋าจะส่ายไปมาแล้วล้ม ตอนกุมามันมีรถไฟไป Venice 2 ขบวน คือ Eurostar กับ IC (Intercity) กุจำไม่ได้ว่ามึงจองรถไฟแบบไหนไป กุเลยวัดใจขึ้น Eurostar มาเลย แล้วมาเจอพวกมึงเนี่ย"

ในที่สุดก็ได้ไปพร้อมกัน ไม่มีใครตกรถไฟ

ระหว่างทาง รถไฟมีตีโค้งโค้งนึงที่ทำให้รถไฟเอียงขึ้น 30 องศา ตื่นเต้นดีเหมือนเล่นสวนสนุกเลย

การเดินทางใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเต็ม

รถไฟจะจอดที่สถานี Venice Mestre ก่อน ไม่ใช่เมืองเวนิสจริงๆนะ ยังอยู่ฝั่งแผ่นดินใหญ่อยู่





หลังจากสถานี Venice Mestre รถไฟก็จะวิ่งข้ามสะพาน Ponte della Libertà เพื่อข้ามทะเลไปสู่ตัวเมือง Venice จริงๆที่เป็นเกาะ





เหมือนรถไฟวิ่งอยู่บนทะเลเลย !!





ในที่สุดก็ถึงสถานี Venezia Santa Lucia ซึ่งเป็นสถานีบนตัวเมือง Venice จริงๆ และก็สุดสายแล้วด้วย พวกเราก็ลงที่สถานีนี้





เมืองเวนิสเป็นเมืองที่ไม่มีรถวิ่งนะ ต้องเดินด้วยเท้าหรือใช้เรือเท่านั้น ออกมาอากาศหนาวมาก อุณหภูมิ 4 องศา ลมแรงมาก ลากกระเป๋าเดินออกจากสถานีรถไฟ





แล้วเดินตามหาโรงแรม เดินไปตามซอกซอยเรื่อยๆ เดินไปเดินมาเจอทางตันซะงั้น ทางตันไม่ใช่แค่ทางตันอย่างเดียวนะ คือสุดถนนแล้วเป็นคลอง

ถ้าตอนกลางคืนมองไม่เห็น เดินดุ่มๆเข้าไปนี่มีสิทธิ์ตกคลองตายได้เลย ยิ่งเดินยิ่งงง

เลยตามหาชื่อถนนที่เป็นที่ตั้งโรงแรม เดินไปเดินมา เจอทะเล !! แต่ก็ยังไม่เจอโรงแรม

So I asked a Venetian who has passed by us. They said our map from google is wrong !!

เลยเดินไปตามถนนที่ชาวเวนิสแนะนำมา จริงๆที่ตั้งโรงแรม เดินจากสถานีรถไฟแค่แปบเดียวก็ถึงแล้ว

พอถึงโรงแรมก็ทำการเช็คอินเรียบร้อย





ห้องน้ำ มีอ่างอาบน้ำด้วย





กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสมาเหยียบที่นี่จริงๆ Thanks my mother for all (financial) support,from the bottom of my heart





ชมวิวนอกหน้าต่าง นอกห้องมีแผงลอยขายของมากมาย หน้าโรงแรมเราก็เป็นร้านขายผักและผลไม้





ก็เดินออกมาหาอาหารกลางวันกิน

ระหว่างทาง วิวทิวทัศน์ช่างงดงาม







มีร้านนึงเมนูหน้าร้านน่าสนใจ เลยเดินเข้าไปกิน

เจ้าของร้านอัธยาศัยดีมาก ก็เข้ามาคุยๆ เค้าบอกว่าร้านเค้าเป็นร้าน Family Run ตัวเจ้าของร้านเป็นชาว Venice โดยแท้แต่กำเนิด (ไม่มีรูปเจ้าของร้านนะ)







รออาหารอย่างใจจดใจจ่อ





ในที่สุดอาหารก็มาแล้ว รายการอาหารวันนี้

ลาซานญ่า ทุกคนกินด้วยกัน





สปาเก็ตตี้เส้นดำของนิก ลองชิมแล้วอร่อยมาก





สปาเก็ตตี้กุ้งตัวโตของเราเอง





สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าของจั้ม





สุดท้ายปิดเกมด้วยของหวานคือ Tiramisu





หลังจากท้องอิ่มก็เดินเที่ยวต่อ วันนี้มีเอ๋กับป้อเป็น guide นำทางให้ และมีแขกรับเชิญคือรอยเท้าไดโนเสาร์





แผนที่เมืองเวนิส





เดินตามรอยเท้าไดโนเสาร์ไปเรื่อยๆ







ร้านขายหน้ากากเต็มเลย เป็นหน้ากากสำหรับงาน Carnival ของเมือง Venice





งาน Carnival จะเริ่ม 40 วันก่อนวันอีสเตอร์ ถึงวันที่เท่าไหร่จำไม่ได้ หน้ากากเป็นส่วนนึงของเครื่องแต่งกายสำหรับงานนี้

เรือกอนโดล่า







เดินไปเรื่อยๆ เท้าไดโนเสาร์กับคำว่า Per Rialto ชี้ไปคนละทางกัน เรากับจั้มเชื่อป้าย แต่ป้อบอกว่า "กุเชื่อไดโนเสาร์ว่ะ ถ้าไดโนเสาร์ถูก มึงจะกราบตีนไดโนเสาร์มั๊ย ไอ้ here" (พูดสำเนียงฮาๆแบบผู้ชายคุยกันนะ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันซีเรียส)

แต่เสียงส่วนใหญ่เชื่อป้ายบอกทางกัน

สรุป เดินไปเรื่อยๆถึงสะพาน Rialto จนได้ แวะถ่ายรูปตามอัธยาศัย

Vaporetti (Water Bus) ขนส่งมวลชนหลักของเมือง Venice





แถวนี้คนเยอะมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเอเชียเหมือนเดิม แต่ไม่เจอคนไทยเลย

เจอสาวญี่ปุ่นมากมาย รู้ได้ไงว่าเป็นสาวญี่ปุ่น เห็นชูสองนิ้วถ่ายรูปกันมากมาย น่ารักดีนะ แต่ภาษาญี่ปุ่นลืมหมดแล้วอะ ไม่ได้พูดมาเป็นปี อยากเข้าไปคุยด้วยจังเลย 55+

เดินดูของไปเรื่อยๆ เราซื้อหน้ากากมาด้วย เป็นหน้ากากรูปแมว

รู้สึกย้อนยุคไปเมื่อปี ค.ศ.726 บ้านเรือนชาวเวนิชก็ยังเหมือนเดิม ผู้คนยังคึกคักไปด้วยพ่อค้าเหมือนเดิม มีแค่คนที่การแต่งตัวเปลี่ยนไปเหมือนยุคสมัยปัจจุบัน

เดินไปถึง St.Mark Square วันนี้โชคดีที่น้ำลง เลยเดินเล่นแถวนี้ได้ แวะท้ายรูปที่ St.Mark Basilica





Doge Palace





ไปเดินเล่นริมทะเล







หาห้องน้ำเข้า เข้า information center เพื่อหาที่หลบความหนาว มันหนาวมากจริงๆนะ

ออกมาที่ตู้โทรศัพท์ โทรศัพท์ไป Happy Birthday น้องสาว





เดินไปเรื่อยๆ

ร้าน Burberry แห่งเวนิส





Hall จัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องดนตรี





I open some time ใครมีอะไรติดต่อตามเบอร์ข้างล่างนะจ๊ะ





ท้องฟ้าเริ่มมืด





หึย Medusa





เอาขาตั้งกล้องมาลองถ่ายดีกว่า





ขอรูปรวมหนึ่งรูป







อาจจะมีพลังงานหรือวิญญาณอยู่ก็เป็นได้







หลังจากเดินเล่นเสร็จ แวะรับประทานสปาเก็ตตี้









ขายแพงจัง





กินเสร็จก็เดินเข้าโรงแรม

ว่างๆเขียน Postcard หาตัวเอง หมูหวาน น้องภา หวังว่า Postcard คงถึงประเทศไทยอย่างสวัสดิภาพ

เสร็จแล้วก็นอนพักผ่อน



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2556 21:46:36 น.
Counter : 2956 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Mickeytae
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



กุมภาพันธ์ 2555

 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29