Day 7 : ไอ้ขี้เมาในบรัสเซลล์ (อีกแล้วเหรอ) (Brussels)
Day 7 (25 March 2009)

ไอ้ขี้เมาในบรัสเซลล์ (อีกแล้วเหรอ)

Brussels, Belgium


* เป็นเรื่องส่วนตัวปะปนมามาก ฉบับสาระจะรีวิวไว้อีกทีในห้อง blueplanet
** อาจมีภาพ เสียง และเนื้อหาไม่เหมาะสมด้านพฤติกรรม ผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีควรได้รับคำแนะนำ
*** จากกรณีที่ภาพหาย ก็เลยเปลี่ยนเป็นลิ้งค์มาจาก multiply แทน ไม่มีจำักัดอีกแล้ว

ศัพท์ที่ควรทราบ

Hauptbahnhof(Hbf) = สถานีหลักของเมือง เปรียบเทียบได้กับหัวลำโพงบ้านเรา
S-Bahn (Stadtschnellbahn) = รถไฟฟ้าบนดิน แต่บางครั้งก็มุดลงใต้ดินบ้าง ตามแต่ภูมิประเทศจะเอื้ออำนวย
U-Bahn (Untergrundbahn) = รถไฟฟ้าใต้ดิน จำง่ายๆ U ย่อมาจาก Underground
Tram = รถราง
RB = Regional-Bahn เป็นรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองใกล้ๆ
RE = Regional-Express เป็นรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองใกล้ๆ จอดสถานีน้อยกว่า RB
IC = InterCity คือรถไฟที่วิ่งระหว่างเมือง ความเร็วจะอยู่ประมาณ 200 km/h
ICE = InterCity-Express คือรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองความเร็วสูง ความเร็วจะสูงกว่า IC ถ้าเส้นจาก Mannheim ไป Cologne เค้าว่าทำความเร็วสูงสุดถึง 300 km/h เลยทีเดียว
WC (ย่อมาจาก Water Closet) = ห้องน้ำ
Fahrkarten = ตู้ขายตั๋วของ DB ใช้กดดูเที่ยวรถไฟก็ได้ บางทีอาจเรียกว่าตู้กดดูเที่ยวรถไฟ
Flughafen = สนามบิน
พี่ปื๊ด = คนดำ (เรียกนิโกรเป็นการเหยียดสีผิวเกินไป อีกทั้งขืนหลุดปากคำว่านิโกรออกมาตอนอยู่ใกล้ๆพวกคนดำ คงโดนตื้บแน่)
เอาตั๋วไปแต๊ก = เอาตั๋วไป validate ที่เครื่อง entwerten





ตื่นมาฝนตกแต่เช้าเลย เมื่อวานเหนื่อยวันนี้เลยตื่นสาย เลยออกจากที่พักสายหน่อย ไปขึ้นรถไฟที่สถานี Bruxelles-Central (French) หรือ Brussel-Centraal (Dutch)





พอถึงแล้วก็หาทางไปสถานี Metro(รถไฟใต้ดิน) ซึ่งสถานี Metro จะใช้ชื่ออีกชื่อนึงคือ Gare Centrale (French) - Centraal Station (Dutch) แต่อยู่ใกล้ๆกัน

พอเจอสถานี Metro แล้วก็ซื้อตั๋ววันแบบกลุ่ม ตั๋ววันของ Brussels จะต้องแต๊กทุกครั้งก่อนขึ้นรถไฟ ไม่เหมือนของเยอรมันที่แต๊กครั้งเดียวก็ใช้ได้ตลอดวัน





กด Waffle จากตู้ กินเสร็จก็ศึกษาแผนที่รถไฟ ศึกษาตั้งนานก็งง มารู้ทีหลังว่าแผนที่ในมือมันไม่ตรงกับที่สถานี

พอรู้แล้วว่าจะไปทางไหนก็หาทางลงไปชานชาลา แล้วก็ขึ้นรถไฟ รถไฟที่นี่หัวจักรดูเท่ดี แต่ตัวโบกี้ดูเก่า โทรมมาก สถานีก็โทรมๆ ขนาดเป็นเมืองหลวงนะเนี่ย ถ้าเทียบกับเยอรมันนี่เยอรมันชนะขาด สถานีดูเก่าๆเหลืองๆมาก ไฟที่มันควรจะเป็นสีขาว แต่มันก็ไม่ขาวซะทีเดียว ออกเหลืองๆแบบเก่าๆ

สู้สถานี BTS กับ MRT ไม่ได้จริงๆ ดีกว่าไทยอย่างเดียวคือเส้นทางครอบคลุมทั้งเมือง

พอขึ้นรถไฟก็ไปสถานี Beekkant แล้วต่อรถไปสถานี Heysel


1. Atomium

เจอ Atomium แล้ว มีทางที่เป็นไปได้สองทาง คือซ้ายหรือขวา ยึดหลัก ขวาร้าย ซ้ายดี เดินไปทางซ้าย และปรากฎว่าผิดทาง เลยกลับไปทางขวา ก็ถูกทางเจอ Atomium จนได้ พอถึง Atomium ก็ซื้อตั๋ว และก็มีส่วนลดบัตรนักเรียนอีกเช่นเคย





ที่ Atomium นอกจากรูปทรงแปลกประหลาดแล้ว ข้างในยังอลังการมาก มีแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ Global Warming และก็มีความรู้เกี่ยวกับขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ เบลเยียมเป็นชาติแรกที่ไปตั้งสถานีวิจัยที่ขั้วโลกใต้





ขึ้นไปถึงยอดด้วย มีลิฟต์ที่ตึกนี้ทำความเร็วสุดในยุโรป (18 km/h) แต่เทียบกับลิฟต์ อปร. หรือลิฟต์เซนทรัลชิดลมไม่ติด

ข้างบนก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ ดูวิวเล่นๆ แล้วก็ลงมา กลับมาที่สถานี Leysel





แล้วก็กลับมา Bruxelles-Central เห็นคนอื่นกินวาฟเฟิลกันเราก็กินบ้าง





กลับมาที่ Grand Place (กรองพลาซ) เดินหาของกินแถวนี้ เลยเข้าร้านซักร้าน เป็นเฟรนช์ฟรายกับพวกเนื้อสัตว์

สั่งเบียร์ Leffe มาด้วย ตอนสั่งไปพูดว่า เลฟเฟ่ เจอเจ้าของร้านทวนมาว่า เล็ฟ? จึงได้รู้ว่าตัวเองออกเสียงผิด (สรุปคือ Leffe อ่านว่า เล็ฟ)

อาหารในเมนูเขียนว่า carbonnades à la flamande ตอนนั้นไม่รู้แปลว่าไร แต่กลับมาหาในกูเกิ้ล มันคือ Beef and Onions Braised in Beer

หน้าตาของอาหารก็ในรูปนี้เลย





อันนี้คือบรรยากาศในโต๊ะอาหาร





นี่เบียร์ Leffe รสชาติของเบียร์เบลเยียมจะต่างจากเยอรมัน เบียร์เบลเยียมจะหวานแต่กลืนไปแล้วรู้สึกขมๆในคอ ก็อร่อยไปอีกแบบ





เนื่องจากเมื่อเช้าไม่ได้กินอาหาร เลยซัดไปหนักเลย 16 ยูโร ทำลายสถิติของราคาอาหารที่เคยกินในทริปนี้เลย

กินเสร็จแล้วก็คิดกันว่าจะไปไหนกันต่อดี ไปเดินเล่นใน Grand Place ก่อนละกัน

อันนี้ Grand Place ตอนบ่ายๆ






2. Museum of Cocoa and Chocolate (French: Musee du Cacao et du Chocolat)

มีบิสกิตเคลือบช็อกโกแล็ตสดๆจากเครื่องทำช็อกโกแล็ตให้กินฟรี มีสาธิตทำช็อกโกแล็ตแบบใส่ไส้ (Truffle) คุณลุงที่ทำใจดีมาก เอาช็อกโกแล็ตให้กินฟรีด้วย





อันนี้เป็นโมเดลที่ทำจากน้ำตาลทั้งอันเลย





พอดูเสร็จก็ออกจะไปดู Brewery Museum ต่อ

ดูใน lonely planet บอกว่าอย่าไปเลยดีกว่า แต่ก็ไม่เชื่อ ลองเดินเข้าไปดู เจอคนเฝ้าประตูแล้ว หน้าตาหาเรื่องดี น่ากลัว ไม่หรอก ใกล้ปิดแล้วด้วย เลยหาที่อื่นไปดีกว่า


3. Manneken Pis

Manneken Pis คือรูปปั้นเด็กยืนฉี่ เป็น Landmark ประจำ Brussels
เป็น The must สำหรับเมืองนี้เลยล่ะ ถ้ามาไม่ถึงรูปปั้นเด็กฉี่ถือว่ามาไม่ถึง Brussels

ระหว่างทางเดินไป Manneken Pis ก็ซื้อของฝากไปด้วย เดินเล่นสบายๆ มีช็อกโกแล็ตมากมาย เจอคนไทยด้วย เลยแวะคุยกัน ระหว่างทางเจอคนทำตัวนิ่งๆเหมือน Van Gogh เหมือนเคยได้ยินคนพูดๆกัน แสดงว่ามันดัง(จริงป่าววะ?) แต่ก็สนใจ และก็เข้าไปถามว่าเท่าไหร่ ปรากฎว่าสองยูโร เลยถอยมาตั้งหลักก่อน

แต่ในที่สุดก็ เอาวะ ขอซะหน่อย สีสันของ Grand Place สินะ เข้าไปจ่ายตังให้คุณหุ่นนิ่งสองยูโร แล้วก็ขอถ่ายรูปด้วย





แล้วก็เดินต่อไป ในที่สุดก็มาถึง Manneken Pis ก็ถ่ายรูป ทำท่ายืนฉี่เหมือนรูปปั้นด้วย เกรียนกันทุกคนเลย





ผ่านแถวนั้นแวะซื้อ Godiva ด้วย เห็นว่าเจ๋งดี เหมือนเคยเห็นในพันทิปด้วยล่ะ





เสร็จแล้วก็เอาพวกของฝากมาเก็บที่ที่พัก ที่พักอยู่ใน Grand Place นี่แหล่ะ อยากเข้าๆออกๆเมื่อไหร่ก็ได้ เจอพนักงานเฝ้า hostel เมื่อวาน เค้าก็แซวด้วยว่าของที่ซื้อมาซื้อมาให้เค้าเหรอ เราก็หัวเราะ แล้วเค้าก็บอกล้อเล่น


4. Grand Place

ออกมาเดินเล่นที่ Grand Place ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ อันนี้ Grand Place ยามค่ำคืน





ลองเปิด Night Mode ดู สีดูสวยกว่า แต่มือไม่ค่อยนิ่ง ภาพเลยมัวๆ





ระหว่างรอนิกกับจั้มไปถ่ายรูปที่ไหนไม่รู้ มีสาว Kazakhstan มาคุยกับป้อด้วย ให้ป้อถ่ายรูปให้ และก็ถามป้อว่าชื่อไร สงสัยชอบป้อแน่เลย 55+ สาวคนนั้นหน้าตาเหมือนคนจีนเลย พอป้อถ่ายรูปให้เสร็จก็จากกัน และก็ส่งยิ้มให้พวกเราคนอื่นๆด้วย ฮ่าฮ่า

เสร็จจากตรงนี้ก็เดินต่อหา Jeanneke Pis แต่หาไม่เจอ กลับมาเปิด Google Map และก็เปิด Hi5 ด้วย หมูหวานฝากซื้อแม็กเน็ทอันนึง ก็ออกไปซื้อให้ แล้วไปตามหา Jeanneke Pis ต่อ แต่ก็ไม่เจออีก เลยช่างแม่ง ระหว่างทางเจอคนเล่นดนตรีเปิดหมวก มีกีตาร์คลาสสิค แซ็กโซโฟน และก็ Accordion





เล่นเป็นแนวแจ๊สด้วย เทพโคตร ขอชมจากใจจริงในฐานะคนเล่นดนตรีคนหนึ่ง เหนือชั้นกว่านักดนตรีเปิดหมวกในไทยมากมาย แบบนี้สิสมควรได้เงิน เทพมากจนอดไม่ได้ที่จะให้ตัง เอาเหรียญเซนต์รวมๆใส่ให้ไป แล้วก็ขอเขาถ่ายรูปด้วย คนเป่าแซ็กเขาเอามือมากอดคือเราด้วย แล้วทั้งวงก็มองมาที่กล้อง ทั้งๆที่ยังเล่นดนตรีอยู่ สุดยอด

เดินๆไปเจอผู้ชายสองคนท่าทางเหมือนเมาเหล้า แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ตั้งชื่อตอนว่าไอ้ขี้เมาในบรัสเซลล์หรอก ผู้ชายสองคนนั้นเข้ามาคุยกับนิก แต่นิกไม่คุยด้วย แล้วมันก็คุยกับพวกเรา ก็แนะนำตัวว่ามาจากประเทศอะไรกัน มันบอกมันมาจาก Algeria เอ๋ก็บอก I know your country แล้วมันก็เดินตามมา เลยเข้าไปหลบร้านโชห่วย เจ้าของร้านเป็นแขกมาจากซาอุดิอาระเบีย ถามอีกแล้วว่ามาจาก Korea or Japan

ไหนๆก็เข้ามินิมาร์ทมาแล้วก็ซื้อเบียร์ Jupiler(อ่านว่า จูปิแลร์) มา 8 กระป๋อง (กินกัน 5 คนนะ) นี่ต่างหาก สาเหตุที่ตั้งชื่อตอนว่า ไอ้ขี้เมาในบรัสเซลล์ เพราะไอ้ขี้เมามันอยู่ใกล้ๆตัวนี่เอง พวกมึงน่ะแหล่ะ(รวมทั้งกุด้วย อีกแล้ว T-T) ซื้อเบียร์เสร็จแล้วออกมาเดินๆต่อไปเจอมินิมาร์ทที่เป็นคาร์ฟูร์ด้วย ปรากฎว่าราคาถูกกว่าร้านโชห่วยอีก

(ลืมถ่ายรูปเบียร์ Jupiler มาอะ ไว้จะลองถามเพื่อนคนอื่นดูว่ามีรูปมั๊ย)

ได้เบียร์แล้วก็กลับมาเล่นไพ่โดเรมอนกัน มันคือเกมส์กินเหล้าดีๆนีเอง แต่นี่ไม่มีเหล้าเลยใช้เบียร์ Jupiler แทน

กติกามีอยู่ว่า

ระหว่างเล่นเกม ห้ามชี้ ถ้าจะชี้ให้กำมือเหมือนโดเรมอน ใครเผลอใช้นิ้วชี้ก็จะต้องซด

เปิดไพ่ไปเรื่อยๆ แต่ละแต้มก็จะมีความหมายดังนี้

A สั่งให้ใครก็ได้กิน 1 ครั้ง

2 สั่งให้ใครก็ได้กิน 2 ครั้ง (ไม่จำเป็นต้องคนเดียวสองครั้งนะ อาจจะสองคน คนละครั้งก็ได้)

3 สั่งให้ใครก็ได้กิน 3 ครั้ง (เหมือนกันไม่จำเป็นต้องคนเดียวกินสามครั้ง อาจจะคนนึงสองครั้ง อีกคนครั้งนึงก็ได้)

4 สั่งให้ใครก็ได้กิน 4 ครั้ง

5 สั่งให้ใครก็ได้กิน 5 ครั้ง

เวลาจับได้ A,2,3,4,5 คนสั่งก็จะต้องสั่งใช่ปะว่าให้ใครกินบ้าง บางทีเผลอ เวลาสั่งเพื่อนให้กิน ดันชี้นิ้วสั่ง คนสั่งเลยโดนกินด้วย

6 ตั้งหมวดอะไรก็ได้ อย่างเช่น ยี่ห้อรถ ก็บอกชื่อยี่ห้อรถ รอบวงไปเรื่อยๆ เช่นโตโยต้า ฮอนด้า เบนซ์ ไรแบบนี้ ใครตอบไม่ได้หรือตอบช้าก็ ซด

7 ไม่มีอะไร

8 ได้รับอนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำ หรือถ้าไม่ปวดจะให้คนอื่นไปเข้าแทนก็ได้

9 คนขวามือซดหนึ่งครั้ง

10 คนซ้ายมือซดหนึ่งครั้ง

J ทุกคนในวงเอามือมาปิดปาก คนที่ไปเข้าห้องน้ำอยู่ก็ไม่เว้น ใครเอามือมาปิดปากคนสุดท้ายก็โดนซด (ส่วนใหญ่จะจับได้ใบนี้ตอนมีคนไปเข้าห้องน้ำพอดี และไอ้คนที่เข้าห้องน้ำก็จะไม่รู้ว่ามีคนจับได้ J เลยไม่ได้เอามือปิดปาก เลยโดนซดไปโดยปริยาย)

Q คือ Silence หมายถึงคนที่จับได้ Q จะห้ามพูด และคนอื่นห้ามพูดกับคนที่จับได้ไพ่ Q ด้วย ใครเผลอไปคุยกับ Silence ก็จะกลายเป็น Silence แทน

K คิงในสำรับจะมีสี่ใบใช่ปะ จับได้คิงใบแรกก็กำหนดขึ้นมาว่าให้ทำอะไร คนที่จับได้คิงใบที่สองก็บอกว่าไอ้สิ่งที่กำหนดขึ้นมาตอนแรกน่ะทำที่ไหน คิงใบที่สามก็กำหนดว่าทำเมื่อไหร่ ส่วนใครจับได้ K ใบสุดท้าย ก็คือผู้โชคดีที่จะต้องทำตามสิ่งที่กำหนดมาข้างต้น

ตาแรกเราโดน โดนสั่งให้กระโดดตบ 20 ครั้งในห้องนี้ หลังจบเกม แต่ตาต่อไปนี่สิ มีตอนจับได้ K ดันกำหนดว่า ให้ไปทำความรู้จักสาวเอเชีย สถานที่คือในเบลเยียม เวลาที่ทำก็คือพรุ่งนี้

แล้วคนที่จับได้คิงใบสุดท้ายคือ กุเอง งานเข้าแล้วล่ะสิ (จริงๆในใจก็แอบลุ้นนะว่าอยากจับได้คิง ถ้าคนที่จับได้ไม่ใช่เราคงเสร็จจั้มแน่นอน)

หลังจากที่ป้อเมาจนหลับไปแล้ว เราก็กลับมาที่ห้องมาอาบน้ำ แล้วก็นอน



สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้

Group Day Ticket 2.00 ยูโร (10.00 ยูโรหารกันห้าคน)
Waffle จากตู้หยอดเหรียญ 1.20 ยูโร
ตั๋วเข้า Atomium 6.00 ยูโร (ได้รับส่วนลดบัตรนักเรียน)
ไอติมที่ Atomium 1.50 ยูโร
Waffle ในสถานีรถไฟ 1.60 ยูโร
อาหารกลางวัน+เบียร์ Leffe 16.00 ยูโร
ค่าเข้า Museum of Cocoa and Chocolate 4.00 ยูโร
ค่าถ่ายรูปกับหุ่น Van Gogh 2.00 ยูโร
เบียร์ Jupiler 2.40 ยูโร (จริงๆกระป๋องละ 1.50 ยูโร แปดกระป๋องหารกัน 5 คน)

รวม 36.70 ยูโร



ของฝาก

ช็อกโกแล็ต Godiva และอื่นๆ 30.00 ยูโร
โมเดล Manneken Pis 21.90 ยูโร
Magnet บรัสเซลล์ 6.00 ยูโร


Next : Day 8 : สัมผัสโลหิตพระเยซู

Prev : Day 6 : บันไดวน 509 ชั้น



Create Date : 14 เมษายน 2552
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2556 10:19:27 น.
Counter : 3386 Pageviews.

1 comments
  
ไพ่โดเรมอนเหรอ
น่าหนุกแฮะ


แล้วได้ไปทำความรู้จักสาวเอเชียรึยัง

55+
โดย: TatabeaM IP: 61.90.235.211 วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:13:32:23 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mickeytae
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



เมษายน 2552

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30