ใต้ดาวมีประภาคาร ใต้ประภาคารมีดาว








1

ผมกับลิงตัวหนึ่งสะกดจิตกันอยู่เกือบสิบนาที
มันยืนขวางหน้าขณะที่ผมกำลังจะขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่ายืมมาจากร้านขับวนรอบเกาะช้าง
มันยืนสองขาแล้วทำท่าโบกมือให้วุ่นเหมือนมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งกำลังโบกเรียกแท็กซี่
ตอนแรกผมทำท่าจะขับเลยไป แต่มันเปลี่ยนจากการโบกไม้โบกมือวิ่งมาขวางหน้ารถ
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามสะกดจิตของคนกับลิง

"ขอไปด้วยซิ" สายตามันบอกแทนคำพูดแบบนั้น
ฉับพลันมันก็เดินมาข้าง ๆ รถมอเตอร์ไซค์แล้วกระโดดขึ้นซ้อนหลัง
ผมนั่งงงสุด ๆ หันไปมองมันที่จ้องมองกลับมาเป็นเชิงสงสัย
ว่าเมื่อไหร่ ผมจะออกรถเสียที

"ไปเถอะ ไปส่งมันหน่อย บ้านมันอยู่ทางไปรีสอร์ทป้าจิมน่ะ"
คุณลุงร้านปะยางตะโกนบอกผม รู้สึกว่ารีสอร์ทนี้จะคุ้นหูดีเหมือนกัน
ไม่น่าจะแค่คุ้นหู แต่คุ้นตาเพราะรีสอร์ทที่ผมมาพักเป็นประจำอยู่ใกล้ ๆ
ตอนที่บิดมอเตอร์ไซค์แว้นออกมา
ความรู้สึกที่มีลิงซ้อนท้ายมันแปลกใหม่จนบอกไม่ถูก
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นลิง แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยถูกตัวลิงมาก่อน

ตลกดีที่พอเลี้ยวจากถนนลาดปูนออกมาทางเกาะช้างใต้
เจ้าลิงที่ซ้อนท้ายมาก็กระตุกเสื้อข้างหลัง ผมเลยเบรคแล้วหันไปดู
มันจ้องมองหน้าผม ขณะที่ผมเผลอถามมันออกไปเป็นภาษามนุษย์ว่า ฉุดเสื้อผมไว้ทำไม
มันไม่ได้ให้คำตอบ หรือถ้าให้คำตอบได้จริง ๆ ผมคงทิ้งมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งหนีไปแล้ว
มันชี้มือชี้ไม้แล้วปรบมือ ป้าบ! ใหญ่
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่มันกำลังจะสื่อ
ผมเตะขาตั้งขึ้นแล้วบิดต่อไป ไม่เกินร้อยเมตร มันก็ดึงเสื้อผมอีกครั้ง
ส่งให้ผมต้องเตะขาตั้งลงแล้วหันมามองมันอีก
มันกระโดดลงจากรถแล้วชี้มือชี้ไม้ก่อนจะตบมืออีกป้าบใหญ่

"อะไร ?" ผมถามมันอย่างฉงนแล้วก้าวลงจากรถ
มันเดินมากระตุกกางเกงแล้วลากผมให้เดินตามมันไป
ตอนที่ขืนแรงมันตีขาผมราวกับเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจ ผมเลยจำต้องจ้ำตาม
พอเห็นว่าผมเดินตามมันก็เดินอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้ว่าปลายทางมันคือที่ไหน
พื้นดินลูกรังสีแดงตลบเพราะแรงลมจนเกือบลืมตาไม่ได้
สองข้างทางเป็นป่ารกชัฏที่ร่มรื่นและชื้นแฉะ

ไม่นานเราก็เดินมาจนถึงทางแยกซ้ายขวา
เห็นลิงสามสี่ตัวปีนกิ่งก้านไม้อยู่ในแนวป่าแล้วนึกแปลกใจ
มันส่งเสียงร้องทักอดนึกถึงหนัง พิภพวานร ไม่ได้
นี่ผมคงไม่ได้กลายเป็นเชลยของลิงพวกนี้หรอกนะ
ว่าแต่ลิงมันฉลาดขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมมันถึงโบกรถกลับมาบ้านได้แบบนี้

ชั่วขณะที่ยังงง ๆ อยู่ ลูกชมพู่สีเขียวก็พุ่งจากป่ากระแทกใส่หัวผม
มันเจ็บเสียจนต้องเอามือมากุมไว้ สักพักกล้วยดิบสีเขียวก็พุ่งตามมากระแทกใส่
ผมยกมือขึ้นกุมอีกรอบอย่างงุนงง
ลิงตัวที่มาส่งผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ ผมมองผู้โดยสารตัวเองอย่างนึกกริ้ว
หรือนี่คือค่าโดยสารที่เพื่อน ๆ ลิงของมันหยิบยื่นให้ผมกันแน่

ชั่วขณะที่กลัวว่าอะไรจะแหวกผืนป่ามากระแทกหน้าตัวเองอีก
ลิงตัวนั้นก็หันมาโบกมือให้ผม ส่งยิ้มแยกเขี้ยวแล้ววิ่งเข้าป่าไป
ผมเดินกลับมาที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดทิ้งไว้อย่างงุนงง
ราวกับทุกอย่างอยู่ในห้วงความฝัน....นี่ผมพบประสบการณ์พิลึกพิลั่นอะไรวะเนี่ย


2


กลับมาที่รีสอร์ทด้วยอารมณ์สับสน
บอกเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอลิงโบกรถนั่งมาด้วยกับน้องสาวทั้งสองคนอย่างลำบากใจ
คนหนึ่งเชื่อสนิท ส่วนอีกคนหนึ่งบอกว่าผมน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่างทางสมอง
เดือนร้อนให้ตัวเองต้องขี่รถอัดสามไปถามช่างปะยางกับตัว
เพื่อให้เชื่อว่าที่ผมเล่าเป็นความจริง
เลยมารู้ว่าถ้าหากเวลาเย็นแล้วมีนักท่องเที่ยวขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา
หรือว่ารถสองแถวหวานเย็นโฉบผ่าน
เป็นที่รู้กันของคนแถวนั้นว่าจะต้องแวะรับลิงตัวนี้ไปด้วย

มันจะเข้ามาในตัวเมืองทุกครั้งเพื่อทำงาน
ผมฟังแล้วนึกแปลกใจ...ลิงตัวนั้นทำงานเป็นลิงโชว์ที่ให้นักท่องเที่ยวซื้อกล้วยเป็นรางวัลให้
เจ้าของลิงเลี้ยงมันไว้หลายตัวแล้วปล่อยทิ้งไว้ในป่าตามธรรมชาติ
แต่ไม่ได้ละเลย นำเงินแบ่งกับลิงมาซื้อของซื้อผลไม้ให้มันกินตลอด
ทำอยู่หลายปีดีดักจนสามารถปลูกผลไม้ในที่ของตัวเองได้
ผลไม้ที่ผมได้รับก็คือค่าโดยสารที่ลิงพวกนั้นเด็ดจากต้นในสวนของลุงแก
แต่เพราะว่าลุงแกซื้อบ้านเอาไว้ในเมืองและที่ ๆ ซื้อปลูกผลไม้อยู่ในป่าที่ผมไปส่งมัน
เลยต้องพึ่งพาคนแถวนั้นให้คอยโดยสารมันไปส่งให้ถึงบ้าน
ฟังแล้วก็แปลกดี ไม่คิดว่าจะมีเรื่องพรรค์นี้เข้ามาในชีวิตได้

ผมสัญญากับตัวเองว่าทุก ๆ 1 ปี จะต้องแวะเวียนมาที่เกาะช้าง
เพื่อจับจองพื้นที่ในการดูดาวเป็นของตัวเอง
รีสอร์ททางเขต เกาะช้างใต้ เลยเป็นที่พักเจ้าประจำซึ่งใช้บริการมาร่วม 3 ปีแล้ว
จับกล้องดูดาวโยนใส่เรือแคนูของรีสอร์ท จำได้ว่าในตอนแรกพายไม่เป็น
ทั้งผมและน้องสาวพายกันจนหมดแรงก็ยังไม่ขยับ
หมุน ๆ อยู่กับที่หลายรอบจนพากันเมาเรืออ๊วกลงทะเลเป็นอาหารปลากันเป็นทิวแถว
ไม่คิดว่าการพายเรือมันจะยากเย็นขนาดนี้
เดือดร้อนคนที่รีสอร์ทลงมาช่วยสอนพายให้จนชำนิชำนาญ

ผมจะพายเรือจากรีสอร์ทไปที่ประภาคารฝั่งตลาดชุมชนเป็นประจำ
เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ดูดาวที่สวยจนอยากมาซ้ำมากกว่าหนึ่งปีต่อครั้ง







3


"มาแล้วเหรอ" เธอทักผมเสียงเรียบ
ผมปีนขึ้นจากเรือแล้วขึ้นบันไดเทียบท่ามาหยุดยืนข้างเธอ
หญิงสาวสวมกระโปรงพีชยาวลายยิปซี สวมเสื้อยืดสีดำ
ผมยาวของเธอแซมสีแดงเล็กน้อย ดูแล้วน่าจะเป็นการแต่งตัวสไตล์ปาล์มมี่
จำได้ว่าเธอเคยบอกว่ารองเท้าที่เธอสวมใส่มีคู่เดียวในโลก
เพราะว่าเธอทำมันเอง กระโปรงที่ใส่เองก็เย็บถักเองกับมือ

วันแรกที่ผมเจอเธอ เป็นวันที่ผมพึ่งพายเรือแคนูเป็น
และตั้งเป้าหมายพายเรือมาดูดาวใกล้ ๆ ประภาคาร
ผมเจอกับเธอคนนี้ที่มีกล้องดูดาวราคาเหยียบสามหมื่น
ส่งผลให้กล้องดูดาวราคาไม่ถึงหมื่นของผมดูกระจอกไปเลย

"โย่!" เธอทักผมเป็นประโยคแรก การทักทายของเธอฉีกคาแรกเตอร์ของเธออย่างสิ้นเชิง
เรียกว่าแต่งตัวสไตล์ปาล์มมี่แต่ทักทายแบบไทเทเนี่ยมเลยก็ว่าได้
"หวัดดี" ผมกล่าวทักทายตอบกลับไป ความสนใจพุ่งไปทางกล้องดูดาวของเธอ
มันเป็นกล้องที่มีลำกล้องใหญ่ พ่วงด้วยกล้องเล็กเป็นกระบอกข้าง
แถมยังมีเครื่องมือพ่วงเป็นสายกดชัตเตอร์ถ่ายรูปผ่านกล้องดูดาวได้อีกต่างหาก
ผมเผลอถามหญิงแปลกหน้าไปว่าซื้อจากไหน
เธอบอกว่าต้องบินไกลข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงอเมริกาเพื่อให้ได้มันมาเป็นของตัวเอง
นึกอยากได้บ้าง...แต่กลัวว่าแม่จะตบกบาลเพราะพึ่งถอยรถคันใหม่มาหมาดๆ

เธอนึกสนใจกล้องส่องทางไกลของผมเหมือนกัน
เราเลยผลัดกันดูแล้วสนทนาเรื่องดวงดาว
เธอบอกว่าสนใจมันเพราะตอนเรียนอยู่ญี่ปุ่นเธอดูดาวบ่อย
และวัยรุ่นญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับดวงดาวอยู่
บางครั้งนอกจากไปดูดอกไม้ เที่ยวชมวัด นั่งรถไฟ ก็ยังมีไปดูดาวกันด้วย
ชงชาอุ่น ๆ ท่ามกลางฟ้าโปร่ง ๆ ดูดาว ฟังแล้วก็เพลินดี



4



เรานั่งดูดาวกันตั้งแต่ 4 ทุ่มลากยาวไปจนถึงตีหนึ่ง
เธอหยิบเอากระบอกอลูมิเนียมใส่กาแฟมารินเทใส่ฝาแล้วแบ่งให้ผมดื่ม
เธอบอกว่าไม่ค่อยเห็นคนหิ้วกล้องดูดาวมานานแล้ว
แปลกดีที่ได้มาเจอกันที่นี่ ผมยิ้มรับแล้วรู้สึกไม่ต่างกัน
คืนนั้นจำได้ว่าผมเปิดเพลง "เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ" ฟังไปด้วย
ด้วยเพราะคิดว่ามันเข้ากับบรรยากาศการดูดาวดี
ดูเท่าไหร่ได้ฟังเท่านั้น ชอบที่เราเอาหัวใจของคนเราไปเปรียบกับดวงดาว

ดาวหนึ่งดวงที่เราเห็นมันอยู่ไกล ๆ มันสร้างและถ่วงสมดุลดาวอีกดวงอยู่
มนุษย์เราโคจรรอบ ๆ กันและกันโดยมีหัวใจเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง
มนุษย์กับดวงดาวเลยเหมือนกันตรงที่มันอาจจะรู้สึกว่าโดดเดี่ยวแต่มันไม่เคยโดดเดี่ยว
เหมือนคำพูดที่บอกว่า ยังไงเราก็ยังอยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน ดวงดาวก็ไม่ต่าง
จำได้ว่าเคยนั่งคุยกับลุง จิก ประภาส เจ้าของเพลงที่ร้าน Bookmoby
ชอบที่แกพูดถึง ดอกไม้ที่เด็ดแค่ดอกเดียวก็สะเทือนถึงหมู่ดาว
เหมือนเจ้าชายน้อยที่เปรียบเทียบดาวกับดอกไม้
ที่ถ้าหากดวงดาวเป็นดอกไม้แล้วการดึงดอกไม้คือการทำลายแสงสว่างของดวงดาว
เราก็จะไม่มีทางมองเห็นความงดงามของดาวดวงนั้น ๆ ได้อีกเลย
ชีวิตที่ถูกใครฉุดดึงประกายแห่ง "ความฝัน" ออกไปก็คงไม่ต่างกัน

"ช่วงที่มีเงินอยู่ก็ใช้ให้หมด" เธอบอกผม
"ทำไม ?"
"เก็บไว้ซื้อบ้านซื้อรถมันก็ดีนะ แต่ถ้าหากเราเอาไปซื้อประสบการณ์จะดีกว่า เรากลัวว่าถ้าวันนึงแก่ขึ้นมาจะไม่มีแรงเที่ยวเย้ว ๆ แบบนี้แล้วอ่ะดิ"
"อ่อ...."
"บ้าน รถ หาซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีแรงเที่ยวแบบหนุ่มสาว ก็ยังมีแรงทำงาน ถ้าเอาเวลาหนุ่มสาวที่ควรจะหาความสุขให้หัวใจตัวเองไปช่วยเหลือความฝันคนอื่น เราก็จะเผลอทิ้งความฝันตัวเองไป พอมานึกเสียใจก็ไม่มีแรงจะเที่ยวแล้ว"
อืม...ผมเห็นด้วย แม่บอกเสมอว่า ช่วงเวลาหนุ่มสาวที่ยังมีไฟ มีความฝัน ความหวัง
ยังสดใสอยู่ การได้ออกไปเจอโลกกว้างและได้เรียนรู้เรื่องราวในโลกสำคัญ
เป็นช่วงเวลาที่น่าจะทำให้เราได้รับความทรงจำดี ๆ อย่างเต็มที่
ไม่เหมือนแม่ที่พอแก่แล้วได้เที่ยว จะทำกิจกรรมหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ยากแล้ว



5



"ถ้าเราใช้ชีวิตโดยยึดเอาความจริง ความจริงมันก็จะพาเราไปเท่าที่ความจริงจะพาไปได้
แต่ถ้าเราใช้ชีวิตโดยมีความเชื่อ ความเชื่อจะพาเราไปได้ไกลกว่า" เธอบอก
คำคมนั้นเหมือนปักลงกลางใจผมชนิดที่ไม่ว่าจะถอนยังไงก็ถอนไม่ออก
"แล้วนายใช้ชีวิตด้วยความจริงหรือความเชื่อ ?"
"อ่า...." ผมนิ่งเงียบพักหนึ่ง
"เราเป็นคนค่อนข้างโลภน่ะ"
"ยังไง ?"
"เราใช้ชีวิตด้วยความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของความจริง"
"บ๊ะ!" เธอตบหลังผมฉาดใหญ่ สาบานได้ว่านี่เป็นการพบกันครั้งแรก
คุยกันได้พักใหญ่เธอก็ขอตัวกลับก่อน
ก่อนกลับ เธอมอบสมุดไม่มีเส้นหน้าตาประหลาดให้ผม

หน้าปกหนังสือเป็นสีเทาหม่น ๆ
มีลวดลายวาดมือและสันกาวที่เข้าเล่มด้วยการเย็บ
"มันมีเล่มเดียวในโลก" เธอบอก เพราะมันเป็นเล่มที่เธอทำขึ้นมาเอง
ผมเปิดดูอย่างนึกชื่นชม ด้วยเพราะว่าไม่เคยเห็นคนทำสมุดทำมือด้วยตัวเองมาก่อน

ตัดกลับมาที่เวลาปัจจุบันขณะ
ผมปีนลงเรือแคนูของรีสอร์ท 
โบกมือให้น้องสาวสองคนที่นั่งร้องเพลงดีดกีตาร์กันอยู่ตรงเฉลียง
ตอนที่มาถึงประภาคาร ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยภูเขา ระบายสีท้องฟ้าเป็นสีแดงตรึงตา

"โย่!" เธอทักผมเหมือนเมื่อสามปีก่อน
"หวัดดี" ผมทักเธอตอบกลับไป
"นี่มาทุก ๆ เดือนเลยจริง ๆ เหรอ ?" ผมถามเธอด้วยนึกประหลาดใจ
เธอยิ้มแล้วส่งอัลบั้มรูปในกระเป๋ามาให้ผมดู
รูปท้องฟ้าที่มีฉาก ๆ เดิมถูกถ่ายไว้เต็มไปหมด
แม้ว่าฉากจะเหมือนเดิม แต่ท้องฟ้าไม่เหมือนเดิมเลยสักวันเดียว
มีข้อความกำกับ เดือนที่ 1 ไปจนถึง เดือนที่ 12
ตั้งแต่ท้องฟ้าสีทองไปจนถึงอาทิศอัศดง
เธอเก็บภาพท้องฟ้าและดวงดาวที่นี่ทุกเดือนเพียงลำพังคนเดียว

ผมเคยถามชื่อของเธอแต่เธอไม่เคยบอก
ผมเคยถามว่าเธอมากับใคร แต่เธอไม่เคยบอกอะไรกับผม
เธอไม่เคยถามอะไรและไม่เคยตอบอะไร
เราเป็นดาวคนละดวงที่โคจรมาเจอกันที่ประภาคารแห่งนี้ทุก ๆ 1 ปี
ได้ทักทาย พูดคุย บอกเล่าเรื่องราวกัน
โดยที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาวดวงนี้ที่โคจรอยู่ข้าง ๆ ผมเลย

"หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง"
"ก็ยังใช้ชีวิตด้วยความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเหมือนเดิม"
"ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยเหรอ ?" เธอยักคิ้วถามขณะที่เรานั่งมองอาทิตย์คล้อยอยู่โพ้นทะเล
"คงเป็น...ความรักมั้ง"
"สาว ๆ ?"
"ดวงดาว"












Create Date : 23 ธันวาคม 2559
Last Update : 23 ธันวาคม 2559 12:42:08 น.
Counter : 828 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 3599246
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ธันวาคม 2559

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
25
26
27
28
29
30
31
 
  •  Bloggang.com