ใต้ดาวมีประภาคาร ใต้ประภาคารมีดาว ![]() ผมกับลิงตัวหนึ่งสะกดจิตกันอยู่เกือบสิบนาที มันยืนขวางหน้าขณะที่ผมกำลังจะขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่ายืมมาจากร้านขับวนรอบเกาะช้าง มันยืนสองขาแล้วทำท่าโบกมือให้วุ่นเหมือนมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งกำลังโบกเรียกแท็กซี่ ตอนแรกผมทำท่าจะขับเลยไป แต่มันเปลี่ยนจากการโบกไม้โบกมือวิ่งมาขวางหน้ารถ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามสะกดจิตของคนกับลิง "ขอไปด้วยซิ" สายตามันบอกแทนคำพูดแบบนั้น ฉับพลันมันก็เดินมาข้าง ๆ รถมอเตอร์ไซค์แล้วกระโดดขึ้นซ้อนหลัง ผมนั่งงงสุด ๆ หันไปมองมันที่จ้องมองกลับมาเป็นเชิงสงสัย ว่าเมื่อไหร่ ผมจะออกรถเสียที "ไปเถอะ ไปส่งมันหน่อย บ้านมันอยู่ทางไปรีสอร์ทป้าจิมน่ะ" คุณลุงร้านปะยางตะโกนบอกผม รู้สึกว่ารีสอร์ทนี้จะคุ้นหูดีเหมือนกัน ไม่น่าจะแค่คุ้นหู แต่คุ้นตาเพราะรีสอร์ทที่ผมมาพักเป็นประจำอยู่ใกล้ ๆ ตอนที่บิดมอเตอร์ไซค์แว้นออกมา ความรู้สึกที่มีลิงซ้อนท้ายมันแปลกใหม่จนบอกไม่ถูก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นลิง แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยถูกตัวลิงมาก่อน ตลกดีที่พอเลี้ยวจากถนนลาดปูนออกมาทางเกาะช้างใต้ เจ้าลิงที่ซ้อนท้ายมาก็กระตุกเสื้อข้างหลัง ผมเลยเบรคแล้วหันไปดู มันจ้องมองหน้าผม ขณะที่ผมเผลอถามมันออกไปเป็นภาษามนุษย์ว่า ฉุดเสื้อผมไว้ทำไม มันไม่ได้ให้คำตอบ หรือถ้าให้คำตอบได้จริง ๆ ผมคงทิ้งมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งหนีไปแล้ว มันชี้มือชี้ไม้แล้วปรบมือ ป้าบ! ใหญ่ ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่มันกำลังจะสื่อ ผมเตะขาตั้งขึ้นแล้วบิดต่อไป ไม่เกินร้อยเมตร มันก็ดึงเสื้อผมอีกครั้ง ส่งให้ผมต้องเตะขาตั้งลงแล้วหันมามองมันอีก มันกระโดดลงจากรถแล้วชี้มือชี้ไม้ก่อนจะตบมืออีกป้าบใหญ่ "อะไร ?" ผมถามมันอย่างฉงนแล้วก้าวลงจากรถ มันเดินมากระตุกกางเกงแล้วลากผมให้เดินตามมันไป ตอนที่ขืนแรงมันตีขาผมราวกับเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจ ผมเลยจำต้องจ้ำตาม พอเห็นว่าผมเดินตามมันก็เดินอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้ว่าปลายทางมันคือที่ไหน พื้นดินลูกรังสีแดงตลบเพราะแรงลมจนเกือบลืมตาไม่ได้ สองข้างทางเป็นป่ารกชัฏที่ร่มรื่นและชื้นแฉะ ไม่นานเราก็เดินมาจนถึงทางแยกซ้ายขวา เห็นลิงสามสี่ตัวปีนกิ่งก้านไม้อยู่ในแนวป่าแล้วนึกแปลกใจ มันส่งเสียงร้องทักอดนึกถึงหนัง พิภพวานร ไม่ได้ นี่ผมคงไม่ได้กลายเป็นเชลยของลิงพวกนี้หรอกนะ ว่าแต่ลิงมันฉลาดขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมมันถึงโบกรถกลับมาบ้านได้แบบนี้ ชั่วขณะที่ยังงง ๆ อยู่ ลูกชมพู่สีเขียวก็พุ่งจากป่ากระแทกใส่หัวผม มันเจ็บเสียจนต้องเอามือมากุมไว้ สักพักกล้วยดิบสีเขียวก็พุ่งตามมากระแทกใส่ ผมยกมือขึ้นกุมอีกรอบอย่างงุนงง ลิงตัวที่มาส่งผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ ผมมองผู้โดยสารตัวเองอย่างนึกกริ้ว หรือนี่คือค่าโดยสารที่เพื่อน ๆ ลิงของมันหยิบยื่นให้ผมกันแน่ ชั่วขณะที่กลัวว่าอะไรจะแหวกผืนป่ามากระแทกหน้าตัวเองอีก ลิงตัวนั้นก็หันมาโบกมือให้ผม ส่งยิ้มแยกเขี้ยวแล้ววิ่งเข้าป่าไป ผมเดินกลับมาที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดทิ้งไว้อย่างงุนงง ราวกับทุกอย่างอยู่ในห้วงความฝัน....นี่ผมพบประสบการณ์พิลึกพิลั่นอะไรวะเนี่ย 2 กลับมาที่รีสอร์ทด้วยอารมณ์สับสน บอกเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอลิงโบกรถนั่งมาด้วยกับน้องสาวทั้งสองคนอย่างลำบากใจ คนหนึ่งเชื่อสนิท ส่วนอีกคนหนึ่งบอกว่าผมน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่างทางสมอง เดือนร้อนให้ตัวเองต้องขี่รถอัดสามไปถามช่างปะยางกับตัว เพื่อให้เชื่อว่าที่ผมเล่าเป็นความจริง เลยมารู้ว่าถ้าหากเวลาเย็นแล้วมีนักท่องเที่ยวขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา หรือว่ารถสองแถวหวานเย็นโฉบผ่าน เป็นที่รู้กันของคนแถวนั้นว่าจะต้องแวะรับลิงตัวนี้ไปด้วย มันจะเข้ามาในตัวเมืองทุกครั้งเพื่อทำงาน ผมฟังแล้วนึกแปลกใจ...ลิงตัวนั้นทำงานเป็นลิงโชว์ที่ให้นักท่องเที่ยวซื้อกล้วยเป็นรางวัลให้ เจ้าของลิงเลี้ยงมันไว้หลายตัวแล้วปล่อยทิ้งไว้ในป่าตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้ละเลย นำเงินแบ่งกับลิงมาซื้อของซื้อผลไม้ให้มันกินตลอด ทำอยู่หลายปีดีดักจนสามารถปลูกผลไม้ในที่ของตัวเองได้ ผลไม้ที่ผมได้รับก็คือค่าโดยสารที่ลิงพวกนั้นเด็ดจากต้นในสวนของลุงแก แต่เพราะว่าลุงแกซื้อบ้านเอาไว้ในเมืองและที่ ๆ ซื้อปลูกผลไม้อยู่ในป่าที่ผมไปส่งมัน เลยต้องพึ่งพาคนแถวนั้นให้คอยโดยสารมันไปส่งให้ถึงบ้าน ฟังแล้วก็แปลกดี ไม่คิดว่าจะมีเรื่องพรรค์นี้เข้ามาในชีวิตได้ ผมสัญญากับตัวเองว่าทุก ๆ 1 ปี จะต้องแวะเวียนมาที่เกาะช้าง เพื่อจับจองพื้นที่ในการดูดาวเป็นของตัวเอง รีสอร์ททางเขต เกาะช้างใต้ เลยเป็นที่พักเจ้าประจำซึ่งใช้บริการมาร่วม 3 ปีแล้ว จับกล้องดูดาวโยนใส่เรือแคนูของรีสอร์ท จำได้ว่าในตอนแรกพายไม่เป็น ทั้งผมและน้องสาวพายกันจนหมดแรงก็ยังไม่ขยับ หมุน ๆ อยู่กับที่หลายรอบจนพากันเมาเรืออ๊วกลงทะเลเป็นอาหารปลากันเป็นทิวแถว ไม่คิดว่าการพายเรือมันจะยากเย็นขนาดนี้ เดือดร้อนคนที่รีสอร์ทลงมาช่วยสอนพายให้จนชำนิชำนาญ ผมจะพายเรือจากรีสอร์ทไปที่ประภาคารฝั่งตลาดชุมชนเป็นประจำ เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ดูดาวที่สวยจนอยากมาซ้ำมากกว่าหนึ่งปีต่อครั้ง ![]() 3 "มาแล้วเหรอ" เธอทักผมเสียงเรียบ ผมปีนขึ้นจากเรือแล้วขึ้นบันไดเทียบท่ามาหยุดยืนข้างเธอ หญิงสาวสวมกระโปรงพีชยาวลายยิปซี สวมเสื้อยืดสีดำ ผมยาวของเธอแซมสีแดงเล็กน้อย ดูแล้วน่าจะเป็นการแต่งตัวสไตล์ปาล์มมี่ จำได้ว่าเธอเคยบอกว่ารองเท้าที่เธอสวมใส่มีคู่เดียวในโลก เพราะว่าเธอทำมันเอง กระโปรงที่ใส่เองก็เย็บถักเองกับมือ วันแรกที่ผมเจอเธอ เป็นวันที่ผมพึ่งพายเรือแคนูเป็น และตั้งเป้าหมายพายเรือมาดูดาวใกล้ ๆ ประภาคาร ผมเจอกับเธอคนนี้ที่มีกล้องดูดาวราคาเหยียบสามหมื่น ส่งผลให้กล้องดูดาวราคาไม่ถึงหมื่นของผมดูกระจอกไปเลย "โย่!" เธอทักผมเป็นประโยคแรก การทักทายของเธอฉีกคาแรกเตอร์ของเธออย่างสิ้นเชิง เรียกว่าแต่งตัวสไตล์ปาล์มมี่แต่ทักทายแบบไทเทเนี่ยมเลยก็ว่าได้ "หวัดดี" ผมกล่าวทักทายตอบกลับไป ความสนใจพุ่งไปทางกล้องดูดาวของเธอ มันเป็นกล้องที่มีลำกล้องใหญ่ พ่วงด้วยกล้องเล็กเป็นกระบอกข้าง แถมยังมีเครื่องมือพ่วงเป็นสายกดชัตเตอร์ถ่ายรูปผ่านกล้องดูดาวได้อีกต่างหาก ผมเผลอถามหญิงแปลกหน้าไปว่าซื้อจากไหน เธอบอกว่าต้องบินไกลข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงอเมริกาเพื่อให้ได้มันมาเป็นของตัวเอง นึกอยากได้บ้าง...แต่กลัวว่าแม่จะตบกบาลเพราะพึ่งถอยรถคันใหม่มาหมาดๆ เธอนึกสนใจกล้องส่องทางไกลของผมเหมือนกัน เราเลยผลัดกันดูแล้วสนทนาเรื่องดวงดาว เธอบอกว่าสนใจมันเพราะตอนเรียนอยู่ญี่ปุ่นเธอดูดาวบ่อย และวัยรุ่นญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับดวงดาวอยู่ บางครั้งนอกจากไปดูดอกไม้ เที่ยวชมวัด นั่งรถไฟ ก็ยังมีไปดูดาวกันด้วย ชงชาอุ่น ๆ ท่ามกลางฟ้าโปร่ง ๆ ดูดาว ฟังแล้วก็เพลินดี 4 เรานั่งดูดาวกันตั้งแต่ 4 ทุ่มลากยาวไปจนถึงตีหนึ่ง เธอหยิบเอากระบอกอลูมิเนียมใส่กาแฟมารินเทใส่ฝาแล้วแบ่งให้ผมดื่ม เธอบอกว่าไม่ค่อยเห็นคนหิ้วกล้องดูดาวมานานแล้ว แปลกดีที่ได้มาเจอกันที่นี่ ผมยิ้มรับแล้วรู้สึกไม่ต่างกัน คืนนั้นจำได้ว่าผมเปิดเพลง "เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ" ฟังไปด้วย ด้วยเพราะคิดว่ามันเข้ากับบรรยากาศการดูดาวดี ดูเท่าไหร่ได้ฟังเท่านั้น ชอบที่เราเอาหัวใจของคนเราไปเปรียบกับดวงดาว ดาวหนึ่งดวงที่เราเห็นมันอยู่ไกล ๆ มันสร้างและถ่วงสมดุลดาวอีกดวงอยู่ มนุษย์เราโคจรรอบ ๆ กันและกันโดยมีหัวใจเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง มนุษย์กับดวงดาวเลยเหมือนกันตรงที่มันอาจจะรู้สึกว่าโดดเดี่ยวแต่มันไม่เคยโดดเดี่ยว เหมือนคำพูดที่บอกว่า ยังไงเราก็ยังอยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน ดวงดาวก็ไม่ต่าง จำได้ว่าเคยนั่งคุยกับลุง จิก ประภาส เจ้าของเพลงที่ร้าน Bookmoby ชอบที่แกพูดถึง ดอกไม้ที่เด็ดแค่ดอกเดียวก็สะเทือนถึงหมู่ดาว เหมือนเจ้าชายน้อยที่เปรียบเทียบดาวกับดอกไม้ ที่ถ้าหากดวงดาวเป็นดอกไม้แล้วการดึงดอกไม้คือการทำลายแสงสว่างของดวงดาว เราก็จะไม่มีทางมองเห็นความงดงามของดาวดวงนั้น ๆ ได้อีกเลย ชีวิตที่ถูกใครฉุดดึงประกายแห่ง "ความฝัน" ออกไปก็คงไม่ต่างกัน "ช่วงที่มีเงินอยู่ก็ใช้ให้หมด" เธอบอกผม "ทำไม ?" "เก็บไว้ซื้อบ้านซื้อรถมันก็ดีนะ แต่ถ้าหากเราเอาไปซื้อประสบการณ์จะดีกว่า เรากลัวว่าถ้าวันนึงแก่ขึ้นมาจะไม่มีแรงเที่ยวเย้ว ๆ แบบนี้แล้วอ่ะดิ" "อ่อ...." "บ้าน รถ หาซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีแรงเที่ยวแบบหนุ่มสาว ก็ยังมีแรงทำงาน ถ้าเอาเวลาหนุ่มสาวที่ควรจะหาความสุขให้หัวใจตัวเองไปช่วยเหลือความฝันคนอื่น เราก็จะเผลอทิ้งความฝันตัวเองไป พอมานึกเสียใจก็ไม่มีแรงจะเที่ยวแล้ว" อืม...ผมเห็นด้วย แม่บอกเสมอว่า ช่วงเวลาหนุ่มสาวที่ยังมีไฟ มีความฝัน ความหวัง ยังสดใสอยู่ การได้ออกไปเจอโลกกว้างและได้เรียนรู้เรื่องราวในโลกสำคัญ เป็นช่วงเวลาที่น่าจะทำให้เราได้รับความทรงจำดี ๆ อย่างเต็มที่ ไม่เหมือนแม่ที่พอแก่แล้วได้เที่ยว จะทำกิจกรรมหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ยากแล้ว 5 "ถ้าเราใช้ชีวิตโดยยึดเอาความจริง ความจริงมันก็จะพาเราไปเท่าที่ความจริงจะพาไปได้ แต่ถ้าเราใช้ชีวิตโดยมีความเชื่อ ความเชื่อจะพาเราไปได้ไกลกว่า" เธอบอก คำคมนั้นเหมือนปักลงกลางใจผมชนิดที่ไม่ว่าจะถอนยังไงก็ถอนไม่ออก "แล้วนายใช้ชีวิตด้วยความจริงหรือความเชื่อ ?" "อ่า...." ผมนิ่งเงียบพักหนึ่ง "เราเป็นคนค่อนข้างโลภน่ะ" "ยังไง ?" "เราใช้ชีวิตด้วยความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของความจริง" "บ๊ะ!" เธอตบหลังผมฉาดใหญ่ สาบานได้ว่านี่เป็นการพบกันครั้งแรก คุยกันได้พักใหญ่เธอก็ขอตัวกลับก่อน ก่อนกลับ เธอมอบสมุดไม่มีเส้นหน้าตาประหลาดให้ผม หน้าปกหนังสือเป็นสีเทาหม่น ๆ มีลวดลายวาดมือและสันกาวที่เข้าเล่มด้วยการเย็บ "มันมีเล่มเดียวในโลก" เธอบอก เพราะมันเป็นเล่มที่เธอทำขึ้นมาเอง ผมเปิดดูอย่างนึกชื่นชม ด้วยเพราะว่าไม่เคยเห็นคนทำสมุดทำมือด้วยตัวเองมาก่อน ตัดกลับมาที่เวลาปัจจุบันขณะ ผมปีนลงเรือแคนูของรีสอร์ท โบกมือให้น้องสาวสองคนที่นั่งร้องเพลงดีดกีตาร์กันอยู่ตรงเฉลียง ตอนที่มาถึงประภาคาร ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยภูเขา ระบายสีท้องฟ้าเป็นสีแดงตรึงตา "โย่!" เธอทักผมเหมือนเมื่อสามปีก่อน "หวัดดี" ผมทักเธอตอบกลับไป "นี่มาทุก ๆ เดือนเลยจริง ๆ เหรอ ?" ผมถามเธอด้วยนึกประหลาดใจ เธอยิ้มแล้วส่งอัลบั้มรูปในกระเป๋ามาให้ผมดู รูปท้องฟ้าที่มีฉาก ๆ เดิมถูกถ่ายไว้เต็มไปหมด แม้ว่าฉากจะเหมือนเดิม แต่ท้องฟ้าไม่เหมือนเดิมเลยสักวันเดียว มีข้อความกำกับ เดือนที่ 1 ไปจนถึง เดือนที่ 12 ตั้งแต่ท้องฟ้าสีทองไปจนถึงอาทิศอัศดง เธอเก็บภาพท้องฟ้าและดวงดาวที่นี่ทุกเดือนเพียงลำพังคนเดียว ผมเคยถามชื่อของเธอแต่เธอไม่เคยบอก ผมเคยถามว่าเธอมากับใคร แต่เธอไม่เคยบอกอะไรกับผม เธอไม่เคยถามอะไรและไม่เคยตอบอะไร เราเป็นดาวคนละดวงที่โคจรมาเจอกันที่ประภาคารแห่งนี้ทุก ๆ 1 ปี ได้ทักทาย พูดคุย บอกเล่าเรื่องราวกัน โดยที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาวดวงนี้ที่โคจรอยู่ข้าง ๆ ผมเลย "หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง" "ก็ยังใช้ชีวิตด้วยความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเหมือนเดิม" "ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยเหรอ ?" เธอยักคิ้วถามขณะที่เรานั่งมองอาทิตย์คล้อยอยู่โพ้นทะเล "คงเป็น...ความรักมั้ง" "สาว ๆ ?" "ดวงดาว" ![]() |
สมาชิกหมายเลข 3599246
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]![]() Group Blog All Blog |
||
| Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. | |||





ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [