Ayumi Hamasaki: MY STORY ชั่วชีวิตของฉัน อัลบั้มแรกในปี 2005 ที่ทำให้ผมร้องไห้
โดย merveillesxx
เกริ่นนำ: อายูมิ ฮามาซากิ คือใคร? เธอคือเจ้าของอันดับหนึ่งบนโอริกอนชาร์จในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ลหรืออัลบั้มใดก็ตาม, ได้รับรางวัล Most Influence Asia Artist จาก MTV, มีหุ่นขี้ผึ้งรูปเธออยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ฮ่องกง, ขึ้นปกนิตยสาร TIME ก็เคยมาแล้ว, ขึ้นคอนเสิร์ตโดยใส่กระโปรงที่คลุมทั้งเวที แถมขยับได้ (!) ก็เคย, จุ๊ปากให้คนดูทั้งโยโยงิ (Yoyogi) เงียบ แล้วแหกปากว่า อาริกาโต~~!!! ก็ทำมาแล้ว หรือให้เกี่ยวกับวงการหนัง เธอคือยัยผู้หญิงสติแตกที่แสนเย็นชาในหนังเกย์เรื่อง Like a Grain of Sands (1995) ของเรียวสุเกะ ฮาชิกูจิ และถ้าเป็นเรื่องใกล้ตัว ชื่อของเธอคนนี้แหละทำให้ห้อง J-MUSIC เฉลิมไทย ณ พันทิป.คอม ที่แสนจะเงียบสงบ (จนเกือบจะเป็นป่าข้า) เกิดอุณหภูมิเดือดเลือดพล่านเพราะมีคนจะฆ่ากันตาย !!!
ทำไมอัลบั้ม MY STORY ของเธอจึงน่าสนใจ? อายูมิไม่ได้เป็นนักร้องสาวคิกขุประเภทหุ่นเชิดลิปซิงค์พะงาบปากตามใบสั่งเท่านั้น เธอแต่งเนื้อเพลงเองทั้งหมด และแต่งทำนองเองด้วยในบางครั้ง (ในชื่อว่า CREA) MY STORY คืออัลบั้มลำดับที่หกของสาวตาโตคนนี้แล้ว มันเป็นอัลบั้มที่เหมาะกับวันที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้เหลือเกิน เพราะวันนี้คือ 8 มีนาคม วันสตรีสากล
ที่สำคัญที่สุดคืออัลบั้มชุดนี้มีลิขสิทธิ์ขายในบ้านเรา! (จากค่าย Red Beat) และหากจะด้วยเหตุผลส่วนตัวสักหน่อยก็คือ นี่เป็นอัลบั้มแรกในปี 2005 ที่ทำให้ผมร้องไห้!
ถึงตอนนี้ อายูมิไม่ใช่เด็กสาวอายุ 20 ที่เอาผมมาปิดนมเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว (หมายถึงภาพคลาสสิกอันเป็นปกอัลบั้มชุดที่สอง Loveppears (1999) ของเธอ เป็นภาพอายูมิเปลือยท่อนบน แล้วเอาผมของเธอปิดหน้าอก ภาพนี้น่าจะเคยเห็นกันตามร้านเพลงญี่ปุ่นหรือร้านตัดผม ดูรูปที่ว่าได้ที่ //ayumi.primenova.com/cdscans/cdscanslarge/loveppears01.jpg ) แม้ว่าอัลบั้มชุด Loveppears จะเป็นอัลบั้มของอายูมิที่ผมโปรดที่สุด เพราะมันคือเพลงแดนซ์บริสุทธิ์ก่อนข้ามยุคมิลเลนเนี่ยม หลังจากสหัสวรรษใหม่ เพลงแบบนี้ก็แทบจะสูญพันธ์ไปพร้อมๆกับเพลงชิลเอาท์ (Chill-Out) แต่กาลเวลาเปลี่ยน ผู้คนย่อมแปรตาม ภาพ ณ วันนี้ของเธอจึงเป็นอย่างที่เห็น ใช่แล้ว
ปกอัลบั้มชุดนี้มันเหมือนอาเจ๊เพิ้งหัวกระเซิงที่รอผัวกลับบ้านไม่มีผิด!! แต่อย่างที่เขามีสำนวนว่าไว้ Dont judge a book (CD) by its cover อัลบั้มนี้น่าจะเข้าข่ายนั้นเช่นกัน ดนตรีในอัลบั้มชุดนี้จึงเป็นส่วนผสมของด้านที่แข็งแกร่งแบบเพลงป็อป-ร็อก ที่นำด้วยเสียงแผดของกีต้าร์ เจือด้วยโปรแกรมมิ่งสุ้มสำเนียงของดนตรีอิเล็กทรอนิก และด้านที่อ่อนหวานอย่างเพลงบัลลาดที่มิอาจขาดเสียงเปียโน กล่าวได้แบบโหลๆ ว่าเพลงในชุดนี้โตขึ้นอีกทีก้าว แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าน่าจะเป็น เนื้อหา ของอัลบั้ม
ว่ากันว่าบรรดาผู้กำกับที่เป็นใหญ่ในโลกภาพยนตร์ ท้ายสุดแล้วสักวันหนึ่งพวกเขาจะทำหนังสนองความต้องการตัวเองที่ว่าด้วย ตัวเอง
หว่องกาไวทำหนัง 2046 อันเป็นบทสรุปของ โลก ที่เขาสร้างขึ้นมา พร้อมกับกล่าวคำอำลากับคนในโลกนั้น, เปโดร อัลโมโดวาร์เล่าเรื่องของตัวเองด้วยหนังซ้อนหนังซ้อนหนังอย่าง Bad Education และอายูมิ ก็เช่นกันกับอัลบั้ม MY STORY ที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวของตนเอง เธอกำลังใช้ตัวเองเป็นทั้ง subject และ object มันคือการเล่าถึงตัวเองในฐานะ ผู้หญิง นี่อาจจะบทเพลงที่เป็นตัวแทนของผู้หญิง(หรืออาจจะเป็นผู้คน)ทั้งโลกก็ได้
MY STORY คล้ายกับหนังเรื่อง In The Cut ของเจน แคมเปี้ยน (ซึ่งเล่าถึงชีวิตลูกผู้หญิงเหมือนกัน แต่ในประเด็นการเลือกคนรัก ในทางที่ถูกและทางที่ผิด) คุณไกรวุฒิ จุลพงศธร แบ่งเรื่องราวของหนัง In The Cut เป็น 3 ส่วน คือ พื้นผิว เนื้อใน และใจกลาง (อ่านโดยละเอียดได้ในนิตยสาร Bioscope ฉบับที่ 29) อัลบั้มชุดนี้ก็อาจจะแบ่งได้ 3 ส่วนเช่นกัน แม้จะไม่เหมือนกับหนังเรื่องที่ว่าเสียทีเดียว
ก่อนจะเข้าไปสำรวจถึง เนื้อใน ของงานชุดนี้ ลองดูกันเล่นๆว่าอายูมิได้บอกใบ้สัญลักษณ์บางอย่างกับเราตั้งแต่ยังไม่ทันฟังเพลงแล้ว จากแผ่นซีดีทั้งสอง (อัลบั้มชุดนี้มีมาให้ 2 แผ่นคือ ซีดีเพลง กับดีวีดีรวมมิวสิกวิดีโอ) เราจะเห็นได้ว่ามันคือรูป รูกุญแจ ดังนั้นเวลาที่เรายัดเอาแผ่นซีดีเข้าไปในเครื่อง นิ้วของเราจึงทำหน้าที่เหมือน กุญแจ ไม่มีผิด เธอกำลังหลอกล่อให้เราเข้าไปไขความลับในอัลบั้มชุดนี้, ตามด้วยสีของซีดีทั้งสองแผ่นเป็นการเล่นระหว่างสองสีคือ ชมพู และ ดำ อันประหนึ่งเป็นตัวแทนของ ความสุข และ ความทุกข์ มันบอกให้เรารู้ว่านี่คือสองสิ่งหลักๆที่เราจะต้องพบในเพลงของเธอ รวมถึงใน เรื่องราว ของเธอ (และของตัวเราเอง), ถัดมาโลโก้ของอัลบั้มชุดนี้คำว่า MY STORY เราจะเห็นว่ามีรูป กุญแจ ทะลุผ่านคำว่า MY นั่นคือบอกว่า คุณกำลังจะเข้าสู่ดินแดนของ ฉัน (ซึ่งก็คือ อายูมิ) และสุดท้าย ภาพใน booklet มีภาพดินแดนพื้นที่เขตส่วนตัวของผู้หญิง ดินแดนเร้นลับที่ว่าก็คือ ห้องนอน (การที่ผู้หญิงยอมให้คุณก้าวเข้าไปในห้องนอนของเธอ มันคือการยอมเปิดเผยความลับในระดับหนึ่ง) **ดูรูปซีดีที่ //ayumi.primenova.com/cdscans
อัลบั้มนี้มีทั้งหมด 17 เพลง ภาคแรกนั้นคือเพลงที่ 1-4 มันว่าด้วยพื้นผิวภายนอกทางกายและใจที่แสนเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่ง (ถ้าสังเกตเพลงในช่วงนี้จะเป็นจังหวะร็อคทั้งสิ้น) เพลงแรก Catcher In The Light เป็นดั่งการล้อเลียนชื่อนิยาย Catcher In The Rye ของ เจ.ดี. ชาลิงเดอร์ ที่ว่าด้วยชีวิตของชายหนุ่ม และนิยายเล่มนี้มีชื่อภาษาไทยว่า ชั่วชีวิตของผม (และต่อมาฮารูกิ มูราคามิก็นำตัวละครชายหนุ่มไปขยายความต่อเป็นนิยายสลายหัวใจอย่าง Norwegian Wood) เช่นนั้น Catcher In The Light (สังเกตดูว่าใน booklet จะมีรูปเธอถือเชิงเทียนด้วย) ก็น่าจะเป็น ชั่วชีวิตของฉัน และเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่เรื่องราวของเธอ พร้อมกับเนื้อเพลงร้องซ้ำไปมาที่ว่า หากคุณเพียงแต่เมียงมอง คุณจะไม่มีวันสัมผัสมัน คุณจะต้อง ฟัง มันด้วย (แค่เพลงแรกก็ตายแล้ว
)
หลังจากนั้นทำนองเพลงสะบัดห้วงอย่างรุนแรง นำพาเราเข้าสู่เพลงที่สองอย่าง About You เพลงที่เล่าถึงจุดกำเนิดเรื่องราวทั้งหมด นั่นก็คือ เธอ (ส่วนเธอในที่นี้ของอายูมิคือใคร ใช่นายหน้าหล่อคนนั้นหรือเปล่า อันนี้ต้องเดากันเอง) เธอคือผู้สร้างบาดแผลให้กับฉันจนฉันมิอาจสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดของคนอื่นได้อีกต่อไป บาดแผลที่เกิดขึ้นเพราะเธอได้ปิด ประตูหัวใจ และทำ กุญแจ ที่จะเปิดมันสูญหายไป (ทีนี้เราก็เข้าใจแล้วทำไมอัลบั้มถึงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ประเภท รูกุญแจ และลูกกุญแจ)
นั่นทำให้ฉันสับสนเหลือเกิน
ความสับสนของเธอถูกขยายความต่อในเพลงที่สาม GAME มันไม่ใช่การเปรียบความรักที่เป็นดั่งเกม แต่มันเล่าถึงผู้หญิงที่ติดอยู่ในวงกตแห่งความรักที่ไร้ทางออก แม้ความเป็นจริงจะย้ำเตือนให้เธอต้องออกไป แต่ใยเธอมิอาจค้นพบหนทาง
ช่างน่าแปลกเสียจริง? แต่ตามจริงแล้วมันก็มิใช่เรื่องแปลกสักเท่าไร เพราะนอกจากจะติดกับดักของความรัก เธอยังติดกับดักของตัวเอง นั่นคือ การหลอกตัวเอง เธอบอกว่าสักวันฉันจะลืมมันได้ พรุ่งนี้ฉันจะลืมมัน สักวันจะมีใครสักคนเข้ามาแทน แต่แล้วเนื้อเพลงท่อนหนึ่งบอกว่า
เมื่อคราใดที่ฉันพูดออกไป ทุกสิ่งกลับไหลผ่านนิ้วมือของฉันไปดั่งเม็ดทราย ฉันเพียงแต่ได้นั่งนับกาลที่ผ่านไป และสุดท้ายเธอก็ร่ำร้อง โปรดบอกฉันว่าบาดแผลนี้เป็นเพียงภาพลวงตา โปรดบอกฉันว่านี่มิใช่ตัวฉัน โปรดบอกฉัน
เพราะสักวัน ฉันจะได้รับความอบอุ่นจากเธออีกครั้ง
มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในห้วงสับสนเป็นนิจ ดูเหมือนข้อความนี้จะจริงเสมอมา (มีข้อสังเกตของเพลงนี้คือ มีบางท่อนใช้เสียงรองผ่านโวโคเดอร์ ที่ทำให้เสียงเหมือนหุ่นยนต์ ซึ่งเข้ากับชื่อเพลง GAME และแสดงความสับสนได้เป็นอย่างดี)
จริงหรือที่ผู้หญิงแสนจะสับสนและอ่อนไหว? เพลงถัดมาอย่าง my names WOMEN (โปรดสังเกตว่าเน้นตัวใหญ่ที่คำว่าอะไร) บอกถึงผู้หญิงที่ปฏิเสธถ้อยคำที่ว่า น้ำตาเป็นอาวุธของลูกผู้หญิง พวกเธอไม่ร้องไห้อย่างง่ายดาย พวกเธอแค่เพียงมีด้านที่อ่อนแอ และมีแผลในใจในบางคราว แต่พวกเธอไม่ใช่ตุ๊กตาที่จะดำรงอยู่เพื่อความสุขของผู้ชาย (นี่..แสบมั้ยล่ะ) เหมือนจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าในอัลบั้มของอายูมิต้องมีเพลงแนวคิดแบบเฟมินิสต์เจืออยู่อ่อนๆ อย่างเช่นเพลง REAL ME ในอัลบั้มชุดที่แล้ว (Rainbow)
เพลงนี้เหมือนจะเป็นการปฏิเสธเนื้อความในเพลงที่แล้ว แต่แท้จริงมันคือการตอกย้ำการหลอกตัวเองหรือเปล่า? คำตอบอยู่ในเพลงถัดไป
เพลงที่ห้า WONDERLAND (เพลงนี้อายูมิแต่งทำนองเอง) เป็น interlude สั้นๆ ที่จะพาเราเข้าสู้ภาคที่สองของอัลบั้มชุดนี้ มันเป็นเสียงของสวนสนุกที่ดูสนุกสนานรื่นเริง แต่ท้ายเพลงกลับมีเสียงที่เหมือนบ้านผีสิง เสียงของปิศาจที่ร่ำร้องอยู่ในใจ
ซึ่งจะเป็นของใครไปได้ นอกจากใจของเธอ(อายูมิ)เอง บทเกริ่นนำของส่วนที่สองนี้ประหนึ่งจะบอกเราว่า ดินแดนพิศวง อย่างจิตใจของผู้หญิงไม่ได้มีเพียงด้านที่อ่อนโยนและหวั่นไหว เธอยังคงเป็นปุถุชนธรรมดาที่มีความผิดบาปอยู่ในใจ
และจากนี้มันคือการ สารภาพบาป ของเธอ
ส่วนที่สองคือตั้งแต่เพลงที่ 6-11 (ซึ่งไปในทางเพลงจังหวะปานกลางและเพลงบัลลาด) ซึ่งเป็นดั่งการลงลึกเข้าไปในจิตใจของผู้หญิงคนหนึ่ง เริ่มด้วยเพลงที่หก LIAR คือบาปแรกที่เธอทำการสารภาพ (ฟังดีๆ ตอนต้นของเพลงนี้มีเสียงระฆังโบสถ์) นั่นการ หลอกตัวเอง ภาพแผ่นหลังครั้งสุดท้ายของคุณ ยังคงตราตึงอยู่ในใจของฉัน อีกนานเท่าใดที่ฉันควรเฝ้ารอการปลดปล่อย ยิ่งเธอรักฉันมากเท่าไร หัวใจของฉันยิ่งปวดร้าว ฉันไม่อยากจะรัก
อีกต่อไปแล้ว หลังจากฟังเพลงนี้ผมยิ่งเชื่อประโยคที่ว่ามนุษย์เราพูดโกหกทุกวัน อย่างน้อยก็คือการโกหกตัวเอง อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยบอกตัวเองด้วยประโยคประมาณว่า ฉันจะไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว
อัลบั้มยอดเยี่ยมของวง Keane อย่าง Hopes and Fears บอกกับเราว่า ความหวังนั้นมักตามมาด้วยความกลัว(ที่จะไม่สมปรารถนา)อยู่เสมอ ส่วนอายูมิถามเราว่า แท้จริงมันคือความหวังหรือความเจ็บปวด (การทรมานตัวเอง) ในเพลง HOPE or PAIN บอกเล่าถึงการรอคอยอันสิ้นหวังของหญิงสาวที่บอกกับตัวเองว่าความรักนั้นเป็นเพียงฝันไป แต่แล้วเนื้อเพลงก็เปิดเผยให้เรารู้ว่าความจริงเธอยังมี สิ่งที่ไม่เคยบอก กับเขา เพราะสิ่งนั้นยังไม่ชัดเจน (เนื้อหาส่วนนี้มีอยู่เพียงเล็กน้อยในเนื้อเพลง แต่ผมก็เชื่อว่านักแต่งเพลงบางทีก็ซ่อนความรู้สึกของตัวเอง) นี่อาจจะบาปที่สองของเธอที่คล้ายจะเป็นการ หลอกเขา และเพราะด้วยความไม่ชัดเจนในความรู้สึก การล่มสลายของการสื่อความ การรอคอยของเธอจึงนำมาซึ่งความเจ็บปวด ดังนั้นในที่สุดผู้หญิงคนนี้จึงได้คำตอบว่าเพลงนี้น่าจะมีชื่อว่า HOPE and PAIN มากกว่า
ดั่งจะตอกย้ำบาดแผลในใจให้ยิ่งลึก เพลงถัดมา HAPPY ENDING นั้นยิ่งแสนเจ็บปวด เพราะชื่อเพลงที่เหมือนจะมีความสุข แต่เนื้อความมันกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ฉันรู้สึกว่าได้รู้จักกับความรัก
หลังจากที่ได้พบคุณ หากฉันเสร็จสิ้นจากการรับโทษ หากฉันได้รับการอภัยในสักวัน แต่ฉันไร้ซึ่งสิทธินั้น
สิทธิที่จะบอกถึงความหมายของความสุข ฉันรู้ดีกว่าใครๆ
ฉันมิคู่ควรกับฉากจบที่สวยงามเราจะรู้สึกถึงความผิดบาปในใจของเธอได้ถึงจุดสูงสุดในเพลงนี้ บาปใหญ่หลวงที่ทำให้เธอมิอาจได้สัมผัสกับความรัก แต่คำว่า happy ending จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับเธอเชียวหรือ? คำตอบรอคุณอยู่
หากเราแบ่งเพลงในภาคที่สองที่เป็นการสำรวจจิตใจของเธอ เราน่าจะแบ่งมันได้ 2 พวก เพลงที่ 6-8 เป็นดั่งการสำรวจความผิดบาปและการสารภาพบาป หลังจากผ่านพิธีสารภาพบาป หรือการกระทำทุกรกิริยา-การทรมานตนเอง (Penance) เธอก็ได้ตระหนัก-ตรัสรู้ถึงอีกด้านที่สวยงามของจิตใจของเธอ นั่นคือเพลงที่ 9-11 ที่ว่าด้วย การสารภาพความในใจ ถึง ความทรงจำที่แสนหวาน และ ความรักที่สวยงาม
หลังจากเสมือนเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด (โดยที่ตัวเธอนั่นแหละเป็นคนทำตัวเอง) เพลงที่เก้า Moments ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกของครึ่งหลังของอัลบั้ม เปรียบเหมือนการก้าวข้ามอาณาเขต สีดำ ไปสู่ สีชมพู เพราะในเพลงนี้เธอก็ยังป็นผู้ถูกกระทำ แต่เธอจะอยู่ในฐานะคนที่ปกป้องเขาคนนั้น
อย่างน้อยนี่ก็เป็นก้าวแรกที่หลุดพ้นจากความทรมานเพราะมันคือการยอมทนทุกข์เพื่อคนรัก ที่แสนจะสวยงาม ดังที่เพลงนี้ว่า
หากฉันสยายปีกได้ดั่งนก ฉันจะบินไปหาเธอ และใช้ปีกของฉันโอบอุ้มบาดแผลนั้น
หากฉันพริ้วไหวได้ดั่งลม ฉันจะลอยละลิ่วไปหาเธอ
หากฉันส่องแสงได้ดั่งจันทรา ฉันจะทำให้เธอสว่างใสตลอดกาล
ฉันจะเป็นให้ทุกสิ่ง ที่ทำให้ความกลัวของเธอจางหายไป
สารภาพตามตรงครับว่าเพลงนี้ในความคิดของผม มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน และมันทำให้ผมต้องหลั่งน้ำตา (ใครที่บอกว่าปกซิงเกิ้ลเพลง Moments อายูมิใส่ชุดเหมือนชุดคลุมท้อง อันนี้ก็อาจจะใช่ครับ เพราะการกระทำของเธอในเพลงนี้เหมือน แม่(พระ) ไม่มีผิด)
เพลงถัดมา walking proud เหมือนจะเป็นการขจัดความสับสนในหัวใจออกไป ท้องฟ้าที่ฉันแหงนมองแสนงดงาม มันทำให้ฉันคิดถึงเธอ ฉันหวังว่าสักวัน ฉันจะก้าวไป ก้าวเข้าไปหาเธออย่างมั่นใจ จากเพลงนี้ ในที่สุดเธอก็จะรู้แล้วว่า เธอมิได้พบพานกับเขาก็เพราะเธอนั้นวิ่งหนีจากความจริง สิ่งที่เธอควรจะทำก็คือการอยู่กับ ปัจจุบัน
และในขณะที่เขานำหน้าเธอไปแสนไกล เธอก็ยินยอมที่จะวิ่งตามเขาไปเพราะ
เธอได้ยินเสียงของฉันไหม? มันเข้าไปถึงหัวใจของเธอหรือเปล่า? จากวันนี้ ฉันจะก้าวเดินไป เพราะแผ่นหลังของเธอคือความหวังที่ทำให้ฉันอยู่ต่อไป ด้วยความสัตย์จริง, ผมไม่ได้ฟังเพลงความรักในแง่บวกแบบนี้มานานเหลือเกิน ดังนั้นเพลงนี้จึงทำให้ผมน้ำตาคลออีกครั้ง พร้อมตระหนักได้ว่าบางครั้งความรักก็ไม่จำเป็นที่คนสองคนจะต้องก้าวไปพร้อมกัน บางทีเราอาจจะต้องตามหลัง แต่เราก็จะ ก้าวเดินอย่างภาคภูมิใจ เพราะสิ่งอยู่ข้างหน้าคือคนรักของเรา
เพลงสุดท้ายของภาคที่สองในอัลบั้ม CAROLS เป็นดั่งบทสรุปของการสำรวจจิตใจของเธอเอง หลังจากการสารภาพบาป การบอกถึงความรู้สึกที่แท้จริง การตระหนักรู้ถึงตนเอง สิ่งสุดท้ายที่เธอต้องทำก็คือการ ให้อภัยแก่อดีตของตนเอง การรื้อฟื้นความทรงจำแสนงดงามที่สูญหาย เพื่อเป็นแหล่งพลังในการออกตามหาสิ่งที่ขาดหายไป นั่นก็คือ เขาคนนั้น นั่นเอง ยามเมื่อหิมะขาวหลอมละลาย ทั่วทั้งเมืองกลับฟื้นคืนด้วยสีสัน ฉันอยากให้เธออยู่ใกล้ๆ
แนบชิดหัวใจฉัน CAROL มีสองความหมายคือ เพลงคริสมาสต์ และเพลงสดุดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือเพลงสดุดีแด่ความรัก
ของทั้งสองคน
มันน่ามหัศจรรย์มากที่เพลงของผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ผมร้องไห้ได้ 3 เพลงติดๆกัน จากความทรงจำของผม ผู้หญิงที่ทำให้ผมร้องไห้ได้ก็คงจะมีเพียงอรอรีย์ (ควีนออฟกรันจ์คนเดียวของประเทศไทย) และคนที่สองก็คงจะเป็น ควีนออฟเจป็อป คนนี้
ได้เวลาออกจากห้วงลึกของจิตใจ และกลับสู่โลกเดิม Kaleidoscope เป็นดั่งกระจกสะท้อนเรากลับไปสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง แต่มันกลับเป็นโลกในอีกด้านหนึ่งหลังจากระทมทุกข์กับโลกสีดำมายาวนาน กระจกนี้จะทำให้สีดำแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีชมพู (ดนตรีในเพลงก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึงการขับเคลื่อน หรือการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างได้จริงๆ ตอนฟังเพลงนี้มีคำว่า Transformation ลอยในหัวผม) ภาคที่สาม เพลงที่ 13-17 จะเป็นความจริงที่แสนสวยงาม (เพลงในภาคนี้ฟังแล้วอมยิ้มทุกเพลง)
จากนั้นจังหวะเพลงก็กระชากเราให้เหมือนกลับสู่โลกเก่าเสียจริง เริ่มต้นภาคที่สามด้วยเพลง INSPIRE (น่าจะเป็นเพลงที่เต้นมันส์ที่สุดในอัลบั้มนี้แล้ว) อันเป็นก้าวเริ่มต้นที่สวยงามสำหรับชีวิตใหม่ เธอมองโลกอย่างเข้าใจและถ่องแท้ เธอว่า ไม่มีใครอยู่ได้โดยตัวคนเดียว ไม่มีใครอยู่โดยปราศจากความรัก แม้มันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดก็ตาม ใช่แล้ว! อุปสรรคทั้งหลายจะผ่านพ้นไปได้ถ้าเราเป็น เรา ฉันและเธอจะเป็น แรงใจ ให้แก่กัน ฉันจะลุกขึ้นยืนไม่ว่าจะกี่ครั้ง หากมีกำแพงขวางกั้น เรา จะพังทลายมัน หากมีประตูขวางกั้น เรา ก็จะเปิดมัน จำได้ไหมครับว่าในเพลงที่สอง ABOUT YOU เธอบอกว่าเขาคนนั้นปิดประตูและทำกุญแจหายไป ส่วนเธอก็สร้างกำแพงก่อกั้นตัวเองขึ้น เพลงนี้นี่เองที่เป็นคำตอบของคำถามในข้างต้น ว่าการจะทลายกำแพง การจะเปิดประตูบานนั้น เรา จะต้องร่วมมือกัน เพราะเธอกับเขาต่างเป็น กุญแจ ให้ซึ่งกันและกัน
ในที่สุดเขาและเธอก็ได้พบกัน และเธอก็เรียกเขาได้เต็มปากสักทีว่า ที่รักของฉัน นี่แหละคือเนื้อความแสนใสซื่อฟังแล้วสุขใจในเพลง HONEY ผมฟังเพลงนี้แล้วมีความสุขมาก คิดภาพออกเลยว่าในคอนเสิร์ตเวลาเล่นเพลงนี้คนดูจะสนุกขนาดไหน ในเนื้อเพลงน่ารักมากตรงที่บอกว่า ที่รัก เธอน่ะรู้จักฉันดีกว่าใคร แต่อีกท่อนบอกว่า ที่รัก ฉันน่ะรู้จักเธอดีกว่าใคร
เขาและเธอจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป อืม น่าอิจฉาจัง
เหมือนทั้งคู่จะดื่มด่ำความสุขกันไม่จบไม่สิ้น เพลงถัดมาReplace บอกเล่าไปไกลถึงความรักในอนาคต ยามเมื่อเราวาดฝันถึงเรื่องอันยาวไกล มันจะมิใช่อนาคต หากคือปัจจุบัน เพราะเราได้ยืนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นแล้ว (อูย
อะไรจะสุขสมอารมณ์หมายขนาดนั้น) เอ๊ะ แล้วทำไมเพลงนี้ถึงชื่อ Replace น่ะเหรอ ก็เธอบอก(ปนดักคอ)ไว้ว่า ยามเมื่อเราต้องจากกัน ฉันจะร้องเพลงให้แทนเอื้อนเอ่ยคำอำลา เสียงของฉันจะก้องกังวานอยู่ในใจของเธอเสมอ เธอจะเดินก้าวไปอย่างมั่นใจ จนกว่าวันที่เราจะได้พบกัน โปรดมอบรอยยิ้มนั้นให้ฉันอีกครั้ง
จากนี้ไป แม้ทั้งสองอาจจะต้องมีวันที่ห่างไกล แต่พวกเขาจะไม่ห่างเหินกันอย่างแน่นอน
เพลง winding road (ทำนองโดยอายูมิเอง) เป็นดั่งบทสรุปชีวิตและเรื่องราวของเธอ ในอดีต-เธอเป็นดั่งนกที่ลืมวิถีแห่งการบิน เธอลืมที่จะเดิน เธอจึงได้แต่วิ่ง วิ่ง และวิ่ง (หนีความจริง) แต่ในปัจจุบัน-เธอกำลังจะก้าวเดินอีกครั้ง ดั่งนกที่หัดกระพือปีก และเธอจะไม่เสียใจกับอดีต-สิ่งที่ผ่านมา เพราะมันเปรียบเหมือนรอยเท้าที่ย่ำบนดินโคลนที่จะเปลี่ยนแปรรูปไป และในอนาคต-เธอจะภูมิใจกับหาทางที่เธอได้เลือกเอง แม้มันจะคดเคี้ยวเพียงใดก็ตาม
เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม Humming 7/4 (อายูมิแต่งทำนองเพลงนี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเพลงจังหวะร็อคสนั่นที่สุดในอัลบั้มนี้จะเป็นฝีมือของเธอ เก่งจริงๆ นับถือๆๆๆ) เป็นเพลงสร้างแรงให้เราก้าวและวิ่งออกไปอย่างแท้จริง ได้เวลาลืมตาตื่นขึ้นแล้ว พอกันทีกับการจมปลัก พวกเราทุกบินได้ หากเราคิดว่าตัวเองมีปีก วิ่งออกไป วิ่งและฮัมเพลงไป ยิ้มเข้าไว้ เพราะไม่ว่าคุณจะยิ้มหรือร้องไห้ มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ฉะนั้นยิ้มไว้ไม่ดีกว่าหรือ? เราต่างมีหนทางของตนเอง แต่อายูมิบอกกับเราไว้ว่าแท้จริงที่ที่เธอต้องการก็คือ ที่สามัญธรรมดา (commonplace) หากผู้ใดไม่เข้าใจ ได้โปรดอย่าปฏิเสธ เพราะมันคือความต้องการของฉัน เธอยืนยันหนักแน่น
everybody GO! everybody JUMP!
เรื่องราวของฉัน (MY STORY) จบลงแล้ว จากนี้ไปก็คือคุณที่จะก้าวออกไปสู่เรื่องราวของคุณเอง (YOUR STORY) โชคดีค่ะ!
บางทีนี่อาจจะเป็นสารจากเพลงสุดท้ายเพลงนี้ของอายูมิก็ได้
หลังจากฟังเพลงจบ (เป็นรอบที่สี่) ผมลองพลิกดู booklet อีกครั้ง และพบว่ามันช่างสวยงามและมีความหมายยิ่งนัก ภาพหน้าแรกๆจะเป็นอายูมินั่งจมทุกข์อยู่ในความมืด ภาพหนึ่งเธอนอนอย่างหมดเรี่ยวแรงและมีกุญแจตกอยู่ข้างๆตัวเธอ จากนั้นเธอก็หยิบมันขึ้นมา, เธอฝังตัวอยู่ในห้องนอน (การหนีความจริง) แต่ท้ายสุดก็เล่นเริงร่ากับปุยนุ่นลอยละล่อง และเธอก็ก้าวเดินออกจากห้องนั้นอย่างมั่นใจ
ไปสู่ชีวิตใหม่ ไปสู่เรื่องราวบทใหม่ (อีกอย่างก็คือมีรูปนาฬิกาอยู่ในทุกหน้า ซึ่งน่าจะความหมายถึงโมงยามที่ผู้หญิงคนนี้ใช้กับการครุ่นคิดถึงชีวิต ภายใน หนึ่งวัน เธอก็เกิดใหม่ได้อีกครั้ง ช่างเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งเหลือเกิน) **ดูรูป booklet ได้ที่ //ayumi.primenova.com/booklets.php
แม้ว่าจะไม่ซับซ้อนและสับสนดั่ง The Wall (1975) ของวง Pink Floyd แต่ MY STORY ของผู้หญิงที่ชื่อ อายูมิ ฮามาซากิ ก็น่าจะถือเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มชั้นดีในโลกดนตรีแห่งนี้ได้เหมือนกัน ฉากหน้ามันดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง หรือของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่แท้จริงมันคือเรื่องราวของผู้คนบนโลกใบนี้ เราล้วนพบกับความสุขสีชมพู และความทุกข์สีดำมาแล้วทั้งสิ้น สิ่งที่ต่างกันออกไปก็คือ หลังจากฟังอัลบั้มชุดนี้แล้วเราจะหากุญแจไขหัวใจที่ปิดตายได้หรือไม่ และเราจะดำเนินบทใหม่ของ เรื่องราว ในชีวิตต่อไปอย่างไร
เมื่อปีที่แล้ว อูทาดะ ฮิคารุ พิสุจน์ให้เราเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของ การอพยพ (Exodus) ของเธอว่ามันไม่เสียเที่ยวและแสนจะคุ้มค่า อูยามิทำในทางกลับกัน เธอไม่ได้อพยพไปที่แสนไกล เธอกลับใช้เรื่องราวของ ภายใน เรื่องราวอันเป็นของตัวเธอเอง และผลที่ได้มันก็ช่างสวยงาม
เพราะเธอทำให้ผมรู้ว่าชีวิตของ ผู้หญิง (คนนี้) มันช่างน่าพิศวงชวนหลงใหลเสียเหลือเกิน
Create Date : 09 มีนาคม 2548 |
|
17 comments |
Last Update : 10 มีนาคม 2548 3:55:17 น. |
Counter : 5191 Pageviews. |
|
|
|