สุดทางฝันและรอยทางแห่งน้ำตา (Academy Fantasia 2 / ละคร อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก)
โดย merveillesxx
Academy Fantasia 2 สุดทางของนักล่าฝัน
ถ้าใครได้รู้จักมักคุ้นกับผมพอประมาณ จะรู้ว่าหนึ่งในโรคประจำตัว (ที่ต้องใช้คำว่า หนึ่งใน เพราะมันมีหลายโรคครับ) ของผมก็คือ โรคต้านกระแส
โรคนี้เป็นยังไง แหม
ชื่อมันก็อธิบายได้ครบถ้วนอยู่แล้วล่ะครับ เอาเป็นว่าเพราะโรคนี้ล่ะครับที่ทำให้ผมไม่คิดจะหยิบ The Davinci Code ขึ้นมาอ่าน ทั้งๆที่ซื้อมาตั้งแต่มันออก หรือไม่ได้อ่าน Harry Potter สักที (แต่หลังๆ นี่เริ่มคิดจะอ่านบ้าง เพราะพระเอกหล่อขึ้นเรื่อยๆ อ้อ! ไอ้คน cast บท โชแชง นี่มันเมายาตอนคัดเลือกนักแสดงรึป่าวครับ ลูกสาวเจ๊แหม่มที่ขายส้มตำอยู่หน้าปากซอยผมยังสวยกว่ายัยหน้ากระด้งนี่เป็นกอง)
แน่ะๆ แอบคิดในใจกันอยู่ล่ะสิว่า อีนี่ดัดจริตแอ็คอาร์ตจริงๆ ไอ้การที่ผมจะมาแก้ตัวว่า มันเป็นของมันเอง ไม่ได้ตั้งใจ ก็คงฟังไม่ขึ้นใช่มั้ยครับ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เพื่อนๆผมเองก็ชอบด่าผมประจำแหละว่า อีอินดี้ (ด่าว่า อินดี้ นี่รับได้ แต่ถ้าด่าว่า อีหน้าอินดี้ นี่อีกเรื่องนึง)
จนมีอยู่คราวนึงเมื่อปลายปีที่แล้ว รุ่นน้องคนนึงลากถูลู่ถูกังผมไปดูหนังเรื่อง แจ๋ว จนได้ ตอนแรกผมก็อิดออดไม่ค่อยอยากดูเท่าไร แต่มันก็บอกผมว่า พี่ต่อน่ะควรจะดูหนังที่ชาวบ้านเค้าดูกันซะบ้าง! นั่น..ความผิดกูอีก (อ้อ ไม่ต้องห่วงไปครับ ผมสนุกสนานกับ แจ๋ว ตามปกติสมควรครับ)
อย่างไรก็ตาม ถึงผมจะเป็นพวก ต้านกระแส แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ต้าน กระแสแรงรัก จากผู้อ่านนะครับ (อ้วก
)
โรคต้านกระแสของผมก็มิวายมีผลกับพวกรายการ ประกวดร้องเพลง หรือ Reality Show ทั้งหลาย เช่น The Star, Big Brother รวมถึง Academy Fantasy ด้วย อย่างตอน AF1 นี่ กว่าผมจะมารู้เรื่องว่ามันคืออะไร ก็ปาเข้าไปวีคสุดท้ายที่วิทย์ได้รางวัลนู่นเลย (เป็นวีคเดียวที่ได้ดู-โดยบังเอิญ)
มาถึงคราว AF2 ก็เช่นกัน ผมไม่คิดจะใส่ใจอะไรกับมันเลยครับ (จะได้ยินบ้างก็เรื่องที่คนชื่อ บอย V8 หล่อ อะไรประมาณนี้แหละ แหะแหะ) จนมาถึงเดือนกันยาที่ฟ้าชะตาสั่งมาว่า มึงต้องดู AF2 ! เพราะพี่สาวคนสวยคาบข่าวมาบอกครับว่า อีต่อ แกรู้มั้ย AF2 เนี่ย พัดไปแข่งด้วย
และแล้ว ตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของน้อง mer กับ พัดชา ก็เริ่มต้น ณ บัดนั้น (แท่นน
แท้นนน
แท๊นนนนน)
ไม่รู้ว่าพัดชาจะจำได้หรือเปล่าว่า เมื่อราว 4-5 ปีก่อนเราสองคนเคยอยู่ใกล้กันในระยะ 0.01 เซนติเมตรมาแล้ว เราได้คุยกันประมาณ 2 ครั้ง ครั้งแรกประมาณหนึ่งชั่วโมง ครั้งที่สองอีกประมาณแปดนาที เบ็ดเสร็จแล้วเราเคยใช้เวลาร่วมกัน 1 ชั่วโมง 8 นาที 34 วินาที ไม่ขาดไม่เกิน
นั่นแน่ อย่าเพิ่งตกใจกรี๊ดกร๊าดสิ้นสติไป ความจริงไม่มีอะไรมากมายหรอกครับ พัดชาเป็น เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของผม เองน่ะครับ (อืม..เป็นความสัมพันธ์ที่ไกลสุดหล้าจริงๆ) นั่นแหละครับ สาเหตุที่เราได้(เคย)คุยกัน(บ้าง)
ดูเหมือนจะเป็นโชคชะตาครับ ที่ผมต้องเกิดมาเพื่อ โหวต ให้กับพัดชา เพราะตามจริงแล้วผมแอบเป็นแฟนคลับลับๆ (??!!) ของเธอมาร่วม 5 ปีแล้วล่ะครับ
อันนี้ต้องเท้าความครับว่า เมื่อ 4-5 ปีก่อน ที่ผมฟัง J-ROCK มากๆ แล้วก็ไปร่วมงานที่มีประกวดคอสเพลย์บ่อยๆ (COS PLAY - กิจกรรมแต่งตัวเลียนแบบนักร้องหรือตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) แล้วคนที่ผมเทใจ โหวต ให้ทุกงานก็คือ พัดชา เนี่ยแหละครับ (สาเหตุหนึ่งก็คือเธอแต่งเป็น mana มือกีต้าร์วง Malice Mizer เป็นประจำ ซึ่งเป็นมือกีต้าร์ที่ผมหลงเอามากๆในตอนนั้น) จำได้ว่าพัดชาคว้าแชมป์คอสเพลย์เป็นประจำครับ จนผมให้ฉายาเธอไปเลยว่า ราชินีคอสเพลย์
แหม เห็นมั้ยรัศมีเธอเปล่งประกายมาแต่ไหนแต่ไร
ผมรู้จักพัดชาก็เพราะวงการเพลงญี่ปุ่น พอเธอเข้ามาประกวดใน AF2 ก็ยังไม่วายที่เธอจะเกี่ยวกับ ญี่ปุ่นๆ จนได้ครับ เพราะรหัสที่ได้ก็คือ V6 (ใครที่ฟังเพลงญี่ปุ่นคงรู้กันว่า V6 เป็นวงบอยแบนด์ที่ดังมากๆ ของญี่ปุ่น
อ้อ ตอนนี้เริ่มไม่ บอย แล้ว เพราะตั้งวงมาเกือบ 10 ปีแหล่ว) และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผมได้ดูพัดชาเป็นครั้งแรกก็ตอนที่เธอร้องเพลง โดราเอมอน ครับ
โดเรมี่! เอ๊ย พัด V6 ตอนร้องเพลง โดราเอมอน (ส่วนน้อง mer เป็น โดราเอม่อง(เท่ง) ครับ)
จากที่ฟังเสียงร่ำลือประกอบกับข้อมูลจาก เพื่อนสนิท (อุ๊ย! โฆษณาแฝง) ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รังสีความเป็น สตาร์ ของพัดชาเจิดจ้าสุดๆ ในสัปดาห์ที่ร้องเพลง คนไม่รักดี ของวง Paper Jam
ได้ยินแบบนั้นแล้วผมล่ะช้ำชอกใจเหลือเกินที่ไม่ได้ดู แต่ทว่าฟ้า (อีกแล้ว) ก็ประทานโอกาสให้ผมอีกครั้ง เมื่อพัดชาจะร้องเพลง I Will Always Love You
ใครที่เข้ามาในบล็อก TU115 ของผมในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คงได้เห็นไปแล้วนะครับว่าผมกรี๊ดกร๊าดเอามากๆ กับ AF2 ในสัปดาห์นั้น ถ้าให้สรุปความรู้สึกตรงนี้อีกครั้ง ขอใช้สามคำครับ ขนลุก ยอดเยี่ยม และ เพอร์เฟ็กต์
ผมเชื่อว่าพัดทำได้ แล้วเธอก็ทำได้จริงๆครับ
พัด V6
I Will Always Love You (โปรดแทนสรรพนาม I และ You ตามความเหมาะสม / ถ้าไอ้คุณ UBCAF.COM มันงกรูปขนาดนี้ทำไม่เอาโลโก้ "คาดตา" พัดชาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะโว้ย!)
จนถึงตอนนี้ AF2 ก็ได้จบลงอย่างเป็นทางการแล้ว ผลของผู้ชนะเลิศก็ออกมาเป็นตามที่คาดไว้ ส่วนพัดชาก็ได้ตำแหน่ง อันดับสอง มาครอง อย่างภาคภูมิใจ
ไม่รู้พัดชาจะได้ยินมั้ย แต่สำหรับผม อันดับหนึ่ง ของงานนี้ คือ พัดชา ครับ
รวมภาพประทับใจของน้อง mer ต่อ AF2
สองสาวหมวยขวัญใจน้อง mer พัด V6 และ ลูกตาล V1
ช็อตที่กรี๊ดสติแตกคาบ้านจนหมาตกใจ พัด V6 และ บอย V8
AF2 จบลงไปท่ามกลางความรู้สึกมากมายของผู้คน บางคนดีใจสมหวัง บางคนเสียใจผิดหวัง บางคนยังกังขา มีคำถามอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เหนือสิ่งอื่นใดเราคงต้องไม่ลืมว่า Academy Fantasia เป็นเพียง เกมความบันเทิง ของคนดู และเป็น เกมการตลาด ของ UCB และผู้เกี่ยวข้อง
สำหรับนักล่าฝันทั้ง 12 คน ผมคิดว่า ณ ตอนนี้ พวกเขาเดินมาถึง สุดทาง แล้ว ไม่ว่าหมายความพวกเขาจะมาถึงทางตัน อันจนหนทาง แต่ที่เรียกว่า สุดทางของนักล่าฝัน เพราะพวกเขาหลุดพ้นจากสภาพของ นักล่าฝัน แล้ว เขาและเธอล้วนได้ ความฝัน นั้นติดตัวไป แม้จะต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง จากนี้ไปสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ข้างหน้าคือ ความจริง
ผมขอเอาใจช่วยให้พวกเขา ระแวดระวังย่างก้าวของเขาให้ดี เพราะว่า ความจริง นั้นมักจะโหดร้ายกว่า ความฝัน เสมอ
รางวัลแด่ นักล่าฝัน ที่ไม่ใช่ คนช่างฝัน อีกต่อไป
* เข้าไปดูเวบไซต์แฟนคลับของผัดฉ่า เอ๊ย! พัดชา ได้ที่นี่ครับ //www.patcha.net/
* ขอขอบคุณ วอ ที่ให้ข้อมูลเรื่อง AF2 กับเราเสมอมา รวมถึงรับฟังทุกเรื่องราวของเรา
ยกเว้น เรื่องราวในใจ (T___T)
อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก สุดรอยทางแห่งน้ำตา
ในที่สุดละคร อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก (Crying Out for Love, In the Center of the World) ก็จะจบลงในวันเสาร์ที่ 15 ตุลาคมนี้แล้วครับ มันเป็นเหตุที่ทำให้ผมต้องยอมเคลียร์คิวทุกอย่างออกไปจากชีวิตเลยครับ กระทั่งอดดูหนังเทศกาล World Film ก็ต้องยอม
ใครที่ติดตามดูละครเรื่องนี้ คงรู้สึกเหมือนผมว่า 3-4 ตอนหลังมา นับวันมันจะยิ่งเศร้า เศร้ามาก เศร้าโคตร จนจะไปถึงขั้นเศร้าชิบหายอยู่แล้ว ฮือ ฮือ ฮือ
ก็อย่างที่เคยให้เหตุผลไปแล้วครับว่าละครความยาวร่วม 10 กว่าชั่วโมง ย่อมสร้างความผูกพันกับคนดูมากกว่าหนัง 2 ชั่วโมงแน่นอน (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Crying Out ฉบับละครจะดีกว่าฉบับหนังใหญ่นะครับ ผมคิดว่าทั้งสองเวอร์ชันต่างก็มีข้อดีข้อเสียชดเชยกันไป)
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อากิ (แสดงโดย Haruka Ayase เล่นดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เธอได้รางวัลนักแสดงหน้าใหม่จากละครเรื่องนี้ด้วย) นางเอกของเรื่องถูกคุกคามด้วยโรคร้าย (โรคฮิตประจำละคร ลูคิเมีย ไงครับ) จนทำให้เธอต้องพรากจากกับคนรัก ซาคุ ไปตลอดกาล
ช่วงหลังๆ มาผมน้ำตาซึมกับละครเรื่องนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่สองตอนล่าสุด (ที่ออนแอร์เมื่อวันที่ 8-9 ตุลาคม) เป็นตอนที่ทำให้ผมร้องไห้หนักมากๆ
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนที่อาการของอากิถึงขั้นเลวร้ายที่สุด จนทำให้เธอหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อไป แต่แล้วซาคุก็ถามเธอว่า
ฮิโรเสะ อากิ ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้วหรือ
ฟังดูเป็นคำพูดธรรมดา แต่มันคงเป็นประโยคที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าคนที่พูดเป็นคนที่เรารัก และทำให้เรา อยากมีชีวิต อยู่ต่อไป
ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า อากิ เป็นคนที่เข้มแข็งเอามากๆ ถ้าผมต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้นล่ะก็ ผมชิงตายไปตั้งแต่ ตอนที่สามแล้วล่ะครับ (ฮา) ส่วน ซาคุ ก็เป็นผู้ชายที่ดีจนน่าใจหาย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าแฟนตัวเองนอนชักแหง่กๆ อยู่บนเตียงแบบนี้ผมจะทำได้แบบเขาหรือเปล่า
ผมรู้สึกว่าการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเผชิญกับ โรคร้าย มันเป็น เงื่อนไข ที่ยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับคนสองคน เพราะการที่เราคบกันอยู่ทุกวัน มีเรื่องราวมากมายที่ทำให้เราต้องทะเลาะสติแตกกัน เธอมาเร็ว ฉันมาสาย, เธอโทรมา ฉันไม่รับ, ฉันโทรไป เธอไม่โทรกลับ, เธอจะดูละคร ฉันจะดูบอล ฯลฯ
หากใครได้เรียนทฤษฎีภาพยนตร์มาบ้างคงกำลังคิดอยู่ในใจใช่มั้ยครับว่า ผมอินกับละครจนบ้าไปแล้ว เพราะใครก็รู้ว่าไอ้หนังดราม่าแบบนี้ มันต้องมีคุณสมบัติข้อหนึ่งแน่ๆ ก็คือ มันเป็นเรื่องราวประเภท Larger Than Life
ผมเองก็เคยมีความคิดอะไรเทือกๆนั้นอยู่เหมือนกันแหละครับ จนมีเรื่องหนึ่งที่ผมได้ฟังจากเพื่อนเร็วๆนี้ ที่ทำให้ผมต้องกลับมาคิดอะไรใหม่อีกครั้ง เรื่องนี้เหมือนละครช่องเจ็ดเด๊ะๆ เลยครับ นั่นก็คือ หนุ่มสาวนักศึกษาคู่หนึ่งเป็นแฟนกัน แต่ตัวผู้หญิงป่วยหนักมากจนต้องดร็อปเรียนไป (ทายสิครับ โรคอะไร
ถูกต้องนะคร้าบ! โรคลูคิเมีย ครับ) ฝ่ายหญิงไม่อยากนอนแห้งตายอยู่บ้าน ก็เลยขอร้องพ่อแม่เป็นอย่างสุดท้ายในชีวิตว่า หนูอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเขา ว่าแล้วพ่อแม่ของเธอก็เลยจัดแจงส่งลูกกับแฟนไปเมืองนอกตามคำขอของลูกสาว และในวันสุดท้ายของชีวิตเธอก็ได้อยู่กับคนที่เธอรักและอยากอยู่ใกล้มากที่สุด
(ปัจจุบันเธอเสียชีวิตไปแล้ว)
ถึงจะน่าเบื่อ แต่ก็คงต้องยกประโยคนี้ขึ้นมาอีกครั้งว่า บางทีชีวิตจริงกับละครก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เรื่องที่ผมเล่าไปข้างบนก็ตรงกับ เรื่องของอากิกับซาคุ อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะอากิเลือกจะใช้เวลาที่เหลือกับคนที่เธอรักเช่นกัน และเธอก็ขอให้เขาพาไปที่ออสเตรเลีย
แต่น่าเสียดาย ดูเหมือนออสเตรเลียจะไกลเกินไปสำหรับอากิ
ร่างของเธอล้มลงที่สนามบิน และในอ้อมกอดของซาคุเธอพูดว่า
ฉันรู้แล้วว่านรกน่ะไม่มีจริง แล้วสวรรค์ก็ไม่มีจริงด้วย
แต่สวรรค์น่ะอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่มีเธอไง ซาคุ
อากิไปไม่ถึงทั้งออสเตรเลีย ทั้งสวรรค์บนฟ้า แต่ดินแดนที่เธอไปถึงคือ สวรรค์ข้างกายเธอ
สัญลักษณ์ในละคร อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก
-ฝน- ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเหมือนผมหรือเปล่าว่าละครเรื่องนี้ใช้ ฝน เป็นตัวดำเนินเหตุการณ์สำคัญ อากิพบกับซาคุครั้งแรกตอนฝนตก เพราะเขาเอาร่มไปกางให้เธอ วันสุดท้ายที่ทั้งสองอยู่ได้กัน
วันนั้นฝนตก และวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างในใจซาคุคลี่คลาย วันนั้นฝนก็ตกเช่นกัน
เหตุการณ์ตอนนั้นก็คือ ลูกชายของโคบายาชิ (หญิงสาวที่มีความรู้สึกดีๆกับซาคุ) วิ่งมาหาซาคุ แต่เด็กน้อยไม่ทันมองว่ารถคันใหญ่กำลังพุ่งเข้ามา ซาคุตกใจจนทำ ขวด ที่บรรจุกระดูกของอากิตกแตก นั่นทำให้เขาลังเลไปชั่วขณะที่ก้าวออกไปช่วยเด็กน้อย โคบายาชิเลยโดดเข้ามาปกป้องลูกชาย และเธอก็ถูกรถชน
ซาคุนึกโทษตัวเองที่ทำให้ โคบายาชิ ต้องรับบาดเจ็บ เขาได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้เธอรอด ขอให้เธอรอด ขอให้เธอรอดทีเถอะ คนที่เขาภาวนาด้วยและเรียกร้องความช่วยเหลือคือ อากิ ซาคุพูดกับตัวเองว่า ความห่วงใยที่มีต่อคนที่ยังอยู่ มันรุนแรงกว่าความคิดถึงที่มีต่อคนตายมากนัก
-โทรศัพท์- อากิบอกว่าเธอมักจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังก้องอยู่ในหัวของเธอเสมอ เธอคิดว่ามันคือ เสียงเรียกที่จะนำเธอไปสู่สักแห่งหน แต่แท้จริงแล้ว เสียงนั้นคือ อาการของโรคลูคิเมีย เสียงนั้นคือ สัญญาณเตือน และในที่สุดมันคือสัญญาบอก หมดเวลา เพราะมันจะนำพาเธอจากโลกนี้ไป
ตลอดกาล
-เศษแก้ว- หลังจากโคบายาชิพ้นขีดอันตราย ซาคุย้อนไปที่เกิดเหตุ เขาพยายามจะเก็บเศษแก้วของขวดที่บรรจุเถ้าอัฐิของอากิ แต่มันก็บาดนิ้วของเขาจนเลือดไหล นั่นทำให้เขาคิดได้ว่านี่คือ อดีตที่ทิ่มแทงเขามาตลอด กระดูกของอากิที่เขานำติดตัวไปตลอดคือ อดีตที่เขาแบกรับไว้ตลอด 17 ปีเต็ม และในที่สุด ซาคุก็รู้แล้วว่าคำว่า ปัจจุบัน นั้นสำคัญขนาดไหน
ฝนยังคงตกต่อไป ฝนชะล้างเลือดของซาคุ ชะล้างความเจ็บปวดของเขา ฝนชะล้างเถ้ากระดูกของอากิ ชะล้างอดีตให้ลบเลือนไป พรุ่งนี้เช้า หยาดฝนบนพื้นถนนก็จะแห้งเหือดไป เป็นจุดสิ้นสุดของรอยทางแห่งน้ำตา
ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่า แม้แต่ละครออกอากาศทางโทรทัศน์ เขาก็ยังอุตส่าห์ใส่สัญลักษณ์ลงไปด้วย แต่จริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราล้วนมีความหมายแฝงนัยไว้ทั้งสิ้นแหละครับ เหมือนกับที่คอลัมน์ Symbolic Corner ในนิตยสาร BIOSCOPE สมัยก่อนใช้คำโปรยว่า ในชีวิตที่ถูกเล่า
ล้วนมีสัญลักษณ์ที่ซ่อนเร้น
ลองมาดูที่ AF2 กันมั้ยครับว่ามีอะไรซ่อนอยู่รึป่าว
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด โจทย์ของสัปดาห์สุดท้ายจะเป็นเพลงที่นักล่าฝัน เลือกเอง ทีนี้ผมคิดว่าเพลงที่แต่ละคนเลือกมาก็ย่อมสื่อความหมายอะไรบางอย่างถึงคนดูแน่นอน
บอย V8 เลือกเพลง ที่หนึ่งไม่ไหว (ไอน้ำ) เพราะรู้ตัวว่ายังไงตัวเองก็ไม่ได้เป็น ที่หนึ่ง บนเวทีนี้แน่นอยน ขอเป็นเพียง ที่สอง ก็พอ (แต่พี่บอยเดาพลาดไปนี้ดส์นะครับ เพราะพี่ดันได้ที่สามง่ะ แหะแหะ) แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ตาม วันนั้นลีลาของบอยก็ทำให้บอยเป็น ที่หนึ่งในใจ ของ(สาวๆ)หลายๆคน
ออฟ V4 เลือกเพลง ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอ (กุ้ง สุทธิราช) นอกจากเรื่องที่ว่า ออฟถนัดการร้องเพลงลูกทุ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ออฟอาจจะสื่อความก็ได้ว่า เขาไม่ได้อยากเป็น ผู้ชนะ เขาอยากจะเป็น พระเอกในหัวใจ ของคนดูมากกว่า
พัด V6 เลือกเพลง บัลลังก์เมฆ (มัลลิวัลย์ เจมิน่า) อันนี้น่าจะคล้ายออฟ นั่นคือ เธอเลือกเพลงที่สามารถแสดง ศักยภาพ ของเธอได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเนื้อหาในเพลง หวังว่าผมคงจะเข้าใจไปไม่ผิดว่าพัดกำลังจะบอกพวกเราว่า เธอรู้ดีว่าทุกสิ่งเป็นเพียงมายา
ผมลองคิดดูถึง สัญลักษณ์ ที่เคยพัดผ่านเข้ามาในชีวิต ก็คิดได้เรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ฝน
หลายปีก่อน สมัยที่ผมคบอยู่กับคนคนหนึ่ง มันมีเรื่องน่าแปลกที่ว่าเวลาเรานัดเจอกันทีไร ฝน จะต้องตกทุกที จนวันหนึ่งเธอก็พูดขึ้นมาว่า เวลาเรานัดเจอกันทีไร ฝนตกทุกทีเลยเนาะ
จนถึงวันนี้ ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ในคำพูดนั้นมีอะไรที่เธออยากจะบอกผมอยู่หรือเปล่า
อาจจะคล้ายกับที่นางเอกเรื่อง 5x2 บอกกับพระเอกก็ได้ว่า ทะเลนี้คลื่นแรงมากนะคะ คุณจะลงเล่นน้ำกับฉันมั้ย
อย่างไรก็ตาม หากว่ามันไม่ได้มีความแฝงนัยอะไร ผมคิดว่ามันอาจจะเป็น ลาง
และแน่นอนมันถือเป็น ลางร้าย
คนบางคนพระเจ้าแค่ส่งมาให้เจอกัน แต่ไม่ให้มาอยู่ด้วยกัน อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก
* ติดตาม อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก ตอนอวสาน ได้ วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม เวลา 12.00-13.00 ทางช่อง ITV
* เวบไซต์ทางการของละคร อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก อยู่ที่ //www.tbs.co.jp/sekai-ai/
* ข้อมูลภาษาไทยจากเวบไซต์ ITV //www.itv.co.th/s1000_obj/front_page/page/782.html?content_category_id=278
* เคยเขียนถึง Crying Out ฉบับหนังใหญ่ไว้ ที่นี่ ครับ
โมโม่ ที่รัก
โคยูกิ ที่ร้ากกกก~~~กกกก
สงสัยว่าทาง ITV จะกลัวแฟนๆ ซีรี่ย์ญี่ปุ่นเศร้าเกินไปจากละคร อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก ดังนั้น ITV ก็เลยเอาละคร FEEL-GOOD เรื่องนี้มาฉายต่อทันที
ละครเรื่องใหม่ที่กำลังจะมาฉายนี้ก็คือ โมโม่ที่รัก (Kimi wa Petto / Youre My Pet) ซึ่งสร้างจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกัน (มีขายในบ้านเราจาก นสพ.บงกช) เรื่องราวของสาวเก่ง หน้าที่การงานดี แต่กำลังสับสนในชีวิต
วันหนึ่งมีกล่องปริศนามาวางหน้าบ้านเธอ พอเธอเปิดดูก็เจอเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดๆอยู่ในกล่องนั้น และด้วยบุคลิกท่าทางของเขาที่เหมือน หมาน้อย ไม่มีผิด เธอก็เลยตั้งชื่อให้เขาว่า โมโม่ และตัดสินใจ เลี้ยงเขาไว้ (??!!)
โมโม่ที่รัก นำแสดงโดย โคยูกิ เจ้าแม่ซีรี่ย์อีกคนหนึ่งของวงการ ส่วนในหนังใหญ่เธอเคยเล่นเรื่อง Kairo (2001), Laundry (2002) และโกอินเตอร์ในเรื่อง The Last Samurai (2003) เธอดังมากๆที่ญี่ปุ่น จับตาเธอให้ดี
ฝ่ายชายนำโดย จุน มัตสึโมโต้ จากวง ARASHI วงนี้เพิ่งออกอัลบั้มใหม่มาหมาดๆ และมีแผ่นลิขสิทธิ์ขายในบ้านเราด้วย
เพลงธีมของละครเรื่องนี้ คือเพลง Darling ของวง V6 เพลงนี้น่ารักสุดๆ ผมชอบมากๆ (หาฟังเพลงนี้ได้ในอัลบั้ม BEST OF J-POP 2004 ของค่าย Red Beat)
โมโม่ที่รัก ออกอากาศที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2003 ซึ่งได้รับความนิยมสุดๆ และเหมาคว้ารางวัลไปเกือบหมดทั้ง ละครยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยม
ไม่อยากจะพลาดเลย แต่สงสัยต้องอดดูไปหลายตอน เพราะงาน World Film เนี่ยแหละ ฮือ ฮือ ฮือ
* โมโม่ที่รัก ฉายทางช่อง ITV วันเสาร์-อาทิตย์เวลา 12.00-13.00 เริ่มออกอากาศ วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม
*เวบไซต์ทางการของละคร โมโม่ที่รัก อยู่ที่ //www.tbs.co.jp/kimipe/
เพลงที่ชอบในช่วงนี้
1. Orange Range - Kizuna ทำนองของเพลงนี้สวยมากๆ โดยเฉพาะตรงที่เป็นเครื่องสายญี่ปุ่น และมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นมากๆ (ผมได้ดูทาง CHANNEL V) พวกเขากำลังจะมีอัลบั้มชุดที่สามชื่อว่า NATURAL ออกมาเร็วๆนี้ (วงนี้คือวงที่ร้องเพลง HANA ในหนังเรื่อง Be With You)
2. Utada Hikaru - Be My Last เพลงประกอบหนังเรื่อง Haru no Yuki ของ ผกก.อิซาโอะ ยูกิซาดะ นำแสดงโดย ซาโตชิ ทสึมาบูกิ และยูโกะ ทาเคอุจิ (แถมยังมีพี่โอ-อนุชิต กับหนุ่ม-สุวินิต เล่นด้วยนะ!) เพลงนี้ออกมาไล่เลี่ยกับเพลง HEAVEN ของ Ayumi Hamasaki พอดี (ซึ่งอันหลังประกอบหนังเรื่อง SHINOBI ที่นำแสดงโดย โจ โอดากิริ และยูคิเอะ นาคาม่า) ผลของการปะทะกันครั้งนี้ปรากฏว่า
เสมอกันอย่างสูสีขอรับ! (ตอนนี้ Be My Last ขึ้นอันดับหนึ่ง Oricon Chart ไปแล้วเรียบร้อยจ้า)
3. REIRA starring YUNA ITO - Endless Story เพลงประกอบจากหนังเรื่อง NANA ที่ก่อนหน้าปล่อยเพลงโคตรเท่อย่าง Glamorous Sky (ร้องโดย Mika Nakashima ทำนองโดย Hyde วง LArc~en~Ciel) ออกมาดังถล่มทลายไปแล้ว เพลงนี้เป็นเพลงที่ซึ้งสุดๆ แล้วนักร้องก็เสียงดีมากๆ
ข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับ Yuna Ito เธออายุ 22 ปี เกิดที่ฮาวาย เธอเรียนร้องเพลงตั้งแต่ 5 ขวบ โดยมีต้นแบบการร้องเพลงคือ เจเน็ท แจ็คสัน และมารายห์ แครี่ (อืม
แบบนี้ต้องเอาน้องพัด V6 มาสู้ด้วย) เธอกำลังมุ่งมั่นจะเป็นนักร้องให้ได้ เชื่อว่าเธอจะดังแน่นอน (ข้อมูลจากรายการ J-POP)
4. Goldfrapp - Ooh La La Goldfrapp เป็นวง experimental electronic จากอังกฤษ ซิงเกิ้ลนี้มาจากอัลบั้มชุดที่สามที่ชื่อว่า SUPERNATURE มิวสิกวิดีโอเพลงนี้เก๋มากๆ (อ้อ วงนี้เคยมีเพลงในหนังเรื่อง Talk to Her ด้วย)
5. t.A.T.u. - All About Us ไม่ว่าใครจะว่าวงนี้เป็นขยะ ตุ๊กตา หุ่นเชิด หรือคู่เลสเบี้ยนจอมปลอมก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว อัลบั้ม 200 KM/H IN THE WRONG LANE (2002, A+++++++) คือ มาสเตอร์พีซ ครับ
เสียดายเพลงเปิดตัวอัลบั้มชุดใหม่ (Dangerous & Moving) เพลงนี้ไม่ค่อย แรง และ สติแตก เท่าที่ควร แต่มิวสิกวิดีโอยังแรงเหมือนเคยจ้าาาา
หนังสือที่ได้อ่านในช่วงนี้
1. มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ ตอนที่ 6 โรงละครสยองขวัญ (1982, อาคากะวา จิโร, B+) มีใครรู้สึกเหมือนผมบ้างมั้ยว่า ตั้งแต่เล่ม 5 มาเนี่ย มิเกะฯ มันสนุกน้อยลงยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะเรา รู้ทัน มุกของซีรี่ย์ชุดนี้แล้วก็ได้
สิ่งที่ไม่ค่อยชอบใจในตอนนี้ก็คือ การผูกปมไว้เป็นแสนล้านแปด แต่กลับใช้เวลาเฉลยเพียงประมาณครึ่งหน้า ฮ่วย! อารมณ์เสียน่ะเนี่ย!
2. Calling You โทรศัพท์สลับมิติ (2001, โอตสึ อิจิ) เพิ่งอ่านไปตอนเดียวคือ ตอนแรกที่ชื่อว่า โทรศัพท์สลับมิติ (A++++++++++++++++) ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนอยากจะตบกบาลตัวเองที่ดองหนังสือเล่มนี้ไว้เกือบสองปี และอยากให้ผู้กำกับเก่งๆสักคนเอาไปเป็นสร้างเป็นหนัง (เท่าที่ทราบคือเคยมีเอาไปทำเป็นละคร)
ตั้งใจไว้เลยว่าจะตามอ่านงานของโอตสึ อิจิให้หมดภายในปิดเทอมนี้ให้ได้ (เพราะซื้อมาดองไว้เป็นชาติแล้ว)
โฆษณาที่ชอบในช่วงนี้
AIS - คนญี่ปุ่น (อันที่มีเพลงญี่ปุ่นเพราะๆ อันนั้นแหละครับ) แม้จะเกลียดเครือข่ายมือถือเจ้านี้เข้าไส้ แต่ยอมรับว่าชอบโฆษณานี้มากถึงมากที่สุด ดูไปร่วมสิบแปดรอบแล้วก็ยังไม่เบื่อ และหากผู้ใดทราบว่าเพลงประกอบโฆษณานี้คือเพลงอะไรล่ะก็ โ ป ร ด บ อ ก ห นู ที ! ! ! !
เร็วๆนี้
พบกับ
- บทวิจารณ์หนังเรื่อง 3-Iron ของคิมคีด็อค (หนังที่คาดว่าจะติด 1 ใน 10 หนังยอดเยี่ยมปีนี้ของน้อง mer ชัวร์) หนังจะเข้าฉาย 13 ตุลาคมนี้ (ห้ามพลาดเด็ดขาด!)
- ภาคต่อของชุด ตะลุยเทศกาลหนัง ในงาน 3rd World Film Festival of Bangkok
อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ โปรดอย่าหวังอะไรมากมายกับน้อง mer เลยครับ เพราะผมเป็นคนไม่มีอะไรเลย แม้แต่ ความหวัง
สิ่งเดียวที่ผมมีคือ ความหวังดี ครับ (อ้วกก
.)
ปล. โหวต กระรอกร้อย ออฟ V4 กันไปมากแล้ว อย่าลืมโหวตให้ ก็อตซิลล่าน้อย mer V69 บ้างนะครับ
Create Date : 10 ตุลาคม 2548 |
|
28 comments |
Last Update : 11 ตุลาคม 2548 3:25:22 น. |
Counter : 4464 Pageviews. |
|
|
|
ตัวแทน หนังชิงออสการ์ ของแต่ละประเทศในเอเชีย
ไทย มหาลัยเหมืองแร่ (อื้มม ก็ดีที่สุดแล้วนี่เนาะ)
ญี่ปุ่น Blood And Bone (เพิ่งมาฉายที่ House เมื่อต้นปี)
เกาหลีใต้ Welcome to Dongmakgol (หนังเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ-ใต้ อีกแล้ว / นางเอกคือ คังเฮจุง ที่เล่นเรื่อง Oldboy)
จีน The Promise (งานฟอร์มยักษ์ของ ผกก.รุ่นที่ห้า เฉินข่ายเก๋อ งานนี้แกจะ คัมแบ็ก ได้หรือไม่ ต้องมาลุ้นกัน)
ฮ่องกง Perhaps Love (หนังโรแมนติก-ดราม่า-มิวสิกเคิล ของปีเตอร์ ชาน ได้ดุตัวอย่างแล้ว ดูน่ามาก มาก มาก)