http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
17 เมษายน 2555
 
All Blogs
 

ทริปสังคโลกเบอร์ลิน อินดี้อย่างคลาสสิก : DAY 2 บุกเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคฮอลล์

by merveillesxx


หมายเหตุ

1) บทความนี้เป็นบันทึกประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ใช่คู่มือการท่องเที่ยว

2) มีการใช้คำหยาบคายมากมาย


=================


หลังจากนั่งเครื่องบินจนตูดบานสิบห้าชั่วโมง ในที่สุดคณะเดินทางของเราก็มาถึงสนามบินเทเกลเสียที เคยมีคนบอกมาว่าเทเกลเปรียบเหมือนดอนเมือง คือสนามบินจะเล็กมาก ส่วนสนามบินใหม่ Brandenburg Airport สุวรรณภูมิของเบอร์ลิน จะเปิดใช้ในเดือนมิถุนายนปีนี้

ความเล็กของเทเกลนี่มันเล็กจนฮากว่าที่เราคิด กล่าวคือ พอเดินออกมาจากงวงทางเดินเครื่องบินปุ๊บ ด่าน ตม. จะรอเราอยู่เลย ไม่ต้องไปแผนก Immigration ใดๆ ทั้งสิ้น คุณพี่มารอแล้วจ้า นัยว่าถ้ามีปัญหา ส่งมึงกลับลำเดิมได้เลย ตม. ที่นี่ดูหน้าเย็นๆ ตามสไตล์คนเยอรมัน แต่ของเราผ่านฉลุย โดยไม่ถูกซักถามใดๆ

เทเกลยังเล็กจนฮาต่อไป เพราะหลังจากผ่าน ตม. แล้ว เดินออกมาปุ๊บ เจอรางเลื่อนรับกระเป๋าทันที ไม่ต้องเสียเวลาเดินหาเช่นกัน เออ สะดวกดีเว้ย


ยืนรอรับกระเป๋ากันทันที

รอกระเป๋าด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะกลัวว่าจะซวย เช่นว่า กระเป๋าไปค้างอยู่ที่อาบูดาบี แต่รออยู่พักใหญ่ก็เห็นกระเป๋าพวงกุญแจแทยอน ตะโกนลั่นสนามบิน “เจอแทยอนแล้ว!” คนอื่นคงงง อีนี่เป็นบ้าอะไร สรุปแล้วชาวคณะทุกท่านได้รับกระเป๋าโดยสวัสดิภาพ เดินทางต่อไปยังประตูหน้า เพราะเรามีนัดกับคุณจอร์จ ซึ่งเป็นไกด์ที่ทางสถาบันเกอเธ่จัดหามาให้


คุณพี่ผู้ชายด้านซ้ายมือนี่เองคือ คุณจอร์จ ไกด์ของเรา


จอร์จพาเราไปซื้อตั๋วรถไฟสำหรับเจ็ดวัน ราคาพันกว่าบาท แต่สภาพดูไร้ราคามาก

คราวแรกเราเข้าใจว่าคุณจอร์จคงพาเราไปโรงแรมด้วยการนั่งแท็กซี่ หรือมันน่าจะมี Airport Bus ที่สะดวกสบาย แต่ทว่า...คุณจอร์จคงอยากให้เราสัมผัสวิถีชีวิตชาวเบอร์ลินตั้งแต่วินาทีแรกที่เท้าแตะพื้นดิน ดังนั้นคุณจอร์จจึงพาเรา...นั่งรถเมล์!!!!

ด้วยเหตุนี้เองพวกเราสิบกว่าชีวิตจึงต้องพากันลากกระเป๋าอันควายขึ้นรถเมล์อย่างทุลักทุเล ซึ่งรถเมล์อันนี้ ไม่ใช่ Airport Bus แต่อย่างใด มันคือรถเมล์ธรรมดานี่แหละ ขนาดใหญ่กว่ารถ ปอ. สีเหลืองบ้านเรานิดนึง พวกเราชาวไทยสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวเบอร์ลินอย่างมาก เพราะสัมภาระของพวกเราไปขวางทางจนเดินกันแทบไม่ได้


แถมรถก็เสือกแน่นอีก ต้องมีคนยืนเลยทีเดียว


ดูสิ กระเป๋าเกะกะขวางทางเค้าไปหมด

ขณะนั่งรถเมล์ สัมผัสได้ถึงสายตาชิงชังเย็นชาของชาวเบอร์ลิน แต่ก็ทำเป็นเม้ามอยกลบเกลื่อนกันไปเรื่อย สักพักจอร์จก็บอกให้ลง เพราะเราต้องนั่งรถไฟใต้ดินต่อ (ห๊ะ! ยังไม่ถึงอีกเรอะ!) ซึ่งรถใต้ดินของเบอร์ลินไม่มีบันไดเลื่อนด้วย กูก็ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดทีละขั้นๆ ขาลงไปใต้ดินน่ะไม่เท่าไร แต่อีตอนขาขึ้นไปบนดินเนี่ยสิ ...กูจะบ้าตาย จอร์จครับ มึงจะตัดกำลังกูตั้งแต่วันแรกทำไมเนี่ยยยยยย


ลากกระเป๋ากันต่อไป (ทำไมสถานีดูอึมครึมน่ากลัวมาก หยั่งกะอุโมงค์ตรงจุฬา)


ถึงแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยย!

โรงแรมที่เราพักมีชื่อว่า Hotel Amano เป็นโรงแรมสามดาว ห้องพักอาจจะแคบหน่อย แต่โดยรวมถือว่าดี staff น่ารัก พูดจาเป็นมิตร (หน้าตาดีก็หลายคน) แอบขัดใจเล็กน้อยที่พวกอุปกรณ์นู่นนี่ในห้องน้ำไม่เยอะเท่าไร มีให้แค่ไดร์เป่าผมกับสบู่ แค่นี้แล้วจบเลย แต่เมื่อคิดว่าค่าโรงแรมนี่ไม่ต้องออกเอง ก็สำเหนียกได้ว่าไม่ควรบ่นอะไรมาก


ห้องนอนของเรา

ที่ Amano เสิร์ฟอาหารเช้าตั้งแต่ 6.30 ถึง 11.00 (นานดีจังแฮะ) พอดีว่าพวกเราไปถึงกันช่วงเก้าโมง เลยมีบุญได้ทานอาหารเช้าด้วย ซึ่งของที่มีมันจะเหมือนเดิมทุกวัน ออมเล็ต, แฮมๆ หมูๆ ทั้งหลาย, แล้วก็ขนมปังสารพัดชนิด ไม่ค่อยมีผักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแตงกวาดอง (ที่เราแสนจะเกลียด) ต้องกินอาหารเช้าแบบนี้ไปอีกหกวันรวด


บริเวณที่ทานอาหารเช้า พอดีเป็นตอนสายๆ คนเลยเยอะ


ไอ้ก้อนกลมๆ นี่แหละคือตัวช่วยชีวิต เหมือนเนื้อหมูก้อนๆ อะไรสักอย่าง ส่วนพวกแฮมหรือเบคอนจะเค็มมาก ต้องกินคู่กับอย่างอื่น

จอร์จบอกว่าจะมารับพวกเราอีกทีตอนบ่ายโมง ดังนั้นก็มีเวลาว่างนิดหน่อย เลยคิดว่าออกไปเดินเล่นรอบโรงแรมดีกว่า บริเวณรอบที่พักของเราก็ดูร้านรวงเยอะ ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเหล้า ร้านเสื้อผ้า ฟิตเนส แต่ตอนกลางวันดูเงียบเหงา ไร้ผู้คน เดาว่าคงทำงานกันอยู่

เดินสำรวจต่อไปเรื่อยๆ สิ่งที่พบตลอดทางคือ...




ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นกราฟิตี้หรือมือบอนกันแน่ แต่แม่งฉีดแม่งพ่นกันตลอดทางจริงๆ บางอันก็สวยมาก แต่บางอันก็ดูเหมือนที่เขียนตามห้องน้ำห้างบ้านเรา


แล้วก็จะมีตึกลายเก๋ๆ แบบนี้เยอะมาก


หนึ่งในพาหนะยอดนิยมของคนเบอร์ลินคือ จักรยาน เห็นทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาวและพนักงานนออฟฟิศใช้กัน

หลังจากเดินไปไกลพอสมควร ก็เกือบจะบ่ายโมงแล้ว เลยเดินกลับโรงแรม เหลือเวลาอยู่นิดหน่อย ขอแวะเล่นเน็ต ส่งเมลหาแม่หน่อยว่ารอดชีวิตมาถึงเบอร์ลินแล้ว


คอมของโรงแรมจะมีอยู่สองเครื่อง เป็นห้องคอมแยกออกมาเลย อย่างที่เห็นว่ามันซ่อนตัว CPU ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถต่อช่อง USB ได้ ตอนอยู่ที่นู่นเลยอดอัพรูปเก๋ๆ แร่ดๆ และด้วยความที่เค้ามี Wi-Fi ฟรีในห้องพัก ห้องคอมนี้เลยเหมือนจะมีกูใช้บริการอยู่คนเดียว


พอไปเข้าห้องน้ำ พบปัญหาคือ โถฉี่แม่งสูงมาก

เดินออกมาที่ล็อบบี้ พี่จอร์จของเรามานั่งหน้าเย็นรออยู่แล้ว ก่อนจะมาที่นี่หลายคนเตือนมาแล้วว่าคนเยอรมันเคร่งครัดเรื่องการตรงเวลามากกกกกกกกกกกกก จอร์จจะมาก่อนเวลานัดประมาณ 10-15 นาทีเสมอ แต่สิ่งที่จอร์จไม่รู้คือ ...คนไทยไม่ได้เป็นแบบพี่อ่ะครับ แหะๆๆ ชาวคณะของเราลงมาที่ล็อบบี้กันแบบชิวๆ บางคนลืมของ บางคนขอขึ้นไปเอาไอ้นู่นไอ้นี่ที่ห้อง แล้วโรงแรมนี้ดันมีลิฟท์แค่ตัวเดียว ยิ่งนานเข้าไปอีก เริ่มเลทจากเวลานัดมากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้ว่าพี่จอร์จแกเริ่มทำหน้ามาคุ รอกันอยู่นานกว่าจะครบองค์ประชุม

สถานที่แรกที่เราจะไปคือ ฮอลล์คอนเสิร์ตของวงเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิค อันที่จริงตามแพลนแล้วพวกเราจะได้ดูวงนี้แสดงสดด้วย กูดันไปโม้กับหลายคนเลยว่า “ชั้นจะได้ดูวงเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคนะเธอ วงออเคสตร้าระดับโลกเชียวนะ!” แต่อนิจจา ปรากฏว่าช่วงที่เราไป ทางวงไปทัวร์ที่ซาลซ์บูร์ก ประเทศออสเตรียพอดี (แป่ววววววววว) พวกเราเลยได้ดูคอนเสิร์ตของวงอื่น และเยี่ยมชมฮอลล์ของวงแทน (อนึ่ง ได้รับทราบข้อมูลมาว่าเคยมีคนติดต่อให้วงเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคมาเล่นที่เมืองไทย แต่สู้ค่าตัวไม่ไหว ค่าตัวพวกเขาแค่สิบสองล้านบาทเองจ้า วะฮะฮ่าาาาาา)

จอร์จพาเรานั่งรถไฟใต้ดินอีกครั้ง ถึงตอนนี้เราเริ่มสังเกตถึงความอัศจรรย์ของรถไฟเบอร์ลิน นั่นคือ ...มันไม่มีที่ตื๊ดตั๋ว! เราสามารถเดินลิ่วๆ ตัวเปล่าๆ เข้ารถไฟไปได้เลย นี่เป็นสิ่งที่อะเมซซิ่งมากสำหรับข้าพเจ้า เลยรีบไปถามจอร์จเลยว่าตกลงมันยังไงกันแน่ เฮียจอร์จอธิบายว่า อ้อ ที่นี่เนี่ย ไม่มีที่ตื๊ดตั๋วอะไรหรอก เขาใช้ระบบความไว้ใจ คือเราจะต้องซื้อตั๋วตามตู้อัตโนมัติเอง แล้วอาจจะมีตำรวจคอยสุ่มตรวจตั๋วตามสถานี (แต่ตลอดเวลาเจ็ดวันที่อยู่ที่นี่ กูไม่เคยเจอตำรวจเลย) ดังนั้นถ้าใครจะลักไก่ขึ้นรถก็ย่อมได้ แต่ถ้าถูกจับก็โดนปรับนะจ๊ะ โดยตั๋วเจ็ดวันที่เราซื้อมาเนี่ย ใช้ขึ้นได้ทั้งรถลอยฟ้า/ใต้ดิน รวมถึงรถรางและรถเมล์ด้วย ...เยี่ยมจริงๆ ซึ้งใจน้ำตาไหล ระบบขนส่งมวลชนเบอร์ลินจงเจริญ!

เบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคฮอลล์อยู่แถวๆ Potsdamer Platz (Platz แปลว่า จตุรัส) ตามปกติแล้วเราสามารถนั่งรถไฟสาย U2 ไปอย่างง่ายดาย แต่ก่อนพวกเรามา ดันเกิดเหตุอาเพศท่อประปาแตกหรือน้ำรั่วอะไรสักอย่าง ทำให้รถไฟหยุดวิ่งระหว่างสถานี Mohrenstr. (str. ย่อมาจาก straße แปลว่า street) กับ Potsdamer Platz ระหว่างสองสถานีนี้เราเลยต้องใช้วิธีเดินเอา เท่าที่สังเกตคือ พอรถหยุดปุ๊บ มีประกาศเป็นภาษาเยอรมันเท่านั้น ไม่มีภาษาอังกฤษ (เหมือนที่กูเจอตอนรถหยุดที่เกาหลีเลย!) เราบอกจอร์จว่า ถ้าไม่มียู ไอคงเหวอแย่เลย จอร์จบอกว่า “อย่าว่าแต่ยูเลย คนเบอร์ลินก็ประสาทแดกกับเรื่องนี้เหมือนกัน”


มาถึง Potsdamer Platz แล้ว ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ (คำว่า Bahnhof แปลว่า station) เปรียบไปแล้วคงเหมือนสยามบ้านเรา เป็นศูนย์รวมความเจริญ เต็มไปด้วยห้างใหญ่ โรงหนังอลังการ เทศกาลหนังเบอร์ลินเค้าก็จัดกันแถวนี้


แลนด์มาร์คสำคัญของ Potsdamer Platz คือ ตึก Sony Center


จุดเด่นของ Sony Center คือดีไซน์ที่สุดขีดมากๆ ตรงช่วงหลังคา (และไอ้รูโหว่ๆ นี่เองที่ทำให้เวลาฝนตก เปียกกันถ้วนหน้า กูเจอมาแล้ว)


เดินเลยมาอีกนิด จะเจอเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคฮอลล์อยู่ฝั่งตรงข้าม รูปทรงตึกดูประหลาด เพราะผู้สร้างออกแบบให้เป็นทรงห้าเหลี่ยม


มาถึงข้างหน้าแล้ว แอบตื่นเต้นนะเนี่ย สถานที่มันขลังมากๆ (สังเกตโลโก้ จะเป็นรูปห้าเหลี่ยมซ้อนๆ กัน)

พวกเรานัดเจ้าหน้าที่ของทางฮอลล์ไว้ตอนบ่ายสอง แต่เนื่องจากเราดันมาก่อนเวลา เลยต้องยืนตากลมหนาวกันอยู่พักหนึ่ง พอบ่ายสองตรงเป๊ง ก็มีคนเปิดประตูออกมาทันที กูเชื่อแล้วว่าคนเบอร์ลินแม่งตรงต่อเวลาจริงๆ คนที่มาต้อนรับเราเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก ท่าทางเธอดูร่าเริงมากกกก มากเสียจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นคนเยอรมัน เพราะโดยทั่วไปแล้วคนเยอรมันออกจะแข็งๆ เย็นๆ หน่อย แถมภาษาอังกฤษของเธอก็ดีมาก ชัดแจ๋ว ฟังออกทุกคำเลย


ภายในฮอลล์ จะเห็นว่าดีไซน์ออกไปทางบูดๆ เบี้ยวๆ สูงๆ ต่ำๆ


กระจกสีๆ เป็นอีกจุดเด่นของฮอลล์นี้ โดยฝั่งหนึ่งจะเป็นสีโทนร้อน อีกฝั่งจะเป็นสีโทนเย็น


นี่แหละ โฉมหน้าของเจ้าหน้าที่พาชมฮอลล์ เราขอเรียกเธอว่า เจ๊ร่าเริง แล้วกัน (พอดีว่าจำชื่อเธอไม่ได้)


เข้ามาปุ๊บจะเจอภาพปรินท์อันใหญ่นี้ เป็นงานของศิลปินคนนึงที่ถ่ายภาพตัวเองกับทุกซอกทุกมุมของฮอลล์นี้ แล้วเอามารวมเป็นภาพเดียว ใช้เวลาทำนานมาก ที่ฮาคือ เค้ามีซ่อน gimmick เก๋ๆ ไว้ เช่น มีคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวศิลปินซ่อนอยู่ แต่มีแค่คนเดียว ถ้าหาเองไม่มีทางเจอแน่ๆ ต้องให้ศิลปินเฉลย

เจ๊ร่าเริงให้ความรู้กับเราว่าคนออกแบบฮอลล์มีชื่อว่า Hans Scharoun เป็นสถาปนิกชาวเยอรมัน สาเหตุที่ฮอลล์ออกมาเบี้ยวๆ แบบนี้เพราะว่าพี่แกเป็นคนที่คลั่งไคล้รูปทรงห้าเหลี่ยมมาก สมุดสเก็ตช์ของแกมีแต่รูปห้าเหลี่ยมเต็มไปหมด (แอบหลอนนะเนี่ย) แล้วแกก็ชอบเรือมาก ดังนั้นฮอลล์นี้จะมีบันได + ระเบียงเป็นระยะ เหมือนกับดาดฟ้าเรือนั่นเอง เจ๊เล่าว่าช่วงที่สร้างฮอลล์ใหม่ๆ คนในวงการดนตรีบางคนถึงขั้นรับไม่ได้กับความล้ำของฮอลล์นี้

จากนั้นเจ๊ร่าเริงพาเราไปสู่ความเอ็กซ์คลูซีฟสุดขีด นั่นคือ พาเข้าไปฮอลล์คอนเสิร์ต ซึ่งตอนนี้กำลังมีวงซ้อมกันอยู่ กรี๊ดดดด เป็นโมเมนต์ของชีวิตที่หาไม่ได้ง่ายๆ เจ๊พาเราขึ้นไปที่ชั้นสอง และขอร้องว่าช่วยเงียบกันสุดชีวิตเลยนะคะ เพราะเค้าซ้อมกันอยู่


มองลงไปก็เห็นเค้าซ้อมกันขะมักเขม้น

เข้าไปฟังการซ้อมสดๆ ในฮอลล์แล้วรู้สึกว่าเสียงในฮอลล์ดีมันดีมากๆ ไม่รู้ว่าอุปทานไปเองหรือเปล่า คอนดัคเตอร์ท่าทางเนี้ยบน่าดู หยุดซ้อมเป็นพักๆ ชี้แก้นักดนตรีคนนั้นทีคนนี้ที ซึ่งกูก็แสนจะโง่งมมาก เพราะมารู้ทีหลังว่า ไอ้วงที่เราดูเค้าซ้อมเนี่ย คือวงที่เราจะดูคอนเสิร์ตในอีกสองวันข้างหน้า แถมคอนดัคเตอร์จู้จี้คนนี้ก็คือ Daniel Barenboim วาทยากรระดับท็อปของโลก!

เกาะระเบียงดูการซ้อมด้วยความตื่นตาตื่นใจอยู่พักนึง เจ๊ร่าเริงก็เรียกพวกเราออกเดินกันต่อ คราวนี้เจ๊จะไปพายังฮอลล์เล็ก ซึ่งมีไว้สำหรับเล่นดนตรีแชมเบอร์




อันนี้คือกระจกสีๆ ฝั่งที่เป็นสีโทนเย็น เหมาะกับการแอ็คท่าถ่ายรูปกิ๊บเก๋ แต่คนอื่นเค้าตั้งใจฟังเจ๊ร่าเริงบรรยายอยู่ เลยต้องสำรวม


นี่เองคือฮอลล์เล็กสำหรับแชมเบอร์มิวสิก ความเก๋ของเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคฮอลล์ คือที่นั่งจะเป็นแบบ 360 องศา


เจ๊ร่าเริงยังคงเลคเชอร์อย่างลัลล้าต่อไป


เพดานก็ไม่วายกิ๊บเก๋

จบการทัวร์รอบฮอลล์ คิวต่อไปเราได้พบคุณพี่ผู้หญิงที่ทำหน้าที่ดูแล Berlin Philharmonic เพื่อให้ชาวคณะสอบถามเกี่ยวกับวง ตอนแรกก็เหวอแดกทีเดียว ว่ากูจะไปถามอะไรเค้าฟระ เพราะพวกเราส่วนใหญ่ไม่ใช่สายคลาสสิกโดยตรง โชคดีที่ทริปครั้งมี อ.บวรพงศ์ มาด้วย อาจารย์เป็นคนที่รักเพลงคลาสสิกเข้าเส้น และฟังเพลงแนวนี้มายี่สิบปี อ.บวรพงศ์ แกเลยซัดคำถามตูมๆๆๆ เช่นว่า พอวงเบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคเปลี่ยนคอนดัคเตอร์จากยุคของ Herbert von Karajan มาเป็นยุค Simon Rattle แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง แต่ทว่าเรื่องที่พวกพี่คุยเนี่ย มันช่าง insight เสียเหลือเกิน ข้าพเจ้าเลยได้แต่นั่งฟังตาปริบๆ มีเกือบหลับบ้าง แต่ได้ความรู้เยอะเหมือนกัน


อ.บวรพงศ์ ถามแหลก

คุณพี่ผู้หญิงเล่าว่า Berlin Philharmonic พยายามเข้าถึงคนดูเช่นกัน ไม่ได้อยากให้เพลงคลาสสิกเป็นอะไรสูงส่ง อย่างคนจะแต่งตัวมาดู ก็ไม่ต้องใส่สูทวุ่นวาย ที่เบอร์ลินเนี่ยจะใส่ยีนส์ดูเพลงคลาสสิกก็ไม่มีใครว่า นอกจากนั้นทางฮอลล์ยังพยายามจัดโปรแกรมที่หลากหลาย เช่น Lunch Concert เป็นดนตรีแชมเบอร์ง่ายๆ ตรงโถงฮอลล์, โปรแกรมสำหรับครอบครัว คือพาลูกมาดู แล้วถ้าเด็กๆ จะวิ่งเล่นไปมาก็ตามสบาย หรือ E-Concert คือแสดงคอนเสิร์ตแล้วถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ต ได้ข้อคิดว่าวงการเพลงคลาสสิกก็ต้องปรับตัวเช่นเดียวกับวงการภาพยนตร์หรือสื่อสิ่งพิมพ์

หลังจากได้ความรู้จนล้นทะลัก จอร์จพาเรากลับมายัง Potsdamer Platz อีกครั้ง เพื่อดูสิ่งที่น่าสนใจหลายๆ อย่าง


นี่คือตึกหลังเดียวที่เหลือรอดจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทางการเลยเอากระจกครอบไว้เลย


ว่ากันว่าไฟจราจรอันนี้เป็นอันแรกๆ ของโลก ไฟจะเรียงกันในแนวขวาง


นี่คือเศษซากกำแพงเบอร์ลิน


มีพี่ทหารหน้าเข้มคอยออกวีซ่าข้ามไปยังเบอร์ลินตะวันออก แต่ว่าเสียตังค์ หนูเลยขอบาย

ตรงโซนซากกำแพงเบอร์ลิน ชาวคณะต่างพากันตื่นเต้น ถ่ายรูปกันยกใหญ่ แต่หลายคนแห่ไปถ่ายรูปกับพี่ทหารมากกว่ากำแพง (จริงๆ ชั้นก็อยาก แต่ต้องสงวนท่าที) ซึ่งคงถือเป็น culture shock สำหรับเฮียจอร์จ แกคงไม่เคยเจอชนชาติไหนที่มันบ้าถ่ายรูปกันได้ขนาดนี้ พี่จอร์จทำท่าจะเดินต่อหลายที แต่คนนี้ก็หายที คนนั้นหายที สีหน้าจอร์จมาคุอีกครั้ง อีกนิดเดียวแม่งจะแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าร่างสามแล้ว เราเลยไปเสนอหน้ายืนใกล้ๆ พี่เค้า แบบว่าหนูมาแล้วนะค้า รอกันอยู่พักใหญ่กว่าจะได้ออกเดินทางต่อ

จอร์จพานั่งรถใต้ดิน บอกว่าจะพาเราไปร้านขายซีดีเพลงคลาสสิก ซึ่งไม่มีใครตื่นเต้นเลย ยกเว้น อ.บวรพงศ์ (ฮา) เป็นร้านที่ชื่อว่า Dussmann ลักษณะคล้ายกับ B2S สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ คือมีทั้งหนังสือและซีดีเพลง ใหญ่เอาการอยู่ เพราะมีตั้งห้าชั้น แถมยังเปิดถึงเที่ยงคืนนู่น


นี่แหละ ร้าน Dussmann


มีหลายชั้นมาก เดินกันได้ทั้งวัน

ขณะที่พากันเดินเข้าร้าน เกิดความงุนงงสับสนอย่างรุนแรง เพราะจอร์จพูดว่า โอเค ไอจะปล่อยยูตามสบายไว้ที่ร้านนี้นะ พรุ่งนี้ไอจะไปรับยูที่โรงแรมเก้าโมงเช้า ขากลับยูเดินไปขึ้นรถรางตรงนั้นนะ จะถึงโรงแรมเลย ...อ้าว นี่พี่จะลอยแพพวกผมกันแบบนี้เลยเรอะ ขณะที่กำลังงงๆ อยู่ จอร์จก็บอกว่า “โอเค ซียู ทูมอร์โรว์” แล้วเดินจากไปเลย!!?? เอาแล้วไง เหวอแดกเลยกู นี่คือวัฒนธรรมเยอรมันที่กูไม่อาจเข้าใจ หรือว่าเฮียจอร์จแกหมดความอดทนกับพวกกู แล้วกูจะกลับกันยังไงคะ เพิ่งมาเบอร์ลินวันแรก รถราง รถเมล์ อะไรเนี่ยกูขึ้นเป็นซะที่ไหน พวกเราเลยเรียกประชุมด่วนว่าเอายังไงดี เลยตกลงกันว่าเดี๋ยวเดินเล่นกันสักพัก แล้วเจอกันหน้าร้านตอน 18.00 แล้วกัน แต่ก็มีพี่ๆ บางคนขอแยกตัวไปเที่ยวที่อื่น

เดินวนไปมาในร้าน Dussmann เจอซีดีเพลงเก๋ๆ ถูกใจอยู่บ้าง แต่ราคาไม่ได้ถูกเลย ส่วนใหญ่ตกอยู่ที่ 800 บาท เท่ากูสั่งร้านป้าโดเลย วันนี้เพิ่งวันที่สองเลยยังไม่ค่อยอยากใช้เงินมาก และไม่กล้าซื้ออะไรเพราะกลัวกระเป๋าน้ำหนักเกิน พอเดินลงชั้นใต้ดินไปที่หมวดเพลงคลาสสิก เจอ อ.บวรพงศ์ จ้องมองซีดีด้วยด้วยสายตาเหมือนกอลลัมจ้องแหวน (อาการเดียวกับตอนกูไปร้านซีดีที่เกาหลี) เดินอยู่พักใหญ่ คิดว่าที่นี่คงไม่มีอะไรให้เรา ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า


ที่เบอร์ลินจะเจอนักดนตรีแบกะดินเป็นระยะ ซึ่งฝีมือไม่ใช่เล่นๆ เลย

ระหว่างเดินเล่นปะทะลมหนาวไป ก็คิดในใจว่านี่มันเพิ่งจะหกโมงเย็น จะกลับโรงแรมเลย ก็ดูเสียดายเวลา นี่เบอร์ลินนะ ไม่ใช่หัวหิน จะได้มากันง่ายๆ เราต้องเที่ยวให้คุ้มสิเฟร้ย ดังนั้นจึงวางแผนว่าขอชิ่งไปเที่ยวคนเดียวดีกว่า แต่ก็กลัวว่าชาวคณะเค้าจะมองว่าเราอินดี้แปลกแยกสังคมหรือเปล่า (อย่างที่รู้กันว่าคนไทยชอบอยู่กันหมู่คณะ โดยเฉพาะตอนเที่ยว) เลยเดินกลับไปร้านซีดี เจอ อ.นพีสี (เป็นอาจารย์คุมทริปครั้งนี้) บอก อจ. ว่า “เอ่อ อาจารย์ครับ ผมขออนุญาตแยกตัวไปเที่ยวต่อนะครับ” อจ. ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ได้เลยค่ะ เชิญตามสบาย วันนี้มีเวลาว่าง เดี๋ยววันอื่นๆ จะไม่ค่อยมีช่วงว่างแล้วค่ะ” ได้ยินดังนั้นก็วิ่งชะแว้บไปแร่ดต่อทันที

แต่ก่อนอื่นต้องตั้งหลักก่อนว่า ตอนนี้กูอยู่จุดไหนของเบอร์ลิน เพราะเมื่อกี้เดินตามเฮียจอร์จต้อยๆๆ จนไม่รู้ทิศรู้ทางอีกต่อไป สำรวจรอบตัวจนรู้ว่า อ้อ ตอนนี้เราอยู่แถวๆ สถานี Friedrichstr. ซึ่งเป็นสถานีใหญ่เชื่อมต่อกับรถไฟหลายสาย คำถามต่อมา...แล้วกูจะไปไหนวะเนี่ย เปิดคู่มือดู ตัดสินใจว่า ไปย่าน Alexanderplatz ดีกว่า ท่าทางจะคึกคัก และมีอะไรให้ทำเยอะดี


สถานี Friedrichstr.


ลงสถานีปุ๊บ เจอคณะเล่นดนตรีอีกแล้ว

นั่งรถใต้ดินจาก Friedrichstr. มาจนถึง Alexanderplatz ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ทั้งสองแห่ง เพียบพร้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีร้านรวงมากมาย ตั้งแต่ร้านขนมปัง จนถึงแม็คโดดัลด์ ผู้คนก็พลุกพล่าน ต่างจากสถานีอุโมงค์จุฬา Rosenthaler Platz แถวโรงแรมกูจริงๆ อันนั้นแม่งไม่มีร้านห่าอะไรเลย แถมบรรยากาศก็ทึมๆ น่ากลัวพิลึก


มาถึง Alexanderplatz แล้ว


หลักฐานว่าคนเบอร์ลินเลี้ยงหมาเยอะมาก เจอคนจูงหมาทุกแห่งหน


ขึ้นมา Alexanderplatz จะเจอแลนด์มาร์คสำคัญคือ TV Tower (หรือชื่อท้องถิ่นคือ Fernsehturm)


เดินมาตรงถนนใหญ่ จะมองเห็นโบสถ์ St. Mary's Church (Marienkirche) สวยดีเหมือนกัน เหมือนจะเข้าฟรี แต่ตอนไปถึงมันเกือบทุ่มนึงแล้ว เค้าปิดตั้งแต่หกโมงเย็น โบสถ์สำคัญแถวนี้อีกอันคือ โบสถ์ St. Nicholas' Church (Nikolaikirche) แต่ตอนนั้นยังโง่ๆ หลงทางอยู่ เลยไม่ได้เดินไปดู


โบสถ์ St. Mary's Church กับ TV Tower

ปัญหาตอนนี้คือ นี่มันจะทุ่มนึงแล้ว โบสถ์หรือมิวเซียมทั้งหลายส่วนใหญ่เค้าจะปิดตั้งแต่หกโมงเย็น ส่วนอี TV Tower นี่เปิดถึงเที่ยงคืน เดี๋ยวค่อยมาเก็บทีหลังได้ เปิดดูคู่มือ Lonely Planet เจอว่ามี DDR Museum มิวเซียมที่ว่าด้วยชีวิตสมัยเยอรมันตะวันออก เปิดถึงสองทุ่ม จึงรีบมุ่งตรงไปทันที (DDR ย่อมาก Deutsche Demokratische Republik แปลว่า German Democratic Republic อันเป็นชื่อเรียกของเยอรมันตะวันออก)


คู่มือที่ช่วยชีวิตไว้ เล่มขวาไม่ค่อยละเอียด เอาไว้ดูแลนด์มาร์คสำคัญๆ ส่วนเล่มซ้ายละเอียดยิบ ทั้งข้อมูลและแผนที่ แต่ไม่มีรูป

เดินไปสักพัก แน่นอนว่า...กูหลงทาง เริ่มสับสนว่ากูต้องไปทางไหน และตอนนี้กูอยู่ตรงไหน ขณะที่กำลังหัวหมุนติ้วๆ อยู่ ก็มีเสียง ฟู่มมมมมมมมมมมมมมมมม... พร้อมวัตถุบางอย่างเฉียดตัวไปอย่างเร็ว เฮ้ย! อะไรวะ!!! หันไปมองจึงพบว่าเป็นจักรยานนั่นเอง ปรากฏว่ากูดันเสร่อมายืนอยู่ในเลนจักรยาน ชาวเบอร์ลินก็ไม่ปราณีกูเลย ขับกันอย่างไว อุตส่าห์รอดชีวิตจากคนชนที่เกาหลีมาได้ กูยังต้องมาเสี่ยงภัยกับจักรยานในเบอร์ลินอีก


ไอ้สีชมพูๆ ด้านซ้ายนี่แหละคือ เลนจักรยาน ซึ่งรูปร่างของมันชวนให้คิดว่าเป็นทางเท้าคนเดินทุกที

หลังจากหลงไปถนนโน้นถนนนี้ พลิกหมุนแผนที่ใน Lonely Planet อยู่ 8 รอบ แถมยังคอยต้องระวังจักรยานไปด้วย ในที่สุดก็พบว่า ไอ้ถนนเส้นใหญ่เส้นแรกที่เจอนั่นแหละ คือที่ตั้งของ DDR Museum ไม่รู้กูจะเดินเลี้ยวซ้ายขวาให้ชีวิตยุ่งยากทำไม ถ้าเดินตรงอย่างเดียวตั้งแต่แรกก็ถึงแล้ว


เจอป้ายแล้ว แทบร้องไห้ อยู่ด้านขวา แล้วต้องลงบันไดไปเล็กน้อย


นี่แหละ DDR Museum ดูภายนอกเหมือนผับแถว RCA


เป็นมิวเซียมที่กิ๊บเก๋มาก ตั้งอยู่ข้างๆ แม่น้ำ Spree เลย


ส่วนฝั่งตรงข้ามคือ โบสถ์ใหญ่ยักษ์ Berlin Cathedral (หรือ Berliner Dom) อีกสถานที่ที่ตั้งใจว่าจะมา แต่วันนี้ปิดแล้ว ต้องไว้วันหลัง


เข้ามาด้านในแล้ว

จ่ายค่า DDR Museum ไป 6 ยูโร (ยูโรนึง ประมาณ 40 บาท) ที่นี่ไม่ใหญ่มาก มีห้องหลักๆ อยู่สองห้อง แต่รายละเอียดเยอะมาก แต่ละซอกมุมจะจำลองชีวิตสมัยเยอรมันตะวันออกมาให้เราดู เขาแต่งตัวกันยังไง อ่านหนังสืออะไร ฟังเพลงอะไร ขับรถอะไร (เอารถมาให้ดูกันเลยทีเดียว) ดูไปดูมาเริ่มเหนื่อย ถ้าอ่านละเอียดหมดกูคงจบเอกเยอรมันตะวันออกได้โดยไม่ต้องไปลงทะเบียนเรียน แถมคนก็เยอะมาก วัยรุ่นเพียบ นี่มันมิวเซียมนะน้อง ไม่ใช่ผับ หรือว่าช่วงที่กูไป เทรนด์เยอรมันตะวันออกกำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นหว่า


มีกระทั่งห้องน้ำสมัยเยอรมันตะวันออก


ห้องนักโทษก็มี


เต็มไปด้วยหนุ่มสาวมากมาย

เดินออกมาจาก DDR Museum ประมาณทุ่มครึ่ง ค้นพบว่าที่เบอร์ลินนี่มืดช้าแฮะ ทุ่มครึ่งแล้วฟ้ายังสว่างอยู่เลย พร้อมนึกขึ้นได้ว่านับจากอาหารเช้าโรงแรมเมื่อตอนเก้าโมงแล้ว กูยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่หว่า ที่จริงใน DDR เองก็มีร้านอาหาร แต่มองเข้าไปแล้วเต็มไปด้วยเหล่าวัยรุ่นเบอร์ลินนั่งเฮฮา กูเข้าไปคงแปลกแยกสุดขีดแน่ๆ เดินหาร้านที่เงียบสงบกว่านี้ดีกว่า จำได้ว่าขามาเดินผ่านร้าน Subway ด้วย อุตส่าห์ถ่อมาเบอร์ลิน การกิน Subway ฟังดูสิ้นคิดมาก แต่ ณ ตอนนี้กูขออะไรที่สั่งง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแล้วกัน แต่พอเดินมาที่ Subway เห็นร้านข้างๆ เป็นร้านจีนชื่อ Happy Noodle ดูเมนู มีทั้งบะหมี่ ข้าว และซูชิ เออ ดูเข้าท่า เอาร้านนี้แหละ คนน้อยดีด้วย โต๊ะว่างตรึม

แต่ด้วยความเป็นมือใหม่ในเบอร์ลิน ยังไม่แน่ใจกับวัฒนธรรมการสั่งอาหารของที่นี่ เลยรอให้กลุ่มหนุ่มสาวเดินเข้าไปสั่งก่อน แล้วจึงแอบเนียนสังเกตการณ์ อืม ก็ไม่ยากอะไรนะ สั่ง จ่ายเงิน ไปนั่งรอ พออาหารมาเดี๋ยวเค้าเรียก แล้วเดินไปเอาที่เคาท์เตอร์ จบ. โชคดีว่าน้องพนักงานสาวหมวยพูดภาษาอังกฤษได้ (แม้กูจะสับสนคำว่า fifteen กับ fifty ของเธอมาก) เลือกสั่งข้าวไก่เทริยากิ กับซุปมิโสะไป


หน้าร้าน Happy Noodle (อันนี้ถ่ายตอนกินเสร็จ ตอนสองทุ่ม มันเลยมืดแล้ว)


บรรยากาศในร้าน มีกันอยู่สองโต๊ะ สงบดีมาก


ความเหวอของร้านนี้คือ ข้าวมันจะใส่ถ้วยที่คล้ายๆ ถ้วยป็อปคอร์น ข้าวเยอะมากกกกกกก (ที่เบอร์ลินอาหารทุกอย่าง size บิ๊กหมด ตามขนาดคนที่นี่)


อีกเรื่องที่ควรรู้คือ ราคาของที่นี่ เค้าจะใช้เครื่องหมาย คอมม่า แทน จุด อย่าง 1.90 ยูโร ก็จะเขียนว่า 1,90 ยูโร


เจอขวดนี้ต้องรีบถ่ายทันที (ร้านอาหารจีนเกือบทุกร้านในเบอร์ลิน จะต้องมีสองขวดนี้)

มื้อเย็นวันนี้อร่อยปานกลาง ถือว่ากินกันตายได้อย่างดี เพราะให้ข้าวเยอะมาก เดินออกมาข้างนอก ตอนนี้มืดแล้ว และอากาศก็หนาวมากขึ้นเรื่อยๆ


เบอร์ลินยามค่ำคืน สีเหลืองๆ ตรงกลางนั่นคือ รถราง นั่นเอง

ภารกิจปิดท้ายของวันนี้คือ ไปขึ้น TV Tower หอคอยที่สูงถึง 368 เมตร และเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของเบอร์ลิน อันที่จริงมีหลายคนบอกว่ามันไม่ค่อยมีอะไรหรอก แต่ไหนๆ มาถึงแล้วก็ขอขึ้นไปหน่อยละกัน มองนาฬิกา ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่ง พรุ่งนี้ต้องตื่นเจ็ดโมงเช้า ต้องทำเวลาหน่อย เลยรีบๆๆๆ เดินกลับไปยัง TV Tower แต่สักพัก จี๊ดดดดดดด....ตะคริวแดกขาครับ เศร้าใจจริงกู ...ต้องค่อยๆ เดินทีละนิด จนพาตัวเองมาถึง TV Tower จนได้

ใน TV Tower มีจำนวนคิวรอพอสมควร แต่ไม่ได้ฮาร์ดคอร์มาก (วันรุ่งขึ้นมาแถวนี้ตอนกลางวัน คิวแม่งทะลุออกมาข้างนอกเลย) มีประกาศตุ่งตุงตุ๊งบอกว่า “สำหรับท่านที่ซื้อบัตรในตอนนี้ เวลารอของท่านคือ 40 นาทีครับ” เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาให้สุด ยืนรอคิวอยู่นานพอควร เพราะแคชเชียร์มีคนเดียว สังเกตในแถว ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติล้วนๆ บ้างมากันเป็นครอบครัว บ้างเป็นคู่แฟน บ้างเป็นป้าๆ กรุ๊ปทัวร์ มีกูเท่านั้นที่อินดี้มาคนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดายแปลกแยกเป็นที่สุด

จ่ายเงินไป 12 ยูโร ในตั๋วจะมีหมายเลขคิวบอกไว้ ต้องคอยสังเกตบนหน้าจอทีวีว่าคิวของเราต้องขึ้นไปรอขึ้นลิฟท์ตอนกี่โมง จริงๆ เค้ามีบริการสมัคร SMS เตือนด้วย แต่ไม่ต้องหรอก กูนั่งรอเลยแล้วกัน ไม่มีแรงเดินไปไหนแล้ว

พอถึงสามทุ่มก็ถึงรอบของเรา ก่อนจะเข้าลิฟท์ต้องมีการตรวจค้นเล็กน้อย และห้ามเอาขวดน้ำดื่มขึ้นไป ผ่านด่านตรวจแล้ว เดินมาเจอที่กั้นเหล็กขวางอยู่ ตอนแรกก็งงว่าแล้วกูจะผ่านไปไงเนี่ย สังเกตเห็นมันมี censor อยู่ ถึงบางอ้อว่าต้องเอาบาร์โค้ดตรงตั๋วไปตื๊ดนี่เอง (นานๆ กูจะคิดอะไรเองได้) ลิฟท์ขึ้นหอคอยเป็นลิฟท์ความไวสูง ไม่ถึงนาทีก็ถึงขชั้นชมวิว แต่หูจะอื้อมากๆ กูต้องกลืนน้ำลายแบบน็อนสต็อป เหนื่อยมาก


ในที่สุดก็มาถึงจุดชมวิวแล้ววววว

และสิ่งที่เจอก็คือ...


วิว


แล้วก็วิว

เท่านี้แหละ...จบแล้ว 12 ยูโรของกู 55555 คือมันมีแต่วิวจริงๆ ถึงแม้จะเป็นวิว 360 องศาก็เถอะ แต่มองไปทางไหนก็เห็นตึกรามบ้านช่องมันเหลี่ยมๆ เล็กๆ ไม่สามารถสร้างความตื่นเต้นอะไรให้กับกูได้จริงๆ ไอ้ครั้นจะลงเลยก็เสียดายเงิน เลยพยายามชื่นชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนอยู่สิบนาที


มีบาร์เก๋ๆ อยู่บนนี้ แต่กูเก๋กับมึงไม่ออก (ขึ้นไปอีกชั้นจะมีร้านอาหารด้วย แต่เหมือนต้องจองล่วงหน้า)

หลังจากพยายามสุนทรีย์ไปกับวิวราคาสิบสองยูโร ก็คิดว่าได้ว่าอย่าฝืนใจตัวเองไปมากกว่านี้ ลงดีกว่า แต่พอเดินไปตรงทางออก กูเครียดยิ่งกว่าเดิม เพราะขาลงเนี่ยมันต้องต่อคิวด้วยเหมือนกัน! คือเค้าไม่จำกัดเวลาที่จะอยู่บนหอคอย อยากลงเมื่อไรก็ลง ดังนั้นมันจึงมีคนตกค้างอยู่จำนวนมาก เดินไปหางแถวด้วยอารมณ์สุดเซ็ง คิวข้างหน้าดันเป็นแก๊งป้าโรมันเนียที่เม้าท์ไม่หยุดหย่อน ตอนรอเลยต้องฟังป้าๆ เม้ามอยโรมันเนียไปด้วย (อนึ่ง ตอนขาออก เราจะต้องเอาตั๋วตื๊ดที่กั้นอีกรอบ ดังนั้นห้ามทำตั๋วหายนะจ๊ะ)

กว่าจะลงจากหอคอยได้ก็เกือบสี่ทุ่ม ถึงเวลากลับโรงแรมเสียที แต่พอเดินกลับไปตรง Alexanderplatz เจอร้านรวงมากมาย อารมณ์เหมือนสวนลุมไนท์บาซ่า เลยขอโฉบดูสักหน่อย (จะได้กลับโรงแรมกี่โมงเนี่ย...) มีทั้งร้านอาหาร ลานเบียร์ ของที่ระลึกมากมาย โดยเฉพาะแบรนด์ I Love Berlin ทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่กล้าใช้เงินตามฟอร์ม



ยามค่ำคืนของ Alexanderplatz


ร้านนี้ตกแต่งได้หลอนมาก เห็นแวบแรกใจหายแว้บ

พอจะลงรถใต้ดิน ดันเจอคนเมายืนพูดเพ้ออยู่คนเดียวที่ตรงทางลง กูเลยต้องลำบากไปหาทางลงอันอื่น ซึ่งเราได้เรียนรู้ในวันหลังๆ ว่าคนเมาในเบอร์ลินเนี่ย แกจะมีที่ประจำตำแหน่งของตัวเอง เราจะเจอคนเมาคนเดิมซ้ำๆ ทุกวันที่สถานีรถไฟอันเดิม อันนี้ไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าเป็นประเพณีหรือพิธีกรรมอันใด


ลงไปในสถานี เจอนักดนตรีเปิดหมวกอีกแล้ว แต่คณะนี้เขาเล่นเพลง California Dreaming ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเราพอดี เลยให้เงินเค้าไป ...เปล่าหรอก ความจริงคือการระบายเหรียญออกต่างหาก 555 เพราะเงินยูโรมีเหรียญยิบย่อยมากมาย ทั้ง 1, 2, 5, 10, 20, 50 เซนต์ และ 1 กับ 2 ยูโร พวกเหรียญต้องพยายามใช้ให้หมด เพราะไปแลกคืนกับธนาคารไม่ได้

กลับมาถึงย่านโรงแรม Amano พบความประหลาดคือ ช่วงกลางคืนกลับดูคึกคักมาก ไม่ว่าจะร้านกาแฟ ร้านเหล้า ร้านอาหาร หรือผับ คนแน่นเอี้ยดเลย ได้เรียนรู้อีกอย่างว่าคนเบอร์ลินค้าชอบเที่ยวตอนกลางคืนนี่เอง มิน่ารถไฟถึงปิดเสียดึกเชียว

สรุปว่ากลับถึงโรงแรมสี่ทุ่มครึ่ง เข้าห้องก็รีบอาบน้ำนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เจ็ดโมง ถ้าสายจากเวลานัด พี่จอร์จคงทำหน้ามาคุใส่พวกกูอีก นึกหน้าพี่แกแล้วกูแอบเครียด นอนไม่หลับ

ความสัมพันธ์ของชาวไทยกับเฮียจอร์จจะเป็นอย่างไร

โปรดติดตามตอนต่อไป...


=============


เกร็ดเรื่องรถไฟเบอร์ลิน

- รถไฟในเบอร์ลินมีสองแบบหลัก คือ S-Bahn (รถลอยฟ้า) กับ U-Bahn (รถใต้ดิน) ทั้งสองเชื่อมกันอีรุงตุงนังไปหมด แผนที่รถไฟเบอร์ลินดูรอบแรกจะงงแดกมาก เพราะบางทีสีของสาย S กับ U ก็ดันคล้ายกัน แต่พออยู่ไปสักสองวันจะเก็ทเอง ไม่ยากมาก

- มารยาทคนบนรถไฟค่อนข้างดี แต่ถ้าเคยผ่านรถไฟเกาหลีมาแล้ว มารยาทรถไฟของที่อื่นย่อมถือว่าดีหมด 5555 ที่นี่การลุกขึ้นให้คนแก่นั่งถือเป็นเรื่องที่ทำได้และควรทำ (ไม่เหมือนเกาหลีที่กลายเป็นเรื่องประหลาดโลก) บนรถไฟจะมีคนเล่นหีบเพลงขอเงินและขอทานบ้าง แต่ไม่ค่อยมีอะไรเซอร์เรียลจนเหวอ (หรือเพราะกูผ่านรถไฟที่โซลมาแล้ว เลยมีภูมิคุ้มกันสูง)

- ประตูรถไฟที่นี่ถ้าจะให้เปิดต้องกดปุ่ม ไม่ได้เปิดอ้าซ่าทุกบานแบบบ้านเรา บางทีถ้าเจอรถไฟรุ่นเก่า จะเป็นระบบคันโยกแทน ก็ดึงคันโยกเอาเลย (ตอนแรกกูโง่หาปุ่มกดตั้งนาน) รถไฟส่วนใหญ่จะมีป้ายไฟบอกว่าถึงสถานีไหนแล้ว แต่รถไฟเก่าจะไม่มี แต่ใช้วิธีมองไปข้างนอกก็ได้ ทุกสถานีจะมีชื่อสถานีใหญ่เบ้อเริ่ม สังเกตง่าย

- รถไฟวิ่งตั้งแต่ตีสี่ เลิกวิ่งตอนตีหนึ่ง วันศุกร์ เสาร์ วิ่งตลอด 24 ชั่วโมง ตอนดึกๆ ตามสถานีจะมีพวกขี้เมานอนกันเกลื่อนกลางสถานีเลย ถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่ควรอยู่คนเดียว และตอนเช้าๆ ตามสถานีมักมีเศษขวดเบียร์แตกกระจายเสมอ เดินระวังด้วย

- หมาที่นี่ขึ้นรถไฟได้ คนเบอร์ลินเลี้ยงหมากันเยอะมาก และชอบเลี้ยงหมาตัวใหญ่ไซส์ยักษ์

- คำศัพท์ที่ควรรู้คือคำว่า Ausgang แปลว่า Exit (ทางออก)





 

Create Date : 17 เมษายน 2555
1 comments
Last Update : 18 เมษายน 2555 0:54:49 น.
Counter : 4507 Pageviews.

 

สนุกดีจัง ติดตามตอนต่อไป

 

โดย: travelsaint 20 พฤษภาคม 2555 8:11:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.