http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 มีนาคม 2548
 
All Blogs
 

House of Flying Daggers – ความจริง ความลวง ตัวจริง ตัวปลอม “ความรัก”

โดย merveillesxx



(หมายเหตุ - ออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 ส.ค. 2547 pantip.com กระทู้ A2949133)

House of Flying Daggers (ในชื่อไทยคือ “จอมใจบ้านมีดบิน” จนเกิดคำถามสุดฮิตในช่วงที่ผ่านมาว่าหนังเรื่องนี้เป็นอะไรกับ “ฤทธิ์มีดสั้น”) คือผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของผู้กำกับชาวจีนที่เรียกได้(แล้ว)ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่” นามว่าจางอี้โหมว หนังเข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งล่าสุดในสายนอกการประกวด (Out of Competition) มีกระแสมาว่าหากหนังเรื่องนี้เข้าสายประกวดคงมีอาการหนาวๆร้อนๆ ต่อหนังเรื่องอื่นเลยทีเดียว

หลังจากที่ทำหนังวิพากษ์สังคม-ประเทศ-ชาติบ้านเกิดของตัวเองมานาน (แต่ในสายตาของรัฐบาลจีน การวิพากษ์ของเขานั้นดูจะเป็นการ “ซ้ำเติม” ประเทศเสียมากกว่า) ดูเหมือนจางอี้โหมวจะยังติดใจกับการท่องไปในยุทธจักรกำลังภายในจากหนังมหากาพย์-มหาปรัชญาอย่าง Hero (2002) คราวนี้เขาจึงกลับมาพร้อมกับกระบวนท่าชุดใหญ่ของบ้านมีดบิน

หนังเล่าถึงจีนในปลายสมัยราชวงศ์ถัง สภาวะบ้านเมืองระส่ำระส่าย มีหมู่ชนรวมตัวกันก่อกบฏ หนึ่งในนั้นก็คือสำนัก “บ้านมีดบิน” เหลียว (หลิวเต๋อหัว) และจิน (ทาเคชิ คาเนชิโร่) 2 ชายฉกรรจ์ (มากและน้อยตามลำดับ) คือทหารหลวงของแผ่นดิน ซึ่งกำลังจับตามองหญิงงามตาบอดแห่งสำนักโคมเขียว เสี่ยวเม่ย (จางจื่ออี้) ที่ทั้งสองสงสัยว่านางเป็นคนของบ้านมีดบิน ดังนั้นแผนการ-กลลวง-ความลวง ชนิดซับซ้อนซ่อนเงื่อน (ส่วนจะ “เพื่อนทรยศ” มั้ยต้องไปดูกันเองในโรง) จึงถูกคิดค้นขึ้น

ในเมื่อหนังมีตัวละคร 3 ตัว ชายสอง หญิงหนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องราวของหนังจึงต้องพัวพันกันในชนิด “รักสามเส้า” และต้องพบจุดจบในแบบ “โศกนาฏกรรม” อันมีปัจจัยสำคัญคือ “ความตาย” … ฟังดูซ้ำซากน่าเบื่อ แต่เพราะนี่คือผู้กำกับที่ชื่อจางอี้โหมว หนังจึงไม่ได้เน้นการเปรียบเปรยปรัชญาทางการเมืองเหมือน Hero แต่กลับเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสามได้อย่างมีชั้นเชิง โดยผ่านกระบวนการของแผนการ-กลลวง-ความลวงที่กล่าวไว้ในข้างต้น นั่นคือผู้กำกับสามารถหา “ทางไป” และ “ทางออก” ให้กับหนังด้วยกระบวนท่าที่สวยงาม

อีกสิ่งที่อดจะชื่นชมไม่ได้ก็คงเป็นความดีแบบเดิมๆที่ปรากฏใน Hero คือฉากที่แสนวิจิตรบรรจง งามตระการตา ชนิดไม่รู้ว่าเอาอะไรมาคิด ไม่ว่าจะเป็นการฉากนางรำ(และเนื้อขาวๆ)ของจางจื่ออี้, ฉากต่อสู้ดวลดาบทั้งหลาย, ฉากต่อสู้ในป่าไม้ไผ่ที่แม้แต่ภาพซี่ไม้ไผ่แตกก็ยังดูดี! หรือฉากเสี่ยวเม่ยในชุดสีเขียวท่ามกลางป่าฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถสะท้อนอารมณ์ของตัวละครได้ชัดแจ้งเป็นที่สุด ส่วนการแสดงของทั้งสามนั้นคงไม่ต้องเป็นห่วง โดยเฉพาะจางจื่ออี้ที่เล่นเป็นคนตาบอด จนเชื่อแล้วว่าความรักทำให้คนตาบอด

ท่ามกลางความจริง-ความลวง (ของแผนการ) และตัวจริง-ตัวปลอม (ของตัวละครทั้งในแง่ “บทบาท” – จินต้องปลอมตัวเป็น ‘วายุ’ ตามแผนการ และ “ตัวตน” - เสี่ยวเม่ยถามจินว่าตัวท่านใช่ตัวท่านจริงหรือไม่) จางอี้โหมวยังใส่ประเด็นต่างๆเข้าไปอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความหลง, ความใคร่, ความเสียสละ, ความตาย, หน้าที่ ซึ่งทุกอย่างในหนังมีแกนกลางร่วมกันอยู่ที่ “ความรัก” ดังนั้นหนังจึงนำเสนอเรื่องราวของ ความรัก-ความหลง, ความรัก-ความใคร่, ความรัก-ความเสียสละ, ความรัก-ความตาย, ความรัก-หน้าที่ หรือแม้แต่ใน ความจริงและความลวงก็เกิด “ความรัก” ขึ้นมา จนทำให้ประโยคที่เหลียวกล่าวเตือนจินว่า “อย่าทำให้ความลวงกลายเป็นความจริง” กลายเป็น “ความจริง” ขึ้นมาจนได้

ซึ่งประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ดูเหมือนว่าเรา(ในฐานะคนดู)จะมี “หน้าที่” ต้องค้นหาด้วย “ความ(ใจ)รัก” จึงจะบรรลุถึง “ความจริง” ที่หนังบอกไว้

“ความจริง“ ที่ผมพบค้นพบก็คือ ประโยคของ Albert Camus ที่ว่า "There is no love of life without despair of life" นั้นเป็นจริงเสมอว่าไม่ยุคสมัยใดก็ตาม

และหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า จางอี้โหมวยังคงเป็น “ตัวจริง” ในโลกภาพยนตร์

“ความรักฉีกตัวเราให้แหลกแตกเป็นเสี่ยง แต่เราก็พร้อมยอมสละทุกอย่างเพื่อมัน” - จางอี้โหมว




ประเด็นต่อยอดกับภาพยนตร์เรื่อง House of Flying Daggers

ในส่วนนี้ผมก็พูดถึงหนังในแง่มุมต่างๆ ดังนั้นจึงมีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง-ฉากต่างๆ
ดังนั้นผู้ใดยังไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ “ไม่ควร”อ่านข้อความต่อจากนี้นะครับ


“ความรัก”
อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่าหนังเรื่องน่าจะมีแก่นสำคัญที่ “ความรัก” (ชื่อเดิมอีกชื่อของหนังคือ Lovers – ในที่สุดก็เป็นชื่อเพลง Theme ของหนัง) โดยความรักในหนังนำเสนอในสองรูปแบบคือ “การกั้นกลาง” และ “การก่อเกิด”

“การกั้นกลาง” ผมหมายถึง ความสัมพันธ์ในชุดของ ความรัก-ความตาย, ความรัก-ความหลง, ความรัก-หน้าที่ โดยทั้งสามคู่เป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ใกล้กันมาก (อีกนัยคือมีความใกล้เคียงกันมาก) มีเพียงเส้นบางๆกั้นอยู่ เส้นบางๆที่ว่าบางทีก็ยากนักที่จะฝ่าทะลวงไป บางทีก็ขาดสะบั้นเสียง่ายๆ

ความรักกับความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่ไกลกัน ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความตายได้ทุกเวลา ไม่ต้องอะไรเอาง่ายๆดูข่าวหน้าหนึ่งทุกวันนี้ก็ได้ ฆ่ากันเพราะรักเพราะหึงเพราะหวง ส่วนตัวละครทั้งสามล้วนได้รู้จัก “ความรัก” และได้พบ(หรือเฉียดใกล้) กับ “ความตาย” ทั้งสิ้น ดังนั้นความรักกับความตายจึงมิใช่สิ่งคู่ตรงข้าม แต่ดำรงร่วมกัน

ความรักกับความหลง ถูกแสดงผ่านตัวละครของจินกับเสี่ยวเม่ยว่าทั้งสองรักกัน หรือเป็นเพียงความหลง ส่วนประเด็นที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ ความรักกับหน้าที่ ตัวละครทั้งสามล้วนแต่ถูกบททดสอบที่ต้อง “เลือก” ระหว่างสองสิ่ง

ส่วน “การก่อเกิด” ก็คือ ความรักนั้นเกิดขึ้นระหว่าง ความจริงและความลวงในแผนการต่างๆนานา จนน่าสับสนว่าความรักอันใดที่เป็นจริงหรือเป็นเพียงการแสร้งทำ (ในคู่ของจินและเสี่ยวเม่ย)

การก่อเกิดอีกอย่างหนึ่งคือ ความรักทำให้เกิด “ความเสียสละ” จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกความรักถูกนำเสนอในรูปแบบของ “ความเห็นแก่ตัว” แต่ในฉากสุดท้าย (หิมะขาวโพลน) จางอี้โหมวสามารถสรุปว่าความรักที่แท้จริงคือการเสียสละได้โดยการใช้แค่เพียงฉากเดียว ผ่านการกระทำของ 3 ตัวละคร คือ
1. เสี่ยวเม่ยกล่าวว่าหากเหลียวสังหารจิน เธอจะดึงมีดที่ปักอยู่กลางอกมาใช้สังหารเหลียว นั่นคือเธอยอมสละชีวิต
2. จินทิ้งดาบเดินเข้าไปใกล้เหลียวกล่าวกับเสี่ยวเม่ยว่า “ข้าเข้าใกล้เขาถึงเพียงนี้แล้ว ยังไงเขาก็ฆ่าข้าได้ มีดของเจ้าไม่มีทางช่วยข้าทัน” (ประโยคนี้เล่นงานผมจนเกิดอุทกภัยในดวงตาเลยทีเดียว) นั่นคือจินปกป้องเสี่ยวเม่ย แต่ยอมสละชีวิตตนเอง
3. เหลียวแสร้งทำเป็นปามีด เพื่อให้เสี่ยวเม่ยสังหารเขา และอีกนัยคือการปลิดชีพเสี่ยวเม่ย ในแง่นี้ผมมิอาจรู้ได้ว่าเขาตั้งใจสละชีวิตเพื่อความสุขของทั้งสอง ของตัวเองหรือเพื่อใคร

นอกจากวงจรการกระทำของตัวละครทั้งสามจะแสดงถึง “ความเก๋า” ของจางอี้โหมวแล้ว ในนัยหนึ่งหนังอาจจะมีแง่บวกถึงความรักก็ได้ แต่ที่สุดแล้ว ความรักที่เป็นการเสียสละของตัวละครทั้งสาม ล้วนแต่เป็นการเสียสละชีวิต จึงยิ่งตอกย้ำประเด็นของ ความรัก-ความตาย และการลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม

“พันธการและการหลุดพ้น”
หนังแสดงประเด็นไว้มากเกี่ยวกับเรื่อง พันธนาการ
ทั้งพันธนาการแห่งภาระหน้าที่ และพันธนาการแห่งความรัก

จะเห็นได้ว่าบ่อยครั้งมีฉากตัวละครถูกมัดด้วยเชือกและในที่สุดก็จะหลุดพ้นด้วยการใช้ดาบตัดเชือก
วินาทีที่เสี่ยวเม่ยจะ “ตัดเชือก” เพื่อปล่อยตัวจินไป ในจิตใจเธอคงคำนึงถึงการ “ตัดใจ” จากชายหนุ่มผู้นี้ จนในที่สุดก็ลงมือตัดเชือกเพื่อเป็นตัวแทนของการตัดใจ (แต่แล้วจางอี้โหมวก็หักหลังพวกเราด้วยฉากเลิฟซีนร้อนแรงและหลังขาวๆของจางจื่ออี้) ในที่สุดเสี่ยวเม่ยก็มิอาจหลุดพ้นจากพันธนาการ

วินาทีที่เหลียวปามีดเพื่อสังหารเสี่ยวเม่ย เขาคงจะคิดว่าความตายของเธอจะทำให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งรักนี้ไปได้ แต่ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าแม้แต่ช่วงวินาทีสุดท้ายของเธอ เขาก็ยังมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบจากเธอ เขามิอาจหลุดพ้น … (“ในเมื่อเจ้ารู้ตัวอยู่แล้ว ว่าหากเจ้าตามมันไป ข้าจะฆ่าเจ้าแล้วทำไมเจ้ายังจะตามมันไป” … ฉากนี้หลิวเต๋อหัวทำเอาน้ำตาคลอเบ้าเลย)

แม้แต่วินาทีที่เหลียวตัดสินใจแสร้งทำเป็นปามีดในฉากสุดท้าย เพื่อกำหนดวินาทีสุดท้ายของชีวิตตัวเอง เพื่อให้ความตายทำให้ “ตัวเอง” หลุดพ้น (เลิกใช้ความตายของผู้อื่น แต่ใช้ความตายของตนเอง จุดนี้จะพลิกผันกับฉากข้างบน นี่แหละผมถึงคิดว่าบทมันฉลาดมาก) แต่เขาก็มิอาจทำได้สำเร็จ … บางทีรอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวเม่ยอาจจะเกิดขึ้นเพราะการกระทำของเหลียว (สังเกตว่า เธอหันไปยิ้มให้กับเหลียวก่อน แล้วจึงหันมาทางจิน) แต่รอยยิ้มของเธอก็มิอาจช่วยให้เขาหลุดพ้น … เขาได้แต่เดินไปอย่างไร้จุดหมาย

ใบหน้าที่ไร้ซึ่งทุกสิ่งของเหลียวคงเพราะการกระทำของเสี่ยวเม่ย แทนที่เธอจะใช้มีดปลิดชีวิตของเขาตามที่กล่าวไว้ เธอกลับใช้มีดปกป้องจิน … (วิถีของมีดไม่ได้พุ่งไปทางเหลียว แต่พุ่งไปทางที่มีดของเหลียวจะมาทางจิน) เหลียวคงเจ็บปวดเพราะในห้วงสุดท้ายหญิงที่เขารักมา 3 ปีก็ยัง “ปันใจ” ให้ชายอื่น

ส่วนจินนั้นไม่มีการกระทำใดๆที่เขาแสดงว่าต้องการหลุดพ้น มิใช่ว่าเขาไม่มีพันธนาการ แต่สิ่งนั้นได้อยู่ล้อมรอบตัวเขาตลอดเวลา และดูเหมือนเขาจะยิ่งทำให้มันผูกรัดแน่ขึ้นทุกที

ในบทสรุปสุดท้าย ทั้งสามก็ยังมิอาจหลุดพ้นไปได้ และไม่มีใครได้อะไรจากการกระทำทั้งปวง (แม้แต่บ้านมีดบิน เพราะในที่สุดคงโดนพวกทหารหลวงถล่มยับ) นอกจากความโศกเศร้าและความเจ็บปวด

บางทีพายุหิมะในฉากสุดท้ายก็คือ พันธนาการแห่งความรัก ที่ทำให้เรามองเห็นความรักอย่างเลือนรางนั่นเอง

“เลข 3 กับ House of Flying Daggers”
หนังเรื่องนี้มีตัวละคร 3 ตัว
เป็น รักสามเส้า

ประโยคเด็ดอีกอันของเรื่องนี้ คือที่เหลียวกล่าวว่า “ข้าเสียสละเวลาและชีวิตเพื่อเจ้ามา 3 ปี แต่เจ้ากลับพลีใจให้กับผู้ชายที่อยู่ด้วย 3 วัน” ขณะที่พูดประโยคนี้เหลียวมีมีดปักอยู่กลางหลัง แต่ผมคิดว่า ณ ตอนนั้นเหลียวไม่รู้สึกเจ็บแผลที่หลัง แต่เหลียวเจ็บที่ใจเมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวเม่ยเมื่อเค้าถามว่า “เจ้ารักเขาใช่ไหม” …. แผลในใจทำให้ไม่รับรู้แผลทางกาย … เช่นเดียวกันคนดูคงอาจจะรู้สึกเจ็บที่หลังเมื่อเห็นมีดบินมาปักหลังเหลียว แต่คนดูยิ่งรู้สึกเหมือนมีดนั้นเสียบเข้ามากลางใจมาเหลียวพูดประโยคที่ว่าออกมา …

ถ้าให้โมเมเรื่องเลข 3 ต่อ ก็คือ ในหนังเรื่องนี้ในตอนท้ายๆ จางจื่ออี้ฟื้นมาทั้งหมด 3 รอบ (แหะ แหะ)

“การซ้อนทับ”
หนังมีการเล่าเรื่องแบบซ้อนทับกันมากมายหลายคู่ หรือการเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นการย้ำประเด็น ความจริง-ความลวง ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดลวง

อย่างแรกคือฉากที่เสี่ยวเม่ยปัดป้องมิให้ตัวละครชายจูบ สังเกตได้ว่าขณะที่เธอปฏิเสธฝ่ายชาย ใบหน้าของเธอดูเหม่อลอยเหมือนจะคิดคำนึงถึงใครอยู่ ในตอนแรกที่เธอปฏิเสธจินคงเพราะเธอคิดถึงเหลียวในฐานะคนที่รักเธอมา 3 ปี อีกฉากเธอปฏิเสธเหลียวเพราะเธอคิดถึงจิน-ผู้ชายที่เธอรู้จักได้ 3 วันและเธอก็รักเขา! (ถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าเรานั่งดูฉากพลอดรักของจินกับเสี่ยวเม่ยมาตลอด ประหนึ่งเราดูทั้งสองดูดดื่มกันมา 3 ชั่วโมงจนรับรู้ถึงความรักอันร้อนแรงได้ แต่ในขณะที่เหลียวโผล่ออกมาพบกับเสี่ยวเม่ยแค่ 3 นาที เราก็รู้สึกได้ว่าเขารอเธอมา 3 ปีจริงๆ! นี่คือความเก๋าอีกอย่างของจางอี้โหมวล่ะ – เห็นมั้ยเราได้ประเด็นเรื่องเลข 3 มาอีกข้อนึงแล้ว ^^;;) การซ้อนทับนี้นอกจากจะมีมุมกลับในเรื่องของตัวละครที่ฝ่ายหญิงคิดคำนึงถึง ยังมีเรื่องของอารมณ์โดยฉากของจินกับเสี่ยวเม่ยที่ถูกถ่ายทอดด้วยอารมณ์ร้อนแรง เธอกลับคิดถึงความรักอันเยือกเย็นของเหลียว แต่ในฉากรักของเหลียวกับเสี่ยวเม่ยที่ดูเยือกเย็น (โดยใช้โทนสีเขียว) เธอกลับคิดถึงความรักที่ร้อนแรงของจิน (โอย! เอาเข้าไป)

ฉากที่ตัดเชือกที่มัดคนอยู่ก็เห็นกันอยู่บ่อยๆ อันนี้อ่านในข้อหัว “พันธการและการหลุดพ้น”

ต่อมาคือฉากการขี่ม้าของจินกับเสี่ยวเม่ย ตอนแรกเมื่อเสี่ยวเม่ยหนีจากจินไป ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายขี่ม้าตามเธอมา (ที่เข้าไปช่วยในป่าไม้ไผ่) แต่ในตอนหลังจินเป็นฝ่ายที่ไปก่อน และคราวนี้เสี่ยวเม่ยกลายเป็นฝ่ายที่ตามไป ฉากนี้น่าสนใจมากคือฉากก่อนที่เสี่ยวเม่ยจะตัดสินใจขึ้นม้า จางจื้ออี้ในชุดสีเขียวท่ามกลางป่าฤดูใบไม้ร่วง ภาพถ่ายจากด้านหลังมุมระยะไกลดูเวิ้งว้าง ตัดกับภาพที่จินขี่ม้าไกลออกไปเรื่อยๆ จางอี้โหมวใช้เวลากับฉากนี้นานทีเดียว ซึ่งก็บรรลุผลในการปลุกเร้าอารมณ์ เพราะในฉากนี้มันเหมือนกับมีสารจากตัวละครเสี่ยวเม่ยมาถึงคนดูว่า “ยิ่งเสียงฝีเท้าม้าของจินไกลออกไปเท่าไร เสียงหัวใจของข้าก็ยิ่งเต้นแผ่วเบา แต่คำว่ารักกลับยิ่งดังก้องกังวาน” … นั่นแหละเธอจึงตัดสินใจตามเขาไป

การซ้อนทับสุดท้ายนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฟื้นๆตื่นๆของเสี่ยวเม่ยที่จะมองว่าน่ารำคาญก็คงไม่ผิดอะไร แต่ผมคิดว่ามันมีความสำคัญต่อตัวหนังมากเอาการ นั่นคือ
1. เสี่ยวเม่ยฟื้นขึ้นมาบอกจินว่า “ระวัง…หลัง” ฉากนี้ตื่นเต้นดี และเป็นการเปิดเผยความจริง (ต่อจิน) ว่าชายผู้รักเสี่ยวเม่ยก็คือเหลียวนั่นเอง (เป็นไคลแมกซ์ของจิน แต่ไม่ใช่ของคนดู) ตรงนี้น่าคิดว่าทั้งสองมีความเป็นเพื่อน-มิตรภาพกันมาขนาดไหน ก็รู้สึกอย่างไรที่ต้องมาฆ่าฟันกันเพราะรักผู้หญิงคนเดียวกัน
2. เสี่ยวเม่ยฟื้นขึ้นมา จะสังหารเหลียว อ่านในหัวข้อ “ความรัก”
3. สุดท้ายเสี่ยวเม่ยฟื้นขึ้นมาพูดกับจิน เป็นการเน้นประเด็นเรื่องการซ้อนทับ

เสี่ยวเม่ย “เจ้าไม่น่ากลับมาเลย”
จิน “ข้ากลับมาเพื่อดวงใจของข้า ผู้หญิงที่ข้ารัก”

จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ตรงนี้ซ้อนทับการตอนที่ทั้งสองติดอยู่ในดงไม้ไผ่ เสี่ยวเม่ยพูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นจินพูดว่า “ข้ากลับมาเพื่อผู้หญิงของข้า” ประโยคสองประโยคกับการใช้คำที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่มีความหมายยิ่งนัก บางทีความหลงเมื่อครั้งก่อนอาจจะการเป็นความรักแล้วก็ได้ … (นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สนับสนุนว่าบทฉลาด)

ท้ายสุดหนังก็ตอกย้ำประเด็นด้วยการเอาฉากสุดท้ายมาซ้อนทับการฉากตอนต้นเรื่องนั่นคือ การที่จินร้องเพลงในฉากนางระบำ “สตรีงาม เหลียวมองครั้งแรกเมืองพินาศ เมื่อเหลียวมองอีกคราชนชาติต้องวอดวาย” (ไม่ถูกแน่ๆ เลย คือจำไม่ได้แล้ว) … ณ ตรงนี้ประโยค "There is no love of life without despair of life" ก็ดังก้องสะท้อนอยู่ไหนหัวผม และ end credit ของเรื่องก็ขึ้นมาบนจอ …

“ลม”
หนังเรื่องนี้พูดถึงลมอยู่บ่อยครั้ง

เสี่ยวเม่ยตอบคำถามของเหลียว “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวอยู่แล้ว ว่าหากเจ้าตามมันไป ข้าจะฆ่าเจ้าแล้วทำไมเจ้ายังจะตามทันไป” ว่า “อยากเป็นอิสระ…อิสระดั่งลม”

เสี่ยวเม่ยคงไม่รู้ว่าการเป็นดั่งลมนั้นทำให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งภาระหน้าที่ได้
แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความรัก
หรือบางทีอาจจะรู้แก่ใจ … แต่ก็ทำลงไปเพราะความรัก

หากภาพยนตร์เรื่อง House of Flying Daggers เป็นดั่งลม …
ก็จะมิใช่ลมที่พัดผ่านมาแล้วผ่านไป
แต่เป็นลมที่โหมพัดกระหน่ำความรู้สึกและอารมณ์ของเราให้สั่นไหว
…และมิอาจลืม




 

Create Date : 22 มีนาคม 2548
19 comments
Last Update : 22 มีนาคม 2548 13:49:26 น.
Counter : 4980 Pageviews.

 

ความคิดเห็นที่ 5

ชอบตอนหักมุมแบบ double มากๆ

ปล. หลังของเสี่ยวเม่ย ขาวมากๆๆๆๆ O_o

จากคุณ : all around the world - [ 7 ส.ค. 47 08:31:52 ]






ความคิดเห็นที่ 6

ข้าขอซูฮกท่าน merveillesxx (ทำมือซูฮก o\\ )

จากคุณ : joblovenuk - [ 7 ส.ค. 47 13:28:54 ]






ความคิดเห็นที่ 7

วิจารณ์เยี่ยมมากเลยครับ

จากคุณ : Love@here - [ 7 ส.ค. 47 13:52:15 ]



ความคิดเห็นที่ 9

วิจารณ์ได้ดีมากเลยค่ะ
คุณมองหนังได้ลึกมากเลย
จนเราอยากกลับไปดูอีกรอบแล้วลองคิดตาม
จากที่รอบแรกไปดูแค่ จินเฉินอู่หล่อ ฉากสวย เพลงเพราะ
หนังน่าเบื่อ

แต่ถ้าดูได้ลึกอย่างคุณ จขกท แล้ว คงจะไม่น่าเบื่อดังเดิม
ขอบคุณที่เติมอรรถรสในการดูรอบ2ให้แก่เราด้วยนะคะ

จากคุณ : แหนมมัด - [ 7 ส.ค. 47 15:46:45 ]






ความคิดเห็นที่ 10

สุดยอดมากครับ....วิจารณ์ได้สุดยอดจริงๆ
เปิดประเด็นทางความคิดได้อีกหลายมุมมองขึ้นเยอะ....
ใครจะนึก....ว่าหนังที่มีธีมหลักแค่เรื่องชิงรักหักสวาท....
จาง อี้ โหม่ว กลับทำออกมาได้อย่างลุ่มลึกและมีมิติมากขนาดนี้....
ผมว่า ถ้าหากดูหลายๆรอบ....อาจจะได้มุมมองของการชมที่แตกต่างไปจากเดิม....
และเป็นประตูสู่การแตกประเด็นทางความคิดแบบที่เคยเกิดมาแล้วกับเรื่อง hero ก็ได้นะครับ....
เผลอๆ ผมว่า อาจจะมากกว่า hero ด้วยซ้ำ...
เพราะคราวนี้ daggers จับเอาสิ่งที่อยู่กับจิตวิญญาณของพวกเราทุกคนมาพูด....
นั่นก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ตามที่คำโบราณจีนบอกว่า 4 อย่างนี้ ล้วนทำให้วังวนแห่นการปฏิสัมพันธ์ระหว่า ผู้คนไม่มีวันจบสิ้น....


จากใจจริง

จากคุณ : โนอาห์บ้านมีดบิน (PB ลูกพ่อ Kahn) - [ 7 ส.ค. 47 16:05:17 ]






ความคิดเห็นที่ 11

มีเพื่อนแล้ว นึกว่าเป็นคนเดียวซ่ะอีก แอบบ่อน้ำตาแตกไปสองตอน(ถ้าจำไม่ผิด)
ตอนที่ จิน กลับมาช่วยเสี่ยวเหม่ย ตอนที่แยกทางกันแล้ว
ภาพตอนที่เสี่ยวเหม่ยยิ้มดีใจที่จินมาช่วยทำเอาเราแอบดีใจไปด้วย

กับตอนสุดท้าย ที่จินตะโกนบอกว่าอย่าดึงมีดออกมาน่ะ แล้วเดินเข้ามาหาเหลียว

ที่สำคัญไปดูเรื่องนี้เพราะ พี่เหลียว กับน้องเหม่ย แต่พอ จินออกมาฉากแรก ก็ลังเลซ่ะแล้ว

จากคุณ : ใบไม้สีเหลือง - [ 7 ส.ค. 47 17:01:07 A:203.209.112.115 X: ]






ความคิดเห็นที่ 12

คุณเจ้าของกระทู้ คิดและเรียบเรียง เขียนออกมาได้ชัดเจนมากครับ นับถืออย่างแรง

จากคุณ : คน-ทำ-มะ-ดา - [ 7 ส.ค. 47 21:32:04 ]






ความคิดเห็นที่ 13

วิจารณ์ได้เยี่ยมมากค่ะ สุดยอดจริงๆ ^^ เราเองก็ร้องไห้ให้กับหนังเรื่องนี้เยอะเหมือนกันคะ แถมหัวเราะตอนท้ายๆด้วย ^^" ตอนนางเอกฟื้นนี่แหละ

จากคุณ : LamiaAzure - [ 7 ส.ค. 47 23:19:05 ]






ความคิดเห็นที่ 14

เอ่อ ผมอยากรู้อ่ะว่าคนทำเค้าคิดขนาดคนวิจารณ์ไหม

จากคุณ : อุอุ - [ 8 ส.ค. 47 01:10:01 A:203.150.193.201 X: ]






ความคิดเห็นที่ 15

3. เหลียวแสร้งทำเป็นปามีด เพื่อให้เสี่ยวเม่ยสังหารเขา ในแง่นี้ผมมิอาจรู้ได้ว่าเขาตั้งใจสละชีวิตเพื่อความสุขของทั้งสอง หรือเพื่อใคร

"เอ่อ เฮียแอนดี้ แกตั้งใจปามีดหลอกๆเพื่อให้นางเอกดึงมีดออกจากร่างเพื่อขว้างมาปกป้อง ทาเคชิไม่ใช่เหรอครับ (มีดไม่ได้พุ่งมาเพื่อฆ่าฌฮีย แต่พุ่งไปเพื่อกันทาเคชิ ดูได้จากเลือดที่พุ่งมาแทนมีด) เพื่อที่จะทำให้นางเอกตายอย่างจริงๆจังๆมากกว่า เพราะเฮียแกพูดเองว่า เธอเป็นของชั้น ถ้าชั้นไม่ได้คนอื่นก้อต้องไม่ได้ อะไรประมาณนี้มากกว่าอ่ะคับ"

จากคุณ : นายฮ้อย แห่ง หงซิ่ง - [ 8 ส.ค. 47 02:09:09 ]






ความคิดเห็นที่ 16

>ผมอยากรู้อ่ะว่าคนทำเค้าคิดขนาดคนวิจารณ์ไหม
นี่ก็เป็นคำถามที่เคยอยู่ในใจผมมาตลอดเกือบ 4 ปีเต็มๆครับ
แต่บัดนี้มันจางหายไปจนสิ้นแล้วล่ะครับ ในความคิดของผมก็คือการคิดต่อยอดจากหนังเป็นสิ่งดีและไม่เป็นพิษเป็นภัยหรือผลเสียแก่ "คุณค่า" ของตัวหนัง แต่อย่างใดครับ

และไม่ว่าคนคิด (ผู้เขียน, นักวิจารณ์, คนดู) กับ คนทำ (ผกก., คนเขียนบท) จะ "คิด" เหมือนกันหรือไม่เหมือนกันอย่างไร ก็ไม่มีฝ่ายใดถูกหรือผิด ผกก.ต้องยอมรับและเคารพในความคิดของคนดูเพราะหมายความว่าดูหนังมีสื่อหรือการชี้นำให้คนดูคิด-เห็น-เป็นเช่นนั้น อีกทางกลับคนดูน่าจะ(พยายาม)ยอมรับและซึบซับต่อสารของหนัง

ตัวอย่างก็คือ หนังเรื่อง Last Life in the Universe (ใครยังไม่ได้ดูข้ามไปเลยนะครับ)
ที่อยู่ดีๆ พลอย-ไลลา ที่ในหนังตายแหงแก๋ไปแล้ว ดันมาเดินเฉิดฉายในหนังให้เราใจสั่นซะงั้น ... ก็เกิดการต่อยอดประเด็นขึ้นมามากมาย แต่สุดท้ายคุณเป็นเอกกลับตอบว่า "พลอย (ไลลา บุญยศักดิ์) นั้นแสนจะเซ็กซี่ เราอยากเอาเธอกลับมาอยู่ในกองถ่ายอีกวันสองวัน..." แหม ทำไปได้

อนึ่ง ผมไม่ขอเรียกการเขียน(พิมพ์)ของผมว่าบทวิจารณ์ มันก็คือการเขียนเชียร์หนัง หรือการแสดงมุมมองของผมต่อหนังเท่านั้นเองครับ ^^

แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 47 02:48:13

จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 02:15:36 ]







ความคิดเห็นที่ 17

กลับมาที่หนัง House of Flying Daggers นะครับ

- สำหรับเวอร์ชันพากย์ไทย จะไม่มีแปลตอนที่ร้องเพลงนะครับ น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน

ส่วนเรื่อการกระทำของเหลียว (เฮียหลิว) นั้นผมว่าน่าสนใจมาก สามารถแตกความคิดได้อีกมากครับ

คุณโนอาห์เคยเขียนไว้น่าสนใจมากว่าการกระทำของเฮียหลิวถือเป็นการ "ลงทัณฑ์" คนที่ตนรัก ด้วยโทษแห่ง "ความตาย" ถ้าคิดว่าเฮียหลิวแกล้งปามีดเพื่อตั้งใจ "ฆ่า" เสี่ยวเม่ย
แต่การตัดสินใจเช่นนั้นก็ถือว่าเขาได้ "ฆ่า" จิตใจของตัวเองไปด้วย

แต่อีกนัยนะครับ เฮียหลิวแกจะรู้จริงๆหรือครับว่า เสี่ยวเม่ยจะไม่ปามีดมาฆ่าตัว แต่กลับจะใช้มีด-สละชีวิต-ปกป้องจิน ถ้าเป็นกรณีนี้ ถึงแม้เขาจะต้องการฆ่าเสี่ยวเม่ย แต่ก็ตัดสินใจ "ฆ่าตัวตาย" ไปพร้อมกันด้วย

หรือกรณีที่เหลียวรู้แก่ใจว่ายังไง เสี่ยวเม่ยก็จะไม่ฆ่าตน แต่จะใช้มีดปกป้องจิน แบบนี้เขาก็จะยังเลือกเสียสละด้วย "ความตาย" อยู่ดีแหละครับ แต่เป็นการใช้ "จิตใจ" แลกกับความตาย ไม่ใช่การใช้ "ชีวิต"

จะเห็นได้ว่า ยังไงธีมของความรักคือการเสียสละ คือความตาย คือโสกนาฎกรรม ก็ยังจะคงอยู่ต่อไป

ถ้ารอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าของเสี่ยวเม่ยเกิดจากกระทำของเหลียว ... บางทีใบหน้าที่ไร้สิ้นซึ่งทุกอย่างของเหลียวก็คงมีผลมาจากการกระทำของเสี่ยวเม่ยนั่นเอง

และบทสรุปตามหนังก็คือ แม้เสี่ยวเม่ยจะใช้ความตายของตนเองปกป้องชีวิตของจินและเหลียวได้
...แต่เธอก็ไม่อาจปกป้องทั้งสองได้จากการ "ตายทั้งเป็น"




จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 02:36:32 ]






ความคิดเห็นที่ 18

"เล่าด้วยภาพ"

อย่างที่เรารับรู้กันครับว่า ภาพในเรื่องนี้ล้วนสื่อความหมายทิ้งสิ้น ฉากหนึ่งที่ผมเขียนไปแล้วก็คือ ฉากที่กล่าวถึงในหัวข้อ“การซ้อนทับ”

มีผู้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับงานภาพของหนังเรื่องนี้ไว้ได้น่าสนใจครับ (แต่เวลาอ่านต้องเปลี่ยนจาก ทาเคชิ คิตาโน่ เป็น ทาเคชิ คาเนชิโร่ ก่อนนะ ^^;;)
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2949841/A2949841.html

ส่วนนี่เป็นอีกฉากที่ผมอยากจะพูดถึง (ดูภาพประกอบ)

ฉากที่ จินกับเสี่ยวเม่ยนอนอยู่กลางทุ่งหญ้า หลังจากผ่านการระเริงรักอันเร่าร้อนมาแล้ว ฉากหลังที่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวดูเย็นสบายตา แต่อารมณ์-ความรู้สึกของตัวละครทั้งสองกลับมีความทุกข์ปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างแจ้งชัด คือการเล่นภาพ contrast ที่เฉียบมาก ... สารจากภาพน่าจะเป็นว่า ทั้งสองมีความสุขจากการ "ระเริงรัก" แต่ต้องพบความทุกข์จาก "ความรัก"










จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 02:43:35 ]






ความคิดเห็นที่ 19

แวะมาทักทายเจ้าของกระทู้ค่ะ ไม่รู้จะเขียนอะไรเพิ่มเติมเพราะ merveillesxx ก็เขียนไปหมดแล้ว (วิจารณ์ได้เยี่ยมเลยค่ะน้อง)



ชอบมาก ๆ เหมือนกันค่ะ เรื่องนี้ ...

จากคุณ : Seven Of Nine - [ 8 ส.ค. 47 08:51:45 ]






ความคิดเห็นที่ 20

ไม่มีใครที่จะรู้ดีไปกว่า เหลียว ว่าตอนนั้น คิดอะไรอยู่
ที่ไม่ยอมซัดมีดออกมาจริง ๆ

ทำไม เหลียว ไม่ยอมซัดมีดออกมา
ทำไม เสี่ยวเม่ย จึงไม่ยอมรักษาชีวิตตามที่ จิน อยากให้เป็น

หรือเสี่ยวเม่ย รู้ว่าเหลียวจะหลอก (ไม่งั้นคงไม่ยิ้มก่อนตาย) แต่ตั้งใจให้หลอก เพื่อให้รู้กันไป ว่าจะปกป้อง จิน ชายสุดที่รักไว้จนตัวตาย

ทำไม เหลียว จึงเดินไปอย่างซังกะตาย เขายังมีความรักต่อเสี่ยวเม่ยจริงหรือไม่ ในความรัก 3 ปี ที่เขาให้กับเสี่ยวเม่ย ทำไมไม่ไปกอดเสี่ยวเม่ยไว้
หรือเขาจะรักเสี่ยวเม่ยมาก และรู้ว่าเสี่ยวเม่ยไม่ตอบรักเขา ที่เขาเดินจากไปจะเป็นการทำตามใจเสี่ยวเม่ยใช่หรือไม่

ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าตัวตายเพื่อทดแทนเสี่ยวเม่ย หรือเขาต้องการรักษาชีวิตตัวเองไว้ เพื่อให้รับทุกข์ทางใจไปตลอดชีวิต เพราะเขาก็รักเสี่ยวเม่ยมากเหมือนกัน

โอย..งง

จากคุณ : คน-ทำ-มะ-ดา - [ 8 ส.ค. 47 11:34:10 ]






ความคิดเห็นที่ 21

บอกก่อนว่าคืนนี้ ช่อง 7 เวลา 23.55 จะมี making of "House of Flying Daggers" นะครับ

สวัสดีพี่ Seven Of Nine นะครับ ไม่ได้คุยกันนานเลย

และขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ

เรื่องของเหลียวก็คงยังเป็นปริศนาต่อไป อย่างที่ ดร.ฮันนิบาล บอกเราไว้แหละครับ "จิตใจมนุษย์คือสิ่งที่ซับซ้อนและน่ากลัวที่สุด"

บางทีนะครับ ... ความรักของเหลียวที่มีให้กับเสี่ยวเม่ยตลอด 3 ปี คงพังทลายลงสิ้น ใน 3 วินาที ที่มีดของเสี่ยวเม่ยพุ่งวิถีเพื่อปกป้องชีวิตของจิน ไม่ใช่เพื่อปลิดชีวิตของเขา



จากคุณ : merveillesxx - [ 8 ส.ค. 47 15:47:30 ]



ความคิดเห็นที่ 23

[spoiler]
คือ..คาใจเรื่องบทหนังอ่ะครับ
ตกลงหลอกกันเพื่ออะไรครับ ล่อทหารให้มาหาตัวเหรอ หรือว่าเป็นแผนจับตัวมือปราบฟง คืออุตส่าห์พยายามตั้งแยะ (ทำเป็นตาบอด ยอมให้หลิวจับ เดินทางเสี่ยงชีวิต ฯลฯ) ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรกับบ้านมีดบินเลยอ่ะครับ

แต่ก็ชอบนะครับ มากๆด้วย ^ ^

จากคุณ : มือชาหน้าเขียว (ซาดิก) - [ 9 ส.ค. 47 00:05:50 ]






ความคิดเห็นที่ 24

เย้...เจอเพื่อนแล้ว

ผมไปดูมาเมื่อคืนนี้แล้วโดนใจมากๆ ผมน้ำตาตกไปหลายรอบมากๆ ยิ่งตอนจบนี่ยิ่งโดนสุดๆ(ตอนเฮียหลิวเดินโซเซไปนี่ผมก็รู้สึกว่ามันถึงจุดจบของหนังเลยครับ แล้วมันก็ดันจบพอดีจริงๆด้วย) นับว่าเป็นหนังของอี้โหมวที่ครองความประทับใจในความคิดผมมากที่สุด

แก่นสารของเรื่องเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยากนัก แต่ก็มีอะไรมากมายที่ลึกซึ้ง ราวกับว่านี่คือชีวิตจริง เป็นการสะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ออกมาในรูปแบบกึ่งเปรียบเทียบ กึ่งประชด ในขณะเดียวกันก็ไม่ทอดทิ้งคนดูที่ยังไม่อาจตัดรักโลภโกรธหลงได้...

แต่เซ็งมากเลย พอมาถามเพื่อน มันบอกว่า "ห่วยว่ะ" ( 3-4 คน ) มันทำให้ผมคิดไปว่าผมเว่อร์ไปป่าววะ แต่ก็ทนไม่ไหวจนต้องมาเข้า pantip นี่แหละครับ

ขอบคุณมากที่วิจารณ์หนังเรื่องนี้คร้าบบบ

จากคุณ : Pzifrius - [ 9 ส.ค. 47 14:18:23 A:158.108.39.74 X:158.108.2.2 ]






ความคิดเห็นที่ 25

ไม่เป็นไรครับ คุณ Pzifrius เราหัวอกเดียวกัน
เวลาที่ผมบอกคนอื่นว่าผมร้องไห้เพราะหนังเรื่องนี้สายตาที่มองกลับมา ... หึหึหึ คงรู้กันอยู่นะครับ (ครือๆกับที่ผมบอกคนอื่นว่า Last Life in the Universe เป็นหนังที่ดีมาก ฮ่าๆ)

แต่มันก็เป็นธรรมดาโลกแหละครับ เรื่อง คิด-เห็น ไม่ตรงกัน

ดังนั้นผมจึงตระหนักอีกหนุ่งเหตุผลที่ผมเล่น pantip.com ได้ยังไงล่ะครับ ว่าบางทีเราก็ต้องหาคนใน "โลกอื่น" คุย ... เพราะคนใน "โลกปกติธรรมดา" ของเรามันคุยด้วยไม่รู้เรื่อง ...

ส่งท้ายด้วยคำเชือดเฉือนของ จางอี้โหมว

"ความรักฉีกตัวเราให้แหลกแตกเป็นเสี่ยง แต่เราก็พร้อมยอมสละทุกอย่างเพื่อมัน..."

จากคุณ : merveillesxx - [ วันแม่แห่งชาติ 01:52:48 ]






ความคิดเห็นที่ 26

ผมไม่ชอบ Last Life in the Universe

แต่ชอบ House of Flying Daggers

จากคุณ : kOn_bA - [ วันแม่แห่งชาติ 20:40:47 ]






ความคิดเห็นที่ 27

เมื่อกี๊ไป DL เพลง Soundtrack ของ Flying Daggers มาฟัง น้ำตาคลอตามอยู่หลายเพลงเหมือนกันครับ มันให้อารมณ์สงบแบบตะวันออกมาก(โดยเฉพาะกลิ่นอายแบบจีนโบราณ) ใครที่ชอบเรื่องนี้น่าจะหามาฟังกันดู

จากคุณ : Pzifrius - [ 13 ส.ค. 47 02:52:29 A:158.108.39.45 X:158.108.2.2 ]


 

โดย: merveillesxx 22 มีนาคม 2548 13:52:55 น.  

 

สารภาพว่า...ข้าน้อยไม่ชอบเรื่องนี้เลยค่ะ บางฉากนี่ดูแล้วอึดอัดมาก ^^"
อยากให้จางอี้โหมวกลับไปทำหนังที่ดูเรียบง่าย แต่งดงามอย่าง the road home , not oneless มากกว่าแฮะ...
๏ ความเห็นส่วนตัวจ้า

=)

 

โดย: hunjang (ไม่ล๊อคอิน) IP: 202.57.156.183 22 มีนาคม 2548 15:28:25 น.  

 

น่าสนใจมากๆเลย

 

โดย: ตุ๊กตารอยทราย 22 มีนาคม 2548 22:54:03 น.  

 

ประเด็นที่ต่อยอด
เขียนขึ้นใหม่
หรือเขียนต่อจากออนไลน์ครั้งแรกไม่นานคะ
กลับไปดูหนังอีกรอบหรือนี่
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะชอบหนังเรื่องนี้หรือไม่ดี จะชอบก็ไม่เต็มปาก จะไม่ชอบก็ไม่เชิง
หลังๆ รู้สึกว่าจางอี้โหมว เป็นหลวงประดิษฐ์
ไปหน่อย (นรา เป็นคนคิดคำนี้ )
แกประดิษฐ์ซ้า
ดู Hero นั่นปะไร
โดยส่วนตัวชอบเฮียจางสมัยเป็นผู้กำกับ
หนุ่มกบฎเลือดร้อน หนึ่งในผู้กำกับรุ่น 5
ชอบที่แกทำหนังวิพากษ์สังคมจีนสมัยใหม่อย่าง Keep Cool มากว่า
เด๋วนี้ดูแก Propaganda ให้รัฐบาลจีน
ยังไงไม่รู้

 

โดย: grappa 22 มีนาคม 2548 23:49:53 น.  

 

>ประเด็นที่ต่อยอด
>เขียนขึ้นใหม่
>หรือเขียนต่อจากออนไลน์ครั้งแรกไม่นานคะ

ตอบ: เขียนพร้อมๆกับบทวิจารณ์ในส่วนบนครับ (ซึ่งผมมาอ่านตอนนี้รู้สึกว่ามันห่วยเนาะ ? ว่ามั้ย?) พิมพ์วันเดียวกันเลยครับ คือ วันที่ 6 สิงหาคม 2547 (จำได้แม่นเพราะวันนั้นเป้นวันรับปริญญาที่ มธ. ไปงานเสร็จก็ชิ่งไปดูหนังที่โรงหนังสยามครับ) ซึ่งที่แปลกก็คือผมดูหนังเรื่องนี้แค่รอบเดียว แต่ว่ามันกระตุ้นความคิดให้พลั่งพลูออกมาทลักทะลาย (ไม่ได้อวดนะครับ -- แต่หนังส่วนใหญ่ที่เขียนถึงมักจะดูแค่รอบเดียว ก็ซัดเลย ซึ่งดูเหมือนจะผิดหลักนะครับ เพราะ อ.ประวิทย์ แต่งอักษร บอกไว้ควรจะดูหนังสักสองรอบ ซึ่งสำหรับผมก็มีแค่ Lily Chou-Chou ซึ่งซัดไป 4 รอบ ก็เลยได้ออก 30 หน้า -__-'' สงสารคนอ่านเหมือนกันนะเนี่ย)

ขยายความต่อถึงการเขียนถึง House of Flying Daggers -- จำได้ว่าวันนั้นกะจะไปดู 3 เรื่อง คือ Houseฯ, 19, Goodbye Lenin แต่ปรากฏว่าหลังจากดู House จบ (และเสียน้ำตาไปหลายรอบ) ผมก็ตัดสินใจไม่ดูเรื่องอื่น แล้ววิ่งตรงดิ่งเข้าร้านเชสเตอร์กริลล์สยามเซ็นเตอร์ทันที (ร้านประจำ เพราะมันเงียบดี) แล้วก็หยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมาเขียนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็วิ่งๆๆๆกลับบ้าน แล้วก็พิมพ์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ออกมาได้ 6 หน้า แล้วก็โพสต์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ลง pantip แหละจ้า (อ่านแล้วเหนื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมั้ยเนี่ย)

ซึ่งน่าจะเป็นกระทู้แรกที่ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีมาก และมีคนชื่นชมว่ามันเป็น 'บทวิจารณ์' ที่ดี นั่นทำให้ผม
1. มีกำลังใจในการเขียน
2. รู้ตัวว่าเขียนหนังสือรู้เรื่องกับเค้าเหมือนกัน

>หลังๆ รู้สึกว่าจางอี้โหมว เป็นหลวงประดิษฐ์
>ไปหน่อย (นรา เป็นคนคิดคำนี้ )
555555555555555555 ชอบคำนี้และเห็นด้วยครับ ความจริงผมว่าเรื่องใช้สีเค้าก็เด่นชัดมาตั้งแต่ Raise the Red Lantern แล้วน่ะครับ แต่มาถึง Hero นี่แกเล่นถึงสุดโต่งเลย ซึ่งแกคงตั้งใจนะครับ

ต้องสารภาพก่อนว่า ผมเคยดูงานจางอี้โหมวค่อนข้างน้อย เรื่องแรกที่ดูคือ Ju Dou ซึ่งดูตอนประมาณ 9-10 ขวบ (ช่องเจ็ดเอามาฉาย--เซ็นเซอร์แหลก) แล้วตอนโตมาได้ดู Hero เนี่ยแหละครับซึ่งก็ชอบมากๆ เรียกว่าอึ้งไปเลย ตอนนี้ก็พยายามย้อนเก็บงานเก่าๆอยู่ครับ (เพิ่งซื้อดีวีดี The Raod Home มา --เชยมั้ยล่ะ?)

แต่ได้ข่าวว่างานชิ้นต่อไปของแกจะ back to simple แล้วครับ ก็น่ารอดูอยู่ดี

ปล. วันนี้ไปดูหนัง Code46 กับหนังสือไบโอสโคปมาครับ หนังดีมากๆเลย ว่าจะเขียนถึงนะครับ ตอนนี้ไปดูความเพ้อของผมพลางๆก่อนที่ //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=16062

 

โดย: merveillesxx 23 มีนาคม 2548 0:45:42 น.  

 

ดีครับที่เอางานเขียนดีๆที่เคยเขียนไว้มารวบรวมเอาไว้อีกทีนะครับ

โดยส่วนตัว ได้ดูทั้ง Hero และ House of Flying Daggers ก็ชอบและประทับใจทั้ง 2 เรื่องเลยล่ะครับ ระดับความพอใจเท่าๆกับเรื่อง Crouching Tiger Hidden Dragon ครับ

คิดว่าหนังทั้ง 2 เรื่อง ทั้ง Hero และ House of Flying Daggers ก็ดีทั้งคู่ แต่ว่าเนื้อหาคงเน้นไปคนละแนว ผมเองก็ชอบทั้ง 2 เรื่องครับ ชอบมากๆทั้งส่วนของภาพและสีสันในหนังและเทคนิคการเล่าเรื่องราวของหนังทั้ง 2 เรื่อง

สำหรับ House of Flying Daggers ได้ดูครั้งแรกในรอบ premiere ใน New York Film Festival ที่ New York ปลายปีที่แล้วครับ ได้เจอตัวจริงของจางอี้โหมว และจางซิยี่ ที่มาร่วมในงานเปิดตัวหนังของเค้าด้วยครับ (ก่อนที่จะดูรอบฉายจริงอีกรอบตอนช่วงต้นปีที่ผ่านมาครับ) เสียดายว่า ทาเคชิ และ หลิวเต๋อหัว ไม่ได้มาด้วยครับ

ฉากที่ผมประทับใจมากๆ ก็คือ ฉากเกมกังสดาลในหอนางโลมนั่นแหละครับ ที่ดูท่วงท่าและวิทยายุทธ์ของจางซิยี่สวยงามเหลือเกิน คนดูในรอบ premiere ปรบมือกันเกรียวให้กับจางซิยี่ ในฉากนี่แหละครับ

หนังสนุกดีนะครับ แต่ออกมาจากโรง รู้สึกว่ายังคงมีความเศร้าและความหดหู่ตามออกมาด้วย รู้สึกว่าหนังจบแบบเศร้าหดหู่เหลือเกินครับ รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้บีบคั้นจิตใจคนดูจริงๆครับ

ก็เป็นหนังที่ประทับใจของผมอีกเรื่องนึงเช่นกันครับ :)

 

โดย: Tempting Heart 23 มีนาคม 2548 1:59:10 น.  

 

ขอสารภาพนะครับ


ผมเกลียด เกลียด เกลียด หนังเรือ่งนี้เข้ากระดูกอย่างยิ่งเลยครับ

ถ้าใครชอบหนังเรือ่งนี้อาจจะไม่ควรอ่านที่ผมเขียนนะครับ เพราะโคตรเกลียดเอามากๆ

ผมชอบหนังสไตล์ จางอี้โหมว เก่าๆ แบบ The Road Home, My pretty big feet, แต่ ผมไม่ชอบ Hero ไม่รู้เพราะอะไร แต่ ผมรู้สึก ว่า คุณ ผู้กำกับ กำลัง ทำหนัง ล่า ออสการ์ ตามความสำเร็จของอั้งลี แล้วก็ทำหนังเลีย รัฐบาล คอมมิวนิสท์ จีน อย่างสุดขั้ว(เรือ่งนี้ รัฐบาลจีน ปูพรมแดง ฉายที่ ปักกิ่ง เลยนะครับ ในขณะที่เรือ่งอื่นเค้าถูกแบนหมดเลย) ประมาณ แก่นของหนังที่คืออธิบาย นโยบายรัฐบาลเลยล่ะครับ ว่าทำไม จีน ต้องเป็นหนึ่ง

ส่วน House ผมดูมานานพอควร ตั้งแต่หนังเข้า(ไปดูเพราะอ่านไบโอ แล้วเป็นครั้งแรกที่ผมด่า ไบโอ เยินมากมาก ที่ทำให้ผมตั้งความหวัง กับ คุณ จางอีโหมว ขนาดนี้) ดูเสร็จปุ๊บ ผมคิดว่า เค้าทำหนังส่ง ประกวด ไม่ทัน เลยปั่นครึ่งหลังไปงั้นๆ นี่คือสิ่งที่ผมจำได้เด่นๆจากหนังเรื่องนี้

โอเค ฉาก เต้นรำ กับฉากในป่า เป็นฉากที่หนังกำลังภายในทุกใหม่ ควรมี เนื่องด้วยความสวยงาม ครับ แต่

ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่จำได้ว่าเห็นกราฟฟิคเยินๆ ในฉากพายุหิมะ ที่เละๆเหมือนลมพัด แต่ต้นไม้ ใบเยอะๆ ไม่ไหว เหมือนเห็นพายุหิมะ ไม่เต็มจอ

เนื้อเรื่องแปลกๆครับ องค์ประกอบตัวบ้านมีดบิน ปูพื้นมาครึ่งๆกลางๆ ตอนครึ่งหลัง ทิ้งไปเลยครับ เหมือน ทุกคนในบ้านมีดบิน นี่เค้าสู้มาทำไมกัน ไม่ต้องมีก็ได้มั้ง คือมันไม่เคลียร์มากๆ กับ ไอ้ตรงนี้ ซึ่ง ดันเป็นชื่อหนังด้วย

เรือ่งเนื้อเรื่อง ผมว่า เหมือนเรื่องนี้ ติดตาผมไปตลอด ว่า จางอี้โหมว ทำหนังเหมือน คู่กรรม คือ จางจื่ออี้ เธอช่างผีดิบ อะไรอย่างนี้ ตายสามสี่รอบ ตอนผมดู บอกเพือ่นว่า ถ้าลุกขึ้นมาอีกรอบนี่ผมคงจะไม่ไหวแล้ววววว

จริงๆ ตอนดูเสร็จนี่ อาการหนักกว่านี้ครับ ตอนนี้ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว แต่นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกกับหนังเรือ่งนี้ครับ



 

โดย: เด็กชายรอยยิ้มโทรศัพท์และน้ำตา 23 มีนาคม 2548 2:21:07 น.  

 

ผมชอบหนังเรื่องนี้นะครับ แต่ชอบน้อยกว่า Hero อาจเพราะดูหนังเรื่องรักสามเส้ามาจนเอียนแล้วก็ได้ 555
ที่ผมไม่ชอบอย่างนึง คือสงสัยว่าผู้กำกับเนี่ย ทำไมต้องเอาจางจื่ออี้มาแสดงบ่อยขนาดนี้ด้วย เห็นในหนังทุกเรื่องเลย
คิดอกุศลไปถึงขนาดว่า มีเบื้องลึกอะไรรึเปล่า เฮ้อ... คิดไปได้ ประเด็นสุดท้าย ถ้าผมเป็นนางเอก ผมก็เลือกจินครับ
เพราะหล่อกว่า อ้าว.. ไม่ใช่ อืม.. ไม่มีเหตุผลนะครับ แต่ผู้หญิงมักจะชอบความตื่นเต้น ไม่ธรรมดาเสมอ
สังเกตได้จาก หนุ่มเจ้าสำราญ จะมีหญิงติดมากกว่า หนุ่มธรรมดา.. และความไม่ธรรมดานี้มีอยู่ในตัวจินเยอะเลยครับ

 

โดย: Mint@da{-"-} 23 มีนาคม 2548 9:26:41 น.  

 

ไม่ชอบ Hero ครับ ด้วยเหตุผลเดียวกับหลายๆ คนนั่นคือ มันประดิษฐ์เกินไป จนดูเหมือนยัดเยียด

แต่บ้านมีดบิน ชอบครับ Zhang Zi Yi ช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจเหลือเกิน :D

 

โดย: it ซียู IP: 161.200.255.162 23 มีนาคม 2548 10:53:56 น.  

 

มาตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งครับว่าหนังเรื่องนี้คนชอบและไม่ชอบจะแบ่งกลุ่มกันอย่างชัดเจนทีเดียว และคงเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ผมตั้งกระทู้แล้วมีคนมาถกความชอบ-ไม่ชอบกันอย่างชัดเจน ...เพราะอะไรน่ะเหรอ ...เพราะเรื่องเค้าไม่เคยดูหรือไม่รู้จักกันน่ะสิ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (หัวเราะชี้ช้ำ) เอาง่ายๆเลยเพื่อนๆผมเข้าเวบผมทีไรมันก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน "หนังห่ะ อาไรว้า กรูไม่เห้นรู้จัก"

 

โดย: merveillesxx 23 มีนาคม 2548 14:47:17 น.  

 

อ่า แต่ส่วนมากหนังที่คุณเขียนถึงผมก็รู้จักนะครับ
แต่ไม่เคยดูเท่านั้นเอง เลยไม่รู้จะคอมเมนต์ว่าไงดี 555
ทำไมคนชอบเรื่องนี้น้อยจังว่า.. แล้วทำไมคนไม่ค่อยชอบ Hero นะ
หรือว่าผมบ้าพลังเรื่องรักชาติมากไปหน่อยไม่รู้ เอิ้กๆๆ

 

โดย: Mint@da{-"-} 24 มีนาคม 2548 16:54:48 น.  

 

เห็นที่คุณ mint@da บอกไว้แล้วคันปากครับ แต่ไม่เขียนทีนี่ดีก่า เอาไว้เดี๋ยวอุทิศหน้านึงบนบล๊อกผม อธิบาย ทำไม กระดูกผมถึงดำไปถึงข้างใน กับหนังของจางอี้โหมว สองเรือ่งนี้

 

โดย: เด็กชายรอยยิ้มโทรศัพท์และน้ำตา 24 มีนาคม 2548 19:41:34 น.  

 

เอาเป็นว่าคุณเด็กชายฯ ก็ช่วยเขียนด้วยนะครับ ผมอยากอ่านมากๆ
เดี๋ยวจะไปเช่ามาดูอีกรอบดีกว่า เผื่อความชัวร์ อิอิ
ว่าแต่.. เรามากวนพื้นที่เจ้าของ blog รึเปล่า 555

 

โดย: Mint@da{-"-} 25 มีนาคม 2548 0:02:27 น.  

 

มาแสดงความยินดีกับรางวัลค่ะอิอิ ฉลองๆ
Image hosted by Photobucket.comImage hosted by Photobucket.com

 

โดย: V-FAN 25 มีนาคม 2548 20:15:28 น.  

 

"รัก" จางอี้โหมว และ "รัก" หนังของจางอี้โหมวครับ เรื่องนี้ผมชอบพอๆ กับฮีโร่ (แต่ก็ไม่ชอบเท่า Not one less อิอิ) โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ถ้าเรื่องราวเป็นไปตามเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง (บทหนังมาเปลี่ยนแปลงตอนเหมยเยี่ยนฟางเสียชีวิต เปลี่ยนแปลงเยอะมาก และเรื่องดั้งเดิมจะไปปรากฏอยู่ในฉบับนิยายครับ) ตัวละครต้าเจี๋ยจะมีบทบาทสำคัญในเรื่องความรักของเหลียวมากทีเดียวครับ เพราะเหลียวถูกต้าเจี๋ยใช้ความรักของเสี่ยวเม่ยมาหลอกล่อให้กระทำการหักหลังเจ้าบ้านมีดบินคนก่อน -เหลาเต้อหลัว-เหลียวเองก็เคารพนับถือในเหลาเต้อหลัวมากเช่นกัน ส่วนเหลาเต้อหลัวก็ใช้ความที่เหลียวรักและเคารพเขานั้น มาหลอกล่อให้ทำงานให้ ซ้ำยังมีการเอาเคล็ดวิชาสุดยอดของสำนักมีดบินมาหลอกล่อเหลียวอีก (แต่สุดท้ายก็โดนต้าเจี๋ย ซึ่งมียศคล้ายๆ สนมเอก หลอกลวงอีกทีนึง) นอกจากนี้ในเรื่องเดิมนั้น เสี่ยวเม่ยเป็นลูกสาวของเจ้าสำนักมีดบินจริงๆ แต่ตามาหายบอดเพราะพ่อพาหมอมารักษาตอนเด็กๆ แล้วให้ปลอมตัวเป็นหญิงธรรมดามาฝึกวิชาในบ้านมีดบิน และตอนจบก็ไม่ได้เป็นแบบหนังด้วยครับ (ตอนจบเสี่ยวเม่ยใช้วิชาสุดยอดของสำนักมีดบินซัดออกไป ทำให้ทุกคนรู้ตัวจริงของเสี่ยวเม่ย เสี่ยวเม่ยได้มอบเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่ในมีดเล่มใดเล่มหนึ่งในสามเล่มของเสี่ยวเม่ย เหมือนจะเป็นการให้ "รางวัลปลอบใจ" หลังจากที่ให้ "รางวัลที่หนึ่ง" คือความรักแก่จิน แต่ผมชอบตอนจบแบบในหนังมากกว่า) ตัวละครที่ร้ายกาจที่สุดคือ เหลาเต้อหลัว ที่ใช้ความรักมาหลอกลวงทุกๆ คน เสี่ยวเม่ยยอมเสียสละพรหมจรรย์ของตนให้แก่เหลียวเพื่อผู้เป็นพ่อจะได้ซื้อใจเหลียวได้สำเร็จ ส่วนต้าเจี๋ยก็ไม่แพ้กัน ใช้ความรักของคนอื่นมาเป็นเกมในการหลอกล่อเพื่อความยิ่งใหญ่ของตน (เหมือนจะเน้นย้ำประเด็นหลอกลวง)
แต่ตัวละครที่เจ็บปวดที่สุดคือ เหลียว เขาอาจบอกว่า ความรักของเขากับเสี่ยวเม่ยมีระยะเวลานานสามปี
แต่จริงๆ แล้วสามปีนั้น เขารักเสี่ยวเม่ยข้างเดียวต่างหาก

 

โดย: ดานัง IP: 203.151.140.111 17 เมษายน 2548 1:18:34 น.  

 

หนังสวยสด
บทวิจารณ์งดงาม

หลงไปกับแสงสีทั้งในฮีโร่และเฮาส์
ชอบทั้งสองเรื่อง
เรื่องอื่นๆยังมะได้ดูเรย มีโปรแกรมจะไปควานหามาชมเร็วๆนี้

 

โดย: myrmidon 23 เมษายน 2548 23:56:41 น.  

 

ภาพสวยแต่เนื้อเรื่องยืด ตอนจบยิ่งอัดบทอีก นางเอกก็ไม่ตายซะทีทำให้ลดอรรถรสและความน่าเชื่อถือของหนังไปเยอะมาก เหลียวกับจินที่เก่งวรยุทธและสามารถวางแผนได้อย่างแนบเนียน(รวมทั้งแผนซ้อนแผนของเหลียว)แต่ทั้ง 2คนก็ต่างงี่เง่าในเรื่องของความรัก สู้กันจนจะตาย ถ้าไม่ตายไปข้างก็ไม่เลิก ยังดีที่ได้สติเลยเลิกสู้ การดำเนินเรื่องด้านการต่อสู้หรือด้านต่างๆทำออกมาได้ดีมาก แต่นำเสนอในด้านความรักไม่ถึง ทำให้หนังเสียสมดุล เลยเกิดความไม่น่าเชื่อถือตามมา เราชอบดูหนังที่เกี่ยวกับความรักมาก สำหรับเรื่องนี้ก็ถือว่าดี แต่ไม่ทำให้เป็นเรื่องที่น่าจดจำเท่าไร ด้านภาพถือว่าเยี่ยมเลย ภาพทุกฉากดูนุ่ม พริ้วไหว แม้กระทั่งฉากต่อสู้ ยกเว้นฉากรักของพระนางที่ดูขาดความนุ่มนวลทั้งๆที่ฉากอื่นกลับมี หนังเรื่อง Hero จึงกลับเป็นหนังที่มีชั้นเชิงและดีกว่าเรื่องนี้อยู่หลายขุม

 

โดย: ... IP: 203.151.140.112 8 พฤษภาคม 2548 11:39:56 น.  

 

ดีใจจังที่ได้ฟัง

 

โดย: ...... IP: 202.47.231.182 22 มิถุนายน 2548 17:12:41 น.  

 

We are a group of volunteers and starting a new scheme in our community. Your site offered us with valuable info to work on. You've done an impressive job and our whole community will be grateful to you.
Cheap Snapbacks //www.sunriseventuresllc.com/services.html

 

โดย: Cheap Snapbacks IP: 94.23.252.21 2 สิงหาคม 2557 7:24:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.