ทำใจดีสู้เสือไป หลังจากที่ไลฟ์ลงเฟสบุ๊คส่วนตัวไปก็พบว่าเรานั่งบนเบาะที่หันหน้าไปในแนวเคลื่อนที่ของรถ เบาะข้าง ๆ และเบาะข้างหน้าที่หันมาจ๊ะเอ๋กันเป็นผู้หญิงทั้งหมด พัดลมมีนะ แต่ไม่ได้พัดมาทางนี้ :') (อยากจิร้องไห้)
ก่อนรถเคลื่อนออกมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นอิรุงตุงนังกันหมด ทั้งชายแก่ที่ได้ตั๋วยืนแต่ดันไปแย่งที่ฝรั่งนั่งจนมีเรื่องกัน แก๊งเด็กน้อยเม้ามอยหอยสังข์กันกับนักท่องเที่ยวจีนเสียงดัง ในขณะที่เบาะหน้าเราเขามีแฟนมาส่งด้วยและจู๋จี๋กันตลอดเวลาที่ริมหน้าต่างรถไฟ (แอบอิจฉาเบา ๆ)
หลังจากที่รถไฟเคลื่อนออกไป ทุกคนพยายามที่จะนอนแต่ก็นอนไม่ได้ เพราะไฟในตู้โดยสารไม่ถูกปิด ซึ่งเราเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะความปลอดภัย อีกประการหนึ่งคือด้วยความที่มีแต่พัดลม เราตึงต้องพึ่งพาอากาศธรรมชาติให้มากที่สุดจากริมหน้าต่าง โอ้โห ลมพัดตึ้งมาก!!! แมลงตามมาด้วยแหละ
แต่ด้วยความเมื่อยล้า ทุกคนก็หลับตาลงแล้วตกอยู่ในห้วงนั้นได้เสียที
เราตื่นตอนตี 5 ตอนที่ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประจำตู้โหวกเหวกอะไรกันสักอย่างบนทางเชื่อมที่มีห้องสุขาอยู่ พอถามพี่ ๆ ผู้โดยสารท่านอื่นพอจะทำให้ทราบได้ว่าเมื่อคืนนี้มีคนเข้าห้องน้ำแล้วขังตัวเองไว้ในนั้น
"อาจจะตายไปแล้วก็ได้นะ" พี่ผู้โดยสารท่านหนึ่งกล่าว
ก็ไม่แน่ว่าข้อสันนิษฐานนี้อาจถูกต้อง เพราะไม่มีใครออกมาจากในห้องน้ำนั้นตั้งแต่ตี 2 จนรถไฟถึงเชียงใหม่เลยทีเดียว
ระหว่างทางในตอนเช้าเราสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แตกต่างออกไป กลิ่นของความเป็นบ้านที่การนั่งยานพาหนะใดก็ไม่อาจได้ซึมซับกลิ่นนี้ กลิ่นไอดินหลังฝนตก กลิ่นน้ำค้างยามเช้า ในบรรยากาศชนบทก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
ตั้งแต่พิษณุโลกขึ้นไปมีร่องรอยการมาเยือนของฝนตลอดทาง อากาศเย็นสบายและมาสวยงามที่สุดเมื่อเราเห็นทิวเขาแถวอุตรดิตถ์มีหมอกลงจัดสวยงาม แม้จะเป็นภาพไกล ๆ ก็เถอะ
เสียดายที่ได้ไปนั่งตรงฝั่งซ้ายมือของขบวนรถ เลยไม่เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นจากด้านขวาของขบวน เสียดายมาก ๆ T^T
แล้วรถไฟก็มาถึงเชียงใหม่โดยสมบูรณ์เมื่อเวลา 12.10 น.เป๊ะ ๆ รอน้องมารับที่สถานีไม่นาน เราก็ไปเที่ยวห้างกันต่อจนตอนนี้ได้กลับมาอาบน้ำและงีบไปพักหนึ่งแล้วจึงได้มาอัพ
แพลนพรุ่งนี้ไม่ได้เตรียมการไว้ว่าจะไปไหน กะว่าจะอยู่เคลียร์ข้อสอบมิดเทอมและงานอื่น ๆ ให้เสร็จจนได้
------
รูปภาพ:
กล้อง Canon EOS KissX4 ของข้าพเจ้าเอง ปรับโฟกัสแบบแมนน่วลเพราะเลนส์พัง ชัดบ้างไม่ชัดบ้างต้องขออภัยจ้ะ
จากการบรรยาย รอบข้างครับ