Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่?(2)

(ต่อ) อาตมาจะโยง ให้เห็นถึงวัฎจักรและสาเหตุที่สัตว์มันต้องถูกฆ่าให้ดู ในหลักการของพ่อค้าเมื่อจะหาสินค้าซักอย่างนึงมาขาย ต้องทำยังไงบ้างโยมคิดซิ ….ให้เวลาคิด 1 นาที ไม่รอหรอก เฉลย

1. ต้องดูความต้องการของตลาด
2. ดูแหล่งวัตถุดิบ
3. ดูความคุ้มค่าในการผลิต

ถ้าเค้าผลิตออกมาแล้วไม่มีคนกิน ก็แย่นะ เจ้งแน่ ยกตัวอย่างไก่ย่าง 5 ดาว ขายดีเชียวในเมืองหลวง ตอนนี้ล่าสุดทำไก่จ้อออกมาอีก เป็นเพราะเค้าทำการตลาดถูกทาง คือมีการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ มีการวางจุดขาย กระจายอยู่ทั่วประเทศ รูปแบบร้านและสินค้า ดูแล้วน่าสนใจ น่ากิน มีความอร่อยด้วย คนถึงได้กินอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลากว่า 20 ปีนะ นี่แหละคือวัฎจักร เมื่อมีคนกินไก่ มันก็มีการฆ่าไก่ ยิ่งกินไก่กันมาก ไก่ก็จะถูกฆ่ามาก เมื่อต้องฆ่าไก่มากๆ ก็ต้องทำเป็นระบบ ก็ต้องทำเป็นโรงเลี้ยงไก่เอง ทำเป็นโรงงานฆ่าไก่ และแปรรูปไก่เอง ทำเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ คราวนี้ก็กระจายจุดขายสินค้าให้ทั่วถึง ทั่วทั้งประเทศ และยังผลิตเผื่อออกไปทั่วโลกอีก ถ้ายังผลิตไม่ทันขายอีกต้องใช้สารเร่งให้ไก่โตเร็วๆ จะได้ขายได้ทัน เมื่อไก่ถูกเร่งให้โตเร็วๆ ซึ่งเป็นการโตแบบผิดปกติ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ภูมิต้านทานในตัวไก่ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไก่เป็นโรคต่างๆ มากมาย มีไข้หวัดนกเป็นต้น ทีนี้ก็ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไก่สารพัดมากมาย คราวนี้คนที่กินเข้าไปได้รับผลโดยตรงเป็น 3 เท่าเลย คือ 1. สารเร่งให้สัตว์โตเร็วๆ 2. วัคซีนตกค้างต่างๆ 3. และสารพิษที่สัตว์หลั่งไว้ก่อนตาย มองเห็นภาพมั้ย

แต่ถ้ามีคนจำนวนหนึ่งที่รักษาศีลของพุทธองค์ได้อย่างเยี่ยมยอด เชื่อในคำสอนของพุทธองค์และพยายามที่จะสร้างบุญ โดยพยายามหยุด วัฎจักรการฆ่า ด้วยการที่ไม่กิน ไม่สนับสนุนสินค้าที่ทำจากหนังสัตว์ฯลฯ สัตว์เหล่านั้นก็จะตายน้อยลง ที่จะต้องเป็นเช่นนั้นเพราะพ่อค้าทำสินค้าออกมา แล้วขายไม่ได้ มันก็เหลือ ของสดเก็บไว้นานก็บูดเสีย เค้าก็จะต้องลดปริมาณการผลิตลง ยิ่งมีคนแบบนี้มากขึ้นๆ จนไม่มีคนบริโภคไก่ เค้าก็ต้องหยุดการผลิตไก่ หยุดการฆ่าไก่ นั่นเอง เข้าใจแล้วบ่ เออ เออ เข้าใจง่ายๆโตไวๆ

โยมอาจจะสงสัยว่า สารพิษ?? อะไรคือสารพิษ?? ไก่มีสารพิษด้วยหรอ ไม่ใช่งู จะมีพิษได้ไง?? ..ตอบ ไม่ว่าสัตว์หรือคน เมื่อเวลาเครียด วิตกกังวล กลัว หรือตกใจมากๆ จะหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา เรียกว่า อะดรีนาลิน adrenalin สารนี้เป็นสารที่มีตามธรรมชาติอยู่ในคน อยู่ในสัตว์ อยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เป็นสารที่หลั่งออกจากต่อมหมวกไต หรืออาจจะเรียกว่า epinephrine มันเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่กระตุ้นการเต้นของหัวใจ ให้สูบฉีดโลหิตมากขึ้น เป็นกลไกใช้สำหรับการเปลี่ยนแปลงโคเจนเป็นกลูโคส ซึ่งทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ทันที ทำให้มีเรี่ยวแรงมหาศาลขึ้นมาในทันทีนั้นเอง สารตัวนี้เมื่อหลั่งมากๆ ในเวลาที่เราตกใจ จะทำให้คนเรากระโดดข้ามกำแพงสูง 5 เมตรได้สบายๆ หรือแบกโอ่งมังกรที่มีน้ำอยู่เต็มได้อย่างสบายๆ ถ้าอยู่ในประเทศจีน การกระโดด เหาะบนยอดไม้ วิชาตัวเบาฯลฯ คือการเรียนรู้วิธีการดึงสารอะดรีนาลิน ผสานกับพลังจิต เค้าสามารถดึงพลังแบบนี้มาใช้เรียกว่า “กำลังภายใน” มาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์นั่นเอง ทีนี้สารเหล่านี้มีประโยชน์เมื่อใช้ในร่างกายเมื่อใช้แล้วหมดไป แต่มันจะมีโทษถ้าหลั่งมาแล้วไม่ได้ใช้ มันจะกลายเป็นสารพิษ สะสมตามกล้ามเนื้อระบบเลือดอยู่ในทุกส่วนของร่างกาย สารนี้จะมีน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับขนาดความใหญ่ของตัว สัตว์ตัวใหญ่ๆ จะมีสารอะดรีนาลิน มากกว่าสัตว์ตัวเล็กๆ อาตมาขอรับรองว่า สัตว์ทุกชนิดมีสารอะดรีนาลิน รวมทั้งคนด้วย ฉะนั้นเมื่อสัตว์ต่างๆ เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกฆ่า มันจะต้องตายแน่ๆ มันเครียด มันกังวล มันกลัว มันตกใจ มันเสียใจ จนแสดงออกให้เห็นได้ทางน้ำตา เมื่อสัตว์ตัวไหนจะถูกฆ่าแล้วเห็นน้ำตา แสดงว่าได้ผ่านกระบวนการ เครียด กังวล กลัว ตกใจ เสียใจ มาเรียบร้อยแล้ว สารอะดรีนาลิน ก็ได้ถูกฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายผ่านทางระบบโลหิตเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เมื่อเราบริโภคเลือดเนื้อของสัตว์ตัวนั้นจะอร่อยเป็นพิเศษ เพราะสารอะดรีนาลินเป็นสารที่ทำให้เนื้อมีรสชาติอร่อยขึ้น สังเกตได้จาก เวลาที่เสือมันจะกินเหยื่อ มันจะไม่กัดให้ตายในคราวเดียวมันจะล่าไปเรื่อยๆ มันจะปล่อยให้เหยื่อกลัวจนลนลาน ให้หนี ให้วิ่ง เพื่อให้สารอะดรีนาลินหลั่งให้หมดจนทั่วทั้งร่างกาย มันจะได้อร่อยกับสัตว์ตัวนั้นอย่างเต็มที่นั่นเอง และเมื่อคนบริโภคเนื้อสัตว์เหล่านี้ อะไรจะเกิดอะไรขึ้น โยมรู้มั้ย?? โยมจะกลายเป็นผู้รับสารก่อมะเร็งโดยตรง จะค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ทำลายร่ายกายของโยมไปทีละน้อยๆ และยิ่งถ้าโยม เป็นคนขี้โกรธ ขี้กังวล เครียด ขี้ริษยา โยมก็จะเป็นมะเร็ง และโรคร้ายแรงอย่างอื่น เร็วเข้าไปอีก งานนี้โยมรับ 2 ทางเลยคือจากการกิน และจากตัวเอง พุทธองค์ ทรงรู้ในข้อนี้ จึงให้ใช้จิตในการบำบัดรักษา จำไว้ว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว พุทธองค์ทรงพยายามสอนให้เราเป็นคนมีเมตตานะ กรุณานะ มุทิตานะ อุเบกขานะ ทั้งหมดนี้จะทำให้เราเป็นคนใจเย็นนะ วางเฉยนะ ไม่ยินดียินร้ายนะ แล้วไอ้เจ้าสารอะดรีนาลีนมันจะหลั่งมาทำร้ายโยมได้ยังไงนะ ใช่หรือไม่

อาตมายอมรับในส่วนนึงว่าเนื้อสัตว์มีประโยชน์ แต่มันก็มีโทษแฝงอยู่เช่นกัน มันเป็นคำสาปที่สัตว์ตัวที่ตายได้สาปแช่งไว้ และเมื่อกรรมของโยมมาบรรจบกันพอดี (กรรมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอกันนานเห็นได้ในชาตินี้แหละ) โยมก็หนีไปไม่พ้นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มะเร็ง โรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคอ้วน ความดันโลหิต ฯลฯ สารพัดมากมาย จริงมั้ยโยม หลักฐานคือผล ผลคือตัวอย่าง มันมีให้เห็นมาตั้งนานแล้ว อยากให้โยมลองมองย้อนไปถึงสาเหตุของคนเสียไปส่วนใหญ่ อาตมาไม่ต้องการขุดคุ้ยความเสียใจของญาติโยมถึงผู้ที่จากไปนะ แต่ต้องพูดเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นประจักษ์หลักฐานของจริงที่เห็นได้ ไม่ต้องมองไกลถึงไหน ให้มองในหมู่บ้านเรานี่แหละ ให้สังเกตดังนี้

1. ส่วนใหญ่ผู้ที่เสียไป จากไปด้วยอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ อย่างไหนมีมากกว่ากัน และเป็นโรคภัยไข้เจ็บอะไร เกิดขึ้นที่ส่วนใดของร่างกาย
2. พฤติกรรมการกินของคนนั้น ชอบกินอะไร เหล้า บุหรี่ กัญชา ยาเสพติด เนื้อวัว เนื้อสัตว์ชนิดไหน ชอบอะไรเป็นพิเศษ
3. การนอนหลับพักผ่อน การดูแลรักษาร่างกาย ออกกำลังกายบ้างมั้ย หรือเอาแต่กินกับนอน

เมื่อโยมพิจารณาวิเคราะห์ให้ดีๆ อย่างลึกซึ้งและไม่โอนเอียง ตัดรายที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุออกไป คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง เรื้อรัง รักษาไม่หาย ส่วนน้อยมากที่จะเป็นผู้ไปด้วยดี คือนอนหลับยาวไปเฉยๆ โรคส่วนใหญ่ที่เป็นคือ มะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิต เบาหวาน เจ็บอ่อดๆแอดๆ ภูมิแพ้ อัมพฤต อัมพาตฯลฯ ซึ่งผลวิจัยส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการกินอาหารที่ผิดวิธี กินไม่ตรงกับที่ร่างกายต้องการ ยกตัวอย่างในต่างประเทศ เป็นโรคอ้วนกันมาก เพราะส่วนใหญ่อาหารของฝรั่งจะหนีไม่พ้น ชีสต์ ขนมปัง เนย ไขมันสัตว์ เบียร์ฯลฯ ที่ต้องกินเช่นนี้เพราะเค้าเป็นเมืองหนาวจะทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่อาหารเหล่านี้ ล้วนแต่ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนทั้งสิ้น โรคอ้วนนี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายอ้วนแค่นั้น มันยังทำให้ระบบร่างกายผิดปกติตั้งแต่ภายในแทบทุกส่วน ไขมันที่อยู่ในเลือดมากเกินไปเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดตีบแคบลง ทางเดินเลือดไม่สะดวก ให้โยมนึกถึงท่อประปา เวลาที่โยมปั้มน้ำใส่ท่อที่ใหญ่ เครื่องปั้มจะทำงานไม่หนัก แต่พอเปลี่ยนท่อให้เป็นท่อที่เล็กๆ เครื่องจะทำงานหนักทันที ไม่นานเครื่องปั้มก็ต้องพังไป ต้องเปลี่ยนอะไหล่ตัวใหม่ แต่พอกลายเป็นหัวใจที่ต้องทำหน้าที่ปั้มเลือด พอเจอกับเส้นเลือดที่มันเล็กลง มันก็ต้องปั้มแรงขึ้น ทำงานหนักขึ้น แต่ที่แย่คือหัวใจไม่มีอะไหล่เปลี่ยน พังแล้วก็ตายอย่างเดียว ยิ่งเวลาที่เราออกแรงด้วยแล้ว จะทำให้เราเหนื่อยง่าย ลองเริ่มสังเกตตัวเองนะ โยมออกจากบ้านเดินยังไม่ทันพ้นปากซอยเลย ก็เหนื่อยแล้ว เดินถือตะกร้าอาหารจากบ้านมาวัดก็เหนื่อยแล้ว แบบนี้แสดงว่าร่างกายของเราเริ่มผิดปกติ ให้เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมเงินไว้บ้างจะเป็นการดี โรคอ้วนยังเป็นสาเหตุของไขข้อต่างๆ ในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติอีก ทำให้เราปวดแข่งปวดขา ปวดตามข้อต่างๆ จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร นั่นแหละ โรคอ้วนอาจเป็นสาเหตุของอัมพาตซึ่งเกิดจากการขยายตัว การพอกของไขมันตามส่วนต่างๆ ในร่างกายและไปกดทับเส้นประสาทต่างๆ สาเหตุใหญ่ๆ มาจากการ บริโภคเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์ที่ร่างกายย่อยสลายไม่ได้ มันจะอุดตันและขวางทางเดินเลือดสะสมตามส่วนต่างๆ ที่เค้าเรียกว่า คอเรสเตอรอล นั่นแหละ ซึ่งทำให้เกิดโทษมากมาย ซึ่งในขณะนี้ทั่วโลกเริ่มที่จะนิยมหันมากินอาหารมังสวิรัติ vegetarian food กันมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเป็นที่ประจักษ์ในวงการแพทย์แล้วว่า ผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารมังสวิรัติ ชีวจิต แม็คโคไบโอติก อย่างถูกหลัก และออกกำลังกายร่วมด้วย จะไม่เป็นโรคเจ็บป่วย ร้ายแรง เช่น มะเร็ง ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคไขข้อกระดูกเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ ฯลฯ ส่วนโรคกระจิ๊บ กระจ้อย ไม่ต้องพูดถึง บางรายหายขาดจากการเป็นโรคภูมิแพ้ โรคเลือด และโรคเรื้อรังต่างๆ ก็หายเพราะการกินอาหารที่ถูกหลัก ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคเบาหวาน มีแผลเน่าเต็มเท้าและขา และเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาเป็นอาหารชีวจิต แผลที่เรื้อรังต่างๆ ก็ลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ ภายใน 3 เดือนเท่านั้น ยาหมอไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ต้องกินเลย ความดันก็เข้าสู่ระดับปกติเหมือนคนเป็นปกติทุกอย่าง ทั้งนี้ก็ต้องควบคุมน้ำตาลด้วย เจ้าน้ำตาลนี่ตัวร้ายเลยโยม มันเป็นอาหารของแบคทีเรีย ทำให้แผลเรื้อรังต่างๆ ไม่หายซักที ก็เพราะเรากินน้ำตาลเข้าไปเลี้ยงไว้ เชื้อโรคต่างๆ ในร่างกาย แบคทีเรียจึงมีอาหารที่ใช้สำหรับการเจริญเติบโต ถ้าโยมกินอาหารที่ไม่ใส่น้ำตาลได้ยิ่งดีและเป็นผลดีกับตัวโยม พูดถึงอาหารแม็คโคไบโตติก จะคล้ายกับมังสวิรัติ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ มีการคัดเลือกวัตถุดิบในการทำอาหาร คือจะต้องจับคู่วัตถุดิบในการปรุงอาหารที่เข้ากัน เช่น ในอาหาร 1 จาน วัตถุดิบตัวนี้อยู่ในหมวดร้อนต้องคู่กับวัตถุดิบหมวดเย็น เลือกให้เข้ากับหลักสมดุลหยินหยางนั้นเอง เพราะถือว่า ถ้าเราจะปรับสมดุลร่างกาย เราก็ต้องปรับสมดุลตั้งแต่อาหารที่จะกินเข้าไปซะก่อน นั่นเอง สอดคล้องกับที่พุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ทำอะไร ก็จะได้อย่างนั้น” คือกินอะไร ก็จะได้อย่างนั้นเช่นกัน อาหารเจ มังสวิรัติ ชีวจิต แม็คโคไบโอติก คือการใช้อาหารเป็นยาอายุวัฒนะ นั้นเอง เข้าใจแล้วบ่ เออ เออ เข้าใจง่ายๆ โตไวไว

ครั้งที่ 8 ทีนี้พูดถึงโรคที่เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่เสียไป ไม่ใช่เฉพาะที่หมู่บ้านนี่นะ ทั่วประเทศทั่วโลกก็เป็นกัน หนีไม่พ้นเรื่องการกินสัตว์ ยิ่งชอบกินสัตว์ใหญ่ก็ไม่พ้นมะเร็งขั้นรุนแรง เป็นในตำแหน่งที่ยากแก่การรักษา การบำบัดรักษาด้วยคีโม ฉายแสงก็ทำไปยังงั้นแหละ เอาเงินเข้ากระเป๋าหมอ ประวิงเวลาผลาญเงินตัวเองเล่นๆ เผาผลาญเงินลูกหลานเล่นๆ หายก็ไม่หาย ถึงหายแล้วก็เป็นอีก คราวนี้เปลี่ยนจุดไปอีกเรื่อยๆ อุตสาห์หาเก็บเงินมาตั้งนาน แก่งแย่งชิงดีกันแทบตาย เหนื่อยแทบตาย ก็เอาเงินมาใช้รักษาตัวเอง เอามาใช้งานศพตัวเอง ใช่มั้ย ผู้ที่ชอบกินขาหมู เนื้อตุ๋น กินมันทุกวัน แน่นอนเลย หนี้ไม่พ้นจะต้องเป็นโรคเส้นเลือดอุดตัน ความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเราไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของโรค คนเราจะมีอายุยืนนานมีสุขภาพดีก็อยู่ที่การกิน อยู่ที่ว่าเรานำอะไรใส่ปากนี่แหละ ไม่ต้องไปกินยาสมุนไพรวิเศษอะไรที่ไหนเลย กินให้ถูกวิธีกินอย่างที่มนุษย์ กินตามสภาวธรรมของมนุษย์ เพียงโยมต้องนำสภาวธรรม มาปกครองการกินเท่านั้น โยมจะพ้นจากคำสาปของสัตว์ และก็โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงได้อย่างแน่นอน

อาตมาจะเปรียบเทียบโยมแต่ละคนตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับ “สุสานคนเป็น” ขณะนี้โยมเป็นอย่างนี้จริงๆ ท้องของโยม ร่างกายโยม เป็นสุสานของสัตว์ต่างๆ ที่โยมกินเข้าไป ตั้งแต่เด็กจนโตไม่รู้เท่าไหร่ เทวดาที่ไหนจะปกปักษ์รักษาตัวโยมได้อย่างเต็มที่ จะพูดจะอธิฐานอะไรต่อเทวดา ก็เหม็นคละคลุ้งไปหมด เหม็นไปด้วยซากสัตว์ที่ตายไปแล้วไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนตัว ดวงจิตของสัตว์เหล่านี้แหละที่เป็นตัวเกาะพุทธจิตธรรมญาณ ให้มีความหมองหม่น มีผลให้เป็นคนโกรธง่าย โมโหง่าย เป็นคนขี้ริษยา ชอบใช้กำลังมากกว่าเหตุผล ยากแก่การควบคุม ยากแก่การเห็นธรรม ยากแก่การชำระให้ขาวสะอาด ยากแก่การไปสู่ภพภูมิที่ดี ยากแก่การหลุดพ้น ถึงตอนนี้โยมบางคนอาจจะแย้งในใจว่า “แล้วทำไมพระที่ฉันอาหารที่มีเนื้อสัตว์ยังหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ตั้งเยอะแยะ จะกินหรือไม่กินก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” (หัวหมออีกแล้ว) อาตมาขอตอบแทนพระเหล่านั้นว่า พระย่อมฉันอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายเลือกไม่ได้ ที่พระต้องฉันเนื้อสัตว์ ก็เป็นการฉันเพื่อให้ร่างกายหรือขันธ์คงอยู่ ฉันเนื้อสัตว์ลงไปโดยไม่ได้ติดใจในรสอร่อย ไม่มีอุปทานว่ากำลังฉันเนื้อสัตว์ที่มีรสเลิศหรูโอชา หากแต่ถือเอาว่า อาหารเหล่านี้คือปฏิกูลสำหรับร่ายกายที่ต้องเน่าอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว เพื่อให้ดำรงอยู่ได้เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นเท่านั่นเอง เข้าใจบ่ แต่ถ้าโยมอยากจะให้พระอายุยืนยาวอยู่แสดงธรรมให้โยมได้นานๆ ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน โยมก็ต้องทำอาหารมังสวิรัติถวายพระ ไม่ต้องกลัวว่าพระจะไม่ฉัน เพราะพระต้องฉันอาหารตามที่โยมนำมาถวาย เพราะพระไม่มีสิทธิ์เลือกฉัน จริงมั้ยพระ แต่อาตมาเลือกฉันเฉพาะที่พอจะฉันได้ ถึงตรงนี้พระบางรูปอาจจะโกรธอาตมา ฉันคนเดียวไม่พอ ยังจะมาบังคับให้ฉันแบบเดียวกันอีก เอ้า!! อาตมาไม่ได้ไปบังคับโยมนะ โยมเค้าคิดได้เอง โยมเค้ารักพระจริงเค้าถึงทำแบบนี้ เดี๋ยวนี้โยมเค้า คิดจริง ทำจริง ใช่หรือไม่

เราลองมาดูในแง่ของศีล 5 กันบ้าง ที่โยมรับศีลไปทุกๆวันพระ โยมแน่ใจแล้วหรือว่าถือได้ครบทุกข้อบริบูรณ์ ตอบดังๆในใจ… ทบทวนกันซะหน่อย ศีล 5 มีอะไรบ้าง
1. ห้ามฆ่าสัตว์
2. ห้ามลักทรัพย์
3. ห้ามประพฤติผิดในกาม
4. ห้ามพูดโกหก
5. ห้ามดื่มสุรา
แต่บางคนท่องแบบนี้
1. ห้ามฆ่าสัตว์ถ้ายุงกัดเราก็ตบ
2. ห้ามลักทรัพย์ ถ้าเค้าเผลอเราก็หยิบ
3. ห้ามบ้ากาม ถ้าเค้าตามเราก็เอา
4. ห้ามพูดปด ถ้าเราตดบอกว่าเปล่า
5. ห้ามดื่มเหล้า ถ้าจะเมา เอาให้เละ ใช่หรือไม่

กับการที่โยมกินเนื้อสัตว์เพียงตัวเดียว โยมรักษาศีลได้ไม่ครบแล้วนะรู้ตัวมั้ย และไม่ได้ผิดธรรมดา ผิดรวดเดียว 4 ข้อเลย ทำหน้างงอีก เอ้า!!อธิบายให้ฟังต่อ เราถือเอาวิสาสะคิดว่าสัตว์เหล่านั้นกินได้ เหล่านี้กินได้ เราแย่งชิงมาโดยที่เจ้าของเค้าไม่ได้ให้ เราไม่ได้เอาเปล่าเราเอาทั้งตัวเค้า เอาทั้งชีวิตของเค้ามาเลย แล้วเคยมีมั้ยที่สัตว์มันจะบอกว่า “เอาไปเลยลูกพี่ เอาชีวิต เอาเนื้อผม เอาเลือดผม ไปทำอาหารให้อร่อยเหาะไปเล้ย!! เอ้าถ้ายังไม่พอกิน เอาลูกผม เมียผม ไปกินด้วยเลย เพื่อลูกพี่ผมเต็มใจถวายชีวิตนี้ให้ครับ” แบบนี้มีมั้ย?? หรือสัตว์มันเห็นโยมถือมีดกับเขียง มันก็รีบวิ่งเอาคอมานอนรอบนเขียงบอก “ลูกพี่รีบๆ สับคอผมเลยเร็วๆ ผมเมื่อยแล้วนะ” มีมั้ย?? มีแต่มันจะวิ่งหนี มันร้องขอชีวิตมันพูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ มันก็ร้องเป็นเสียงสัตว์แต่เราฟังไม่เข้าใจ แต่มีผู้รู้แปลออกมามีเนื้อหาใจความเดียวกันคือ “ไว้ชีวิตฉันเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันต้องมีภาระเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย/เลี้ยงผัว อย่ากินฉันเลยนะ ขอร้องล่ะ” ถึงตรงนี้ โยมรู้ตัวรึยังว่าผิดศีลข้ออะไรบ้าง

1. ขโมยชีวิต ฆ่าสัตว์ + ลักทรัพย์ เอาชีวิตเค้ามาโดยที่เค้าไม่ยินดีที่จะให้
2. โยมทำลายชีวิตครอบครัวเค้าให้พินาศแตกแยก อาจจะขาดพ่อ ขาดแม่ ขาดลูก ไม่ต่างอะไรกับ การประพฤติผิดในกาม ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกเช่นกัน
3. โยม พูดโกหก ปากบอกว่าถือศีลๆ แต่จริงๆแล้วยังไม่ได้ถือแบบนี้เข้าข่าย “มือถือมีด ปากถือศีล”

พอล่ะขี้เกียจจับผิด ปวดหัว โยมฆ่าสัตว์ตัวเดียวแต่ทำผิดศีลถึง 4 ข้อ รักษาศีลได้ข้อเดียว คือ เรื่องเหล้า แล้วแบบนี้จะได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วยกันได้อย่างไร ใช่หรือไม่

มาดูในแง่ของวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องไปดูที่ไหน ดูที่ร่างกายโยมนั่นล่ะ เคยส่องกระจกดูตัวเองบ้างมั้ย พิจารณาตัวเองในกระจกทุกเช้าบ้างรึเปล่า ผิวหนังเหี่ยวย่น หน้าตา รูปร่าง เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แล้ว เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ โยมมีเวลาที่จะต้องทำความดีมีน้อยลงไปทุกวันๆนะพูดถึงส่องกระจกต่อ จะส่องกระจกก็ได้แต่ภายนอก โยมต้องส่องลงไปให้ถึงใจด้วย พิจารณามันทุกเช้า ใจโยมเป็นพรหมเป็นพุทธะแล้วรึยัง หรือใจเรายังเป็นยักษ์เป็นมารอยู่ เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลย ส่องกระจกทุกครั้งให้ส่องลงไปให้ลึก ถึงจิต ถึงใจ มองดูว่าเรามีความเมตตารักใคร่ผู้อื่นแล้วรึยัง ถ้าโยมยังไม่สามารถรักเพื่อนบ้าน เหมือนญาติสนิทเหมือนพี่น้องของเราเอง ยังรักพ่อแม่คนอื่น เหมือนพ่อแม่ของเราเอง ยังรักผู้ที่เราไม่รู้จัก เหมือนญาติสนิทของเรา ถ้ายังทำไม่ได้โยมต้องเริ่มฝึกนะ เพียงแค่ยิ้มให้หน่อย ทักทายนิดๆ ผู้ที่เห็นจิตใจก็ชุ่มฉ่ำแล้ว แต่ไม่ต้องไปรักแฟนคนอื่นเหมือนแฟนของเราเองนะ มันจะผิดศีลข้อ 3 ทันที ถ้าทำได้แบบนี้ เท่ากับโยมน้อมนำสภาวธรรมเข้ามาใส่ตัวนะ ผู้ที่หน้าตาไม่สวย ไม่หล่อ รูปร่างไม่ดี แต่แสดงออกโดยการยิ้มอย่างจริงใจ อ่อนน้อม สุภาพ คนนั้นเค้ากำลังปฏิบัติธรรมอยู่นะโยม และธรรมก็กำลังปกปักษ์รักษาเค้าอยู่เช่นกัน มีร้านขายข้าวแกงอยู่ 2 ร้านติดๆกัน ร้านแรกหรูหรา สะอาดสะอ้าน ถูกสุขลักษณะ แต่เจ้าของร้านหน้าหงิกหน้างอพูดจาก็ไม่ไพเพราะ “เอ้ย!! เอาอะไร!! นึกนานจัง เห็นมั้ยคนต่อคิวเป็นกิโลแล้ว เร็วๆหน่อย จะสั่งอะไรก็หัดนึกล่วงหน้าไว้ก่อนด้วยนะ” ส่วนอีกร้านนึง ร้านก็ไม่สวย ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ แต่คนขายสีหน้ายิ้มแย้ม อ่อนน้อม พูดจาก็ไพเราะน่าฟัง “เชิญค้าาา วันนี้ทานอะไรดีค้า เรามีอาหารพิเศษเป็นอาหารมังสะวีรัติรสเด็ดด้วยนะค้ะะะ จะรับสักที่มั้ยค้ะะะคุณ” แหมพูดเพราะแบบนี้ คนไม่เคยกินมังสวิรัติก็ยังอยากจะลองกินดูสักจาน ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นโยมจะเลือกเข้าร้านไหน ร้านที่มีธรรมะปกครอง กับร้านที่ไม่มีธรรมะปกครอง?? อ่ะต่อ เรื่องกระจกเมื่อโยมส่องกระจกมองเห็นแต่เพียงผิวหนังร่างกายภายนอกเท่านั้น แต่อาตมาจะส่องให้เห็นชิ้นส่วนภายในของโยมแต่ละคนเลยนะ เอาตั้งแต่ปากเลย ว่ามันต้องการอาหารอะไรและเหมาะสมกับอะไร ควรจะเอาอะไรใส่เข้าไปในปาก

ฟัน ฟันของโยมถ้าอยู่ครบจะมีทั้งหมดกี่ซี่ ไปนับดู ไหนยิงฟันดูหน่อยซิ มีใครมีเขี้ยวงอกออกมาเหมือนเสือบ้างมั้ย ถ้าตอบว่ามี อาตมาจะไปถ่ายรูปฟันโยม โพสต์รูปลงอินเตอร์เน็ตให้คนดูทั้งโลกเลยคอยดู ฟันของคนไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับฉีกกัดเนื้อสัตว์ ถึงจะมีเขี้ยวก็มีนิดเดียวเท่านั้นเอาไว้ใช้ด้านสวยงาม ใช้ประโยชน์อะไรจริงจังไม่ได้ ฉีกกัดเนื้อสดๆ ให้ขาดออกจากกันไม่ได้ส่วนใหญ่เราจะใช้ฟันกรามในการเคี้ยวบดอาหาร เราเคี้ยวอะไรละเอียดก่อน ข้าว/ผัก/หมู? ข้าวกับผัก ใช่มั้ย ส่วนหมูเนื้อสัตว์ก็ต้องเคี้ยวนานหน่อย ใช่หรือไม่ กระดูกเคี้ยวได้มั้ย จะเคี้ยวกระดูกดังกรั๊วปๆ เหมือนหมาได้มั้ย จริงๆ แล้ว อาตมาไม่อยากจะเอาสัตว์มาเปรียบเทียบกับคนนะ เพราะมันต่างกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนกับสัตว์มีส่วนคล้ายกันมากๆ มันต่างกันที่ขนาดรูปร่างแค่นั้นเอง แต่องค์ประกอบภายในเหมือนกันแทบจะทุกส่วน ฟันมนุษย์ คล้ายกับสัตว์กินพืชแทบทุกชนิด หรือฟันสัตว์กินพืชแทบทุกชนิดคล้ายฟันมนุษย์ สัตว์ที่มีลักษณะฟันคล้ายมนุษย์ที่สุด คือ ลิง วัว ควาย แพะ แกะ ลา ม้า กวาง เลียงผา ย้อนไปกระทั่งไดโนเสาร์พันธุ์คอยาว มีสัตว์ตัวไหนบ้างไหมที่อุตริกินเนื้อสัตว์ด้วยกัน ฟันลักษณะแบบนี้ มันถูกออกแบบมาให้เหมาะที่จะบดเคี้ยวหญ้า ผลไม้ พืชผัก เท่านั้น เนื้อสัตว์กินไม่ได้ ขนาดน้ำลายที่ปล่อยออกมาย่อยอาหารด่านแรก ทั้งของคนและสัตว์เหล่านี้ มีฤทธิ์เป็นด่าง ย่อยได้แต่ผัก และแป้งได้ดีมาก สังเกตยิ่งเคี้ยวข้าวนานก็ยิ่งหวานอร่อย เพราะน้ำลายเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล น้ำลายมนุษย์ไม่ได้มีฤทธิ์เป็นกรดไม่เหมาะสมที่จะย่อยเนื้อสัตว์ เหมือนกับพวกสัตว์กินเนื้อเหล่านั้น

กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารเป็นระบบย่อยด่านที่ 2 ที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารละเอียดขึ้นไปอีก ลักษณะการทำงานคือจะบีบตัวบิดไปบิดมา และขณะที่บิดตัวคลุกเค้าอาหารก็จะปล่อยน้ำย่อยออกมาด้วย เมื่ออาหารคลุกเค้ากับน้ำย่อย ก็จะทำให้ย่อยสลายอาหารได้เร็วขึ้นและก็พร้อมที่จะนำไปใช้ดูดซึมต่อไป ลิง วัว ควาย แพะ แกะ ลา ม้า เลียงผา รวมถึงคน น้ำย่อยของสัตว์กินพืชทุกชนิดจะมีฤทธิ์เป็นด่าง ย่อยได้ดีเฉพาะผักผลไม้ข้าวธัญพืชทุกชนิด ย่อยได้ไม่ดีคือเนื้อสัตว์ ส่วนสัตว์ที่กินเนื้อ น้ำย่อยของมันมีฤทธิ์เป็นกรด ย่อยได้ดีเฉพาะเนื้อ วิธีพิสูจน์กับตัวเองง่ายๆ ให้โยมกินแต่เนื้อสัตว์ล้วนๆ ห้ามปนด้วยข้าวและผัก 5-7 วัน เช้า กลางวัน เย็น กินจนอิ่ม แล้วรู้สึกอย่างไร มาบอกอาตมาเป็นการส่วนตัว แต่จะเฉลยแล้วกันขี้เกียจรอ โยมจะรู้สึกท้องอืดอาหารไม่ย่อย ท้องผูก ระบบขับถ่ายเริ่มมีปัญหา สิวขึ้น อึดอัดไม่กระฉับกระเฉง แต่ในทางกลับกัน ให้โยมกินแต่ผักผลไม้ธัญพืชห้ามปนด้วยข้าวและเนื้อ 5-7 วัน เช้า กลางวัน เย็น กินจนอิ่ม แถมให้กินตอนกลางคืนด้วยก็ได้ ไม่ต้องตอบ อาตมาตอบเอง คราวนี้ ท้องโยมจะรู้สึกเบาสบาย ตัวเบาๆ ถ่ายคล่อง ผิวพรรณดี รู้สึกชื่นสดใส สิวฝ้าเริ่มๆ จะลดลง หน้าใส ไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม น้ำหนักตัวเริ่มลดลง ฉะนั้น ถ้าเรากินสิ่งที่ถูกต้อง ร่างกายจะตอบรับและให้คำตอบกับตัวเราเองได้ดีที่สุด ว่ามันต้องการอะไร ฮู้บ่ เออ เออ

ระบบลำไส้เล็กและใหญ่ ระบบลำไส้เป็นตัวที่จะดูดซึมสารอาหารที่ย่อยจากกระเพาะอาหารเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ลำไส้เล็กจะดูดซึมสารอาหารก่อน (ในภาพเป็นภาพตัดของลำใส้เล็กจะมีส่วนสำหรับดูดซึมอาหาร) อาหารส่วนที่เหลือลำไส้ใหญ่จะดูดซึมต่อและท้ายสุดจะเหลือเพียงกากอาหารก็จะถูกปล่อยสู่ชักโครกต่อไป เสียดายที่นี่ไม่มีอินเตอร์เน็ต จึงไม่มีภาพประกอบ และอาตมาจะลากไส้ออกมากองให้เห็นก็คงจะไม่ได้ จะบอกแต่เพียงว่า ระบบย่อยอาหารโดยรวมของคนมีความยาวประมาณ 26 เท่าของกระดูกสันหลัง หรือประมาณ 5 เท่าของความสูงร่างกาย มันยาวไม่ใช่เล่นนะโยม แต่ถ้าเป็นสัตว์กินเนื้อ ลำไส้ของมันสั้นๆ มีไม่กี่ขด กินแล้วย่อยอาหารและดูดซึมเล็กน้อยแล้วขี้ออกเลย ลำไส้ของมันถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับเนื้อสัตว์คือให้ย่อยเร็วถ่ายเร็ว แต่ของคนและสัตว์กินพืชออกแบบมาเฉพาะผักผลไม้ธัญพืช ให้โยมนึกสภาพของที่เน่า 2 อย่างนะ จานนึงใส่ผักธัญพืชต่างๆ แบบรวมมิตร อีกจานใส่เนื้อสัตว์รวมมิตรต่างๆ ทิ้งไว้ 3 วัน แล้วดมดู อันไหนเหม็นเน่ากว่ากัน พิจารณาดูว่า อันไหนหนอนขึ้นมากกว่ากัน แล้วจินตนาการถึงตอนที่มันอยู่ในลำไส้ของโยม ค่อยๆย่อย ค่อยๆไหลไปเรื่อยๆ กระดื๊บๆไปเรื่อยๆ บีบรัดไปเรื่อยๆ ลำไส้เวลาบีบรัดเหมือนงูที่กินหนูอ่ะนะ กว่ามันจะออกไปสู่ส้วมได้ ใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน ความยาวลำไส้ขนาดนี้ถ้ากินเนื้อสัตว์เข้าไปกว่ามันจะออกไปหมดไส้เน่ากันพอดี มะเร็งลำไส้ก็เกิดจากสาเหตุที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำนี่แหละ แต่ไม่มีรายงานผู้ที่เป็นมะเร็งลำไส้เพราะกินผักเป็นประจำ พอจะเห็นภาพมั้ย เอาล่ะเดี๋ยวจะกินข้าวไม่ลงกันซะก่อน เท่าที่ได้พิมพ์มายืดยาว นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแง่ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัวเลยเป็นสิ่งที่อยู่กับเรานี่แหละพิสูจน์และเห็นได้ด้วยตัวเอง อาตมาจะพูดถึง จุดสูงสุดของเบื้องบน เค้าก็มีมาตรฐานในการเลือกคนขึ้นไปบนนั้น ซึ่งเป็นไปตาม หลักธรรมชาติ กฎธรรมชาติ เกณฑ์ธรรมชาติ เพื่อที่จะให้ดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพานได้ กฎเกณฑ์หนึ่งในนั้นคือความบริสุทธิ์ ของร่างกายและจิตใจ พลังเบื้องบนจะมีแรงดึงดูด เฉพาะที่สิ่งเบาและบริสุทธิ์เท่านั้น ส่วนนรกจะมีแรงดึงดูดเฉพาะพลังสกปรกและขุ่นมัวเท่านั้น ผู้ที่กินสัตว์ย่อมทำให้ดวงจิตขุ่นมัวหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผู้ที่กินแต่ผักย่อมทำให้ดวงจิตสว่างใส หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นอยู่ที่เราเองแล้วว่าตั้งใจจะไปที่ไหน

ขุ่นและใส อยู่ด้วยกันได้ แต่ไม่ปะปนกัน เบื้องบนมีวิธีการคัดแยกคนที่เป็นมาตรฐานเดียวกันคือ ต้องแยกคนสะอาดออกจากคนสกปรก วิธีการแยกก็ง่ายๆ เหมือนโยมตักกาแฟคนใส่แก้วใส ทิ้งไว้สักพัก สิ่งที่เป็นของสกปรกจะตกลงสู่ก้นแก้ว ส่วนข้างบนจะใสสะอาด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าอะไรควรตักขึ้น อะไรควรเททิ้ง คนที่กินแต่เนื้อสัตว์เลือดสกปรก ร่างกายสกปรก จิตใจก็ขุ่นมัว ก็ต้องตกลงไปอยู่แต่ข้างล่าง ส่วนผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์เลือดสะอาด ร่างกายสะอาด จิตใจจะเบาสบาย ก็จะขึ้นข้างบน พิจารณาให้ถี่ถ้วนโยมจะเห็นได้ด้วยตนเอง

ถึงตรงนี้โยมอาจจะเริ่มลังเล เพราะไม่มีตัวอย่างให้เห็น หรืออาจจะเคยได้ยินมานานแล้วว่ากินแต่ผักแล้วมันดี ดียังงั้น ดียังงี้ แต่ไม่เคยเห็นว่ามีใครที่ไหนกินสักที โยมอาจจะย้อนอาตมาว่า แล้วคนที่มานั่งเขียนให้อ่านเนี่ยลองกินดูแล้วหรอ นั่นเข้าทาง (อาตมาเขียนเองชงเอง) อาตมาเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินโดยที่ไม่แตะต้องเนื้อสัตว์เลย เมื่อ 28 เมษายน 2544 ปีนี้ย่างเข้าปีที่ 7 แล้ว แรกๆ แรงจูงใจของอาตมาที่ทำให้เลิกกินเนื้อสัตว์มาจากสาเหตุที่ว่า อาตมาอยากสร้างกุศลและอุทิศส่วนกุศลนี้ให้โยมแม่ของอาตมาพ้นจาก บาปกรรมเร็วๆ อาตมาช่วยเค้าในเรื่องเงินไม่ได้ เพราะได้ช่วยจนหมดแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น จึงหาวิธีอื่นช่วยแทน อาตมาก็ได้บอกกับเจ้าตัวโดยตรงนะ จำได้ว่าร้านผัดไท แถวหอนาฬิกาที่กระทุ่มแบน “แม่เต้ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วนะ เอ้า??ทำไมล่ะ อยากได้บุญเอาไว้ให้แม่ใช้ไง เหอะๆๆ..บ้า(แม่หัวเราะ)” แหมมาว่าเราอีก ซึ่งผลที่ได้ก็คือยังไม่ดีขึ้นเหมือนเดิม อาตมาจึงมาพิจารณาได้ว่า บาปกรรมของใครก็ของมันต้องชดใช้กันเอง คนอื่นมาใช้แทนกันไม่ได้ แต่บุญกุศลที่อาตมาทำไว้ อาตมารับเองโดยตรงคือ รู้สึกดีขึ้นอย่างๆ มากๆ ใจเราเย็นลง สงบ เป็นสุข มองโลกเปลี่ยนไป เข้าใจโลกมากขึ้น ได้มีมิตรทางการงาน ไปไหนใครก็รักก็สงสาร ให้ความช่วยเหลือ ไปขายงานก็ได้ง่ายๆ ไม่ต้องพูดเยอะเลย อยู่เฉยๆ งานก็มาเอง เงินก็มาเอง นี่อาจจะเป็นอานิสงค์ที่อาตมาได้ปฏิบัติมาตลอด พูดธรรมะ ให้ธรรมะเป็นทาน ฯลฯ

หลักการกินของอาตมาเวลาอยู่บ้าน อาตมาจะทำถูกต้องตามหลักอาหารเจ ซื้อโน่นนี่มาเตรียมไว้ มีตำราทำอาหารเจ 3 เล่ม แต่ถ้าไปกินข้างนอก ก็จะลดความตึงลงแค่ มังสวิรัติ หรืออาจจะเข้าร้านอาหารตามสั่งทั่วๆ ไป สิ่งที่ชอบคือ เต้าหู้ไข่ผัดน้ำพริกเผาใส่พริกหยวกด้วย หรือไม่ก็คื่นไช่ขาวใส่เต้าหู้แผ่น หรืออีกทีก็แกงส้มชะอมไข่ใส่มาม่า ฯลฯ แต่ถ้าไปกินกับเพื่อนฝูงหรือต้องเข้าสังคมหมู่มาก อาตมาก็จะลดความเข้มงวดลงเป็น เจเขี่ย เค้าเรียกยังงี้นะ ก็คือเขี่ยเนื้อสัตว์ออกซะ อย่างเช่นผัดผักรวมมิตร อาตมาก็จะเลือกกินแต่ผักๆ กุ้งหอยปูปลาไม่เอา แต่หลังๆ โยมเพื่อนเริ่มคล้อยตามก็จะสั่งพวก ผักๆ มากินและก็เห็นลดเนื้อสัตว์กินแต่พวกปลา

ความรู้สึกในครั้งแรกเมื่อเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน อาตมารู้สึกว่า หิวเร็วขึ้นเล็กน้อย กินบ่อยขึ้น แต่ประมาณอาทิตย์นึงก็อยู่ตัว สำหรับใครคิดจะเริ่มกินแบบนี้ต้องมีวิธีกิน ถ้าไม่รู้จักวิธีกิน อาจจะเป็นโทษแก่ร่างกายได้ อาจจะเป็นโรคขาดสารอาหารแทน คือมึนงง ตัวเหลืองไปเลย เวลาเปลี่ยนต้องค่อยๆ ลดปริมาณเนื้อสัตว์ลง จนกระทั่งไม่มี เพราะร่างกายโยมเคยชินกับเนื้อสัตว์มานานแล้วอย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า เข้าใจ๋

บอกความหมายซะหน่อย มังสวิรัติ มาจากคำศัพท์ 2 คำ รวมกัน มังสะ แปลว่า อาหาร วิรัติ แปลว่า การละเว้น เมื่อมารวมกัน ก็จะเป็น “อาหารที่ละเว้นจากชีวิต” ความแตกต่างของ “มังสวิรัติ” กับ “เจ” มีความแตกต่างกันมาก ชื่อก็ไม่เหมือนกันแล้ว อาหารเจ เครื่องครัวประกอบอาหาร ต้องแยกต่างหากไม่ให้ปนกับของคาว คือต้องซื้อใหม่หมด ใช้เฉพาะเจเท่านั้น ส่วนมังสวิรัติ ยังไงก็ได้ แยกก็ดี หรือไม่แยกก็ไม่ว่ากัน เจ ไม่ใช้ผักมีกลิ่นฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว (คือกระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาวกว่า), กุยช่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กว่า) ใบยาสูบ เพราะเชื่อว่าพืชผักเหล่านี้จะเข้าไปเพิ่มความกำหนัดทำลายพลังธาตุในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะสำคัญภายในทั้งห้า อันได้แก่ หัวใจ ไต ตับ ม้าม และปอดทำงานไม่ปกติ อันนำมาซึ่งความเจ็บไข้ทางร่างกาย ส่วนมังสวิรัติ ได้ทุกผัก รวมถึงเครื่องเทศด้วย เจ กินไข่ นม ไม่ได้ ถือว่าเป็นเนื้อสัตว์ มังสวิรัติ กินไข่ นม ได้ ถือว่าผลผลิตของสัตว์ไหนที่ได้มาแล้วไม่ทำให้สัตว์ตัวนั้นตาย ถือว่าไม่เบียดเบียน เช่นนม รีดนมวัวเท่าไหร่ก็ไม่ตาย ไข่ไก่ ไม่ได้ไปบังคับให้มันออก มันออกเองตลอดและไก่ก็ไม่ตาย มีปัญหาถามเยอะมากเรื่องไข่ แค่ไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนนี่ก็ปวดหัวพอแรงอยู่แล้ว ยังจะถามว่าไข่ทำไมกินได้ ไข่ที่กินได้เพราะว่ามันออกของมันเองไม่ได้ไปบีบคอไก่ ออกไข่นะ ออกไขนะ และไข่ส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสที่จะเป็นลูกไก่ เพราะแม่ไก่จะอยู่ในรางยาวๆๆ มีเฉพาะแม่ไก่เท่านั้น ตัวผู้ไม่มี โอกาสที่จะเป็นลูกไก่จึงไม่มีเช่นกัน จึงเท่ากับว่าไม่ได้ฆ่าสัตว์ แม่ออก พ่อออก ส่วนใหญ่ก็ซื้อไข่ที่ขายเป็นแพ็คๆใช่หรือเปล่า แต่ถ้าไข่ไก่ตามวัดตามบ้านก็ไม่แน่ สรุป ไข่กินได้ เพราะไม่ได้เบียดเบียนจนแม่ไก่ตาย นมก็เช่นกันไม่ได้เบียดเบียนแม่วัวจนตาย แต่กฎทุกอย่างก็มีข้อยกเว้น เนื้อสัตว์ชนิดเดียวที่ เจ กินได้ คือ “หอยนางรม” ของแพงซะด้วย อาตมาเคยลองฉันดูครั้งนึงนะ ครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อทดลอง ปรากฏว่า มันไม่ย่อย กินไปยังไง ก็ออกมายังงั้น เป็นเพราะระบบย่อยของอาตมามันไม่รับเนื้อสัตว์แล้วก็เป็นได้ เล่าถึงประวัติความเป็นมาหอยนางรมกินได้ยังไง มีใครอยากรู้บ้าง (ไม่มี) แต่จะบอกเลยแล้วกัน ใครรู้จักพระถังซัมจั๋งบ้าง ในไซอิ๋วนั่นแหละ มีอยู่ครั้งนึง พระถังซัมจั๋ง ระหว่างเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป ไม่มีอาหารฉันใกล้จะหมดแรงแล้ว จึงอธิฐานต่อพระโพธิสัตว์กวนอิม ถ้าอาตมาเอาไม้เท้าแตะไปที่ใด แล้วมีสิ่งใดติดขึ้นมา ขอให้อาตมาฉันสิ่งนั้นได้ พระถังซัมจั๋ง ก็เอาไม้เท้าจุ่มไปในทะเล แล้วก็เป็นหอยนางรมที่ติดไม้เท้าขึ้นมา จบ

อานิสงส์10 ประการของการละเว้นชีวิตสัตว์เป็นอาหาร
1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่คติภพ

สำหรับโยมที่คิดจะลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินดู อาตมาเสนอวิธีกินมังสวิรัติ คือ ต้องสลับผักที่มีสีสันต่างๆ หมุนเวียน ให้ได้มากที่สุด เพราะสีของผักแต่ละชนิด มีวิตามินที่แตกต่างกัน ถ้าเรารู้จักเวียน เราก็จะได้วิตามินเกลือแร่ที่ครบถ้วน แต่ต้องล้างผักดีๆนะ เดี๋ยวนี้คนปลูกมักง่ายใช้สารพิษเยอะมาก วิธีล้างผักให้ปลอดภัย
• ล้างผักโดยให้น้ำไหลผ่าน คลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ 54-63%
• ใช้น้ำส้มสายชู 1 ขวด ละลายกับน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ 60-80 %
• ล้างผักโดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำอุ่น 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ 90-95 %
• แช่ผักในน้ำสะอาดใช้เครื่องทำโอโซน พ่นเป็นฟองจากด้านล่าง ประมาณ 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ 99%

นมถั่วเหลือง หรือน้ำเต้าหู้ ต้องกินทุกเช้า เพราะน้ำเต้าหู้มีส่วนช่วยทดแทนเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี อาตมาไม่มีฉันทุกวัน จะได้ฉันเฉพาะวันพระ เลยเอาไวตามิลล์กล่องเป็นสรณะแทน ถั่วต่างๆ มีประโยชน์มากๆ กินสลับกันเหมือนผัก สีของถั่วแต่ละชนิด ก็มีโปรตีนที่แตกต่างกัน กินหมุนเวียนกัน จะได้คุณค่าอาหารครบเอง อาตมาก็มีประมาณ 5 ถั่ว ถั่วลันเตา ถั่วลิสง ถั่วปากอ้า เม็ดมะม่วงหิมะพาน ถั่วซีก ที่ขาดไม่ได้คือ งาดำ จะใช้แบบไหนก็ได้แล้วแต่ความถนัด มีหลายแบบ แบบผงชงดื่ม แบบขนมขบเคี้ยวอัดเป็นแผ่นๆ แบบคั่วเป็นเม็ดๆ งาดำมีประโยชน์มากๆ มันมีกรดอะมิโนที่สำคัญสำหรับสมอง จะทำให้สมองปลอดโปร่งไม่มึนงง ทำให้แผลต่างๆ หายเร็วมากๆ ช่วยทำให้ผมดำ เคล็ดลับอาตมาฉันน้ำมันมะพร้าววันละ 1 ช้อนโต๊ะ กินก็ได้ทาตัวก็ได้ น้ำมันมะพร้าวหรือ virgin coconut oil จะมีผสมอยู่ในเครื่องสำอางยี่ห้อแพงสุดโต่งแทบทุกชนิด แต่ต้องเป็นน้ำมันมะพร้าวที่สกัดเย็นนะ แบบสกัดร้อนใช้ไม่ได้นะ น้ำมันมะพร้าวเป็นตัวเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ในร่างกายได้เป็นอย่างดี และยังเป็นยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติขั้นรุนแรงอีกด้วย แรงกว่ายาแก้อักเสบที่ผลิตได้ในปัจจุบัน ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ลองกินดูประมาณ 1 เดือนจะเห็นผล น้ำมันมะพร้าวมีสารชนิดนึงคือ ภูมิดิน (ภู+มิ+ดิน) รายละเอียดไปค้นดูที่เว็บเอา เข้าไปที่ //www.google.co.th และพิมพ์ “น้ำมันมะพร้าว ภูมิดิน” จะเจอรายละเอียดมากมายลองเข้าไปค้นคว้าด้วยตัวเองนะ และจะยิ่งสมบูรณ์ขึ้นด้วย คือ ต้องออกกำลังกายควบคู่ด้วย เดินเร็วๆ ไม่ต้องวิ่งเพราะการวิ่งจะทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายกระเทือน รวมถึงข้อต่อต่างๆ เสื่อมเร็วขึ้น ให้เดินแทน เดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด หัวใจสูบฉีดเลือดดีที่สุดเพียงพอกับร่างกาย อาตมาได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วใครบ้านอยู่ใกล้วัดจะเห็นตอนเช้าๆ อาตมาเดินรอบสนามโรงเรียนประมาณ 20 นาที หรือ ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วกลับมาขับถ่ายให้หมดก่อน 7 โมงเช้า ดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำเปล่าเยอะๆ ทุกๆ เช้าด้วยนะ ทำเป็นประจำทุกวัน ประมาณ 1-2 เดือน โยมก็จะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเป่า โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็จะค่อยๆ ลดลง ทำตามเพียงแค่นี้ก็ทำให้โยมมีสุขภาพกาย สุขภาพใจ ที่ดีแล้วมีชีวิตต่อได้อีกนาน จะได้มีเวลาสะสมบุญได้นานๆ เก็บบุญไว้ให้มากๆ จะได้ไม่ต้องเกิดมาอีก มันน่าเบื่อนะเราเกิดตายไม่รู้จักกี่ร้อยกี่พันชาติแล้ว ถ้าโยมย้อนมองกลับไปดูอดีตได้ โยมจะเซ็งมากๆ ไรว่ะเดี๋ยวก็ตายอีกล่ะ ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคนอีกมั้ยเนี่ย ทีนี้โยมก็จะคิดหาทางทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่ได้เกิดอีก อาตมายอมรับอยู่อย่างนึงเรื่องสังขาร จะดูแลรักษาดีอย่างไรมันก็ต้องตาย กินสัตว์ก็ต้องตาย ไม่กินสัตว์มันก็ต้องตายอยู่ดี ฉะนั้น ก็กินต่อไปเลยตายแบบแซ่ปๆ ดีกว่าตายแบบจืดชืดไร้รสชาติ จริงอยู่ คนเราทุกคนต้องตาย แต่จะตายแบบไหน ตายสบาย หรือตายแบบทรมาน ป่วยตายแบบเสียเงินทีเป็นแสน หรือ จะตายด้วยโรคชรา นอนหลับไปเลยสบายดี ไม่ต้องป่วย ไม่ต้องเสียเงินรักษา อาตมาเห็นมามากแล้ว พ่อแม่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ลูกรักษาเป็นปีๆไม่หาย หมดค่ารักษาไปหลายล้าน ในที่สุดก็ได้เสียชีวิตไป เงินที่เก็บไว้แทนที่จะทำประโยชน์อย่างอื่น (เอามาสร้างโบสถ์ได้เลยนะเงินเป็นล้านๆเนี่ย ได้บุญก่อนตายไม่รู้เท่าไหร่) กลับจะต้องเอามารักษาโรคซึ่งไม่มีทางรักษาหายได้ด้วยยา ที่เห็นจะรักษามะเร็งได้ก็ด้วย สมาธิ ด้วยการกินฉี่ เดี๋ยวมีโอกาสจะพูดเรื่องฉี่ให้ฟัง แล้วคนเราธรรมดา ป่วยอยู่ใกล้จะตายจะไปนั่งสมาธิถึงขั้นนั้นได้ซักกี่คนยากมาก เมื่อเทียบกับการป้องกัน ป้องกันในที่นี้คือ การกินอย่างมีสติเท่านั้น กินตามที่มนุษย์ควรจะกิน กินตามระบบของร่างกาย นำสภาวธรรมมาปกครองการกิน ใครที่ยังไม่แน่ใจอีกว่า จะทดลองกินดีหรือไม่กินดี อาตมาแนะนำให้ลองกินเฉพาะวันเกิดของตัวเอง อาทิตย์ละวัน เช่นโยม เกิดวันเสาร์ ก็กินเฉพาะวันเสาร์ทั้งวัน เมื่อรู้สึกดีแล้วค่อยๆ เพิ่มวัน สามวันกินที หรือถ้ากลัวนับวันพลาด ก็กินมันทุกวันไปเลย ไม่ต้องกลัว ถ้าเป็นไรไปอาตมาจะสวดให้เป็นพิเศษเลย

จริงๆ แล้วการละเว้นเนื้อสัตว์ไม่ถือว่าจะได้บุญนะโยม แต่สิ่งที่ได้จะเป็นการหยุดการสะสมบาปกรรมที่จะพอกพูนขึ้นมาใหม่ และทำให้เราสร้างบุญใหม่เพื่อที่จะไปใช้หนี้กรรมเก่าให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้เร็วขึ้น การละเว้นเนื้อสัตว์เป็นการปิดตายประตูบาป ปิดรูรั่วของถังบุญโยมเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าคนที่กินเจ กินมังสวิรัติจะได้บุญมากมายเพิ่มเป็นทวีคูณ เลิศหรูกว่าคนที่ไม่ได้กิน กินแล้ววิเศษจนแทบจะเหาะได้ กินแล้วก็ทะนงตัวว่าข้าทำได้ เอ็งทำไม่ได้ข้าย่อมเหนือกว่าเอ็งฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไม่ใช่เลย อย่าไปคิดอย่างนั้นนะ คนเค้าจะเกลียดเอานะ แค่นี้คนที่กินเนื้อสัตว์เค้าก็มองเราว่าเราเป็นตัวประหลาดแล้ว ไรว่ะของดีๆ มีไม่กินบ้าป่าว?? ตอนอาตมาฉันช่วงแรกๆ อยู่ด้วยกันกับโยมเพื่อนก็ชอบแกล้งเอาเนื้อสารพัด ตักใส่ช้อนแล้วร่อนผ่านหน้า ผ่านไปผ่านมา เอามั้ยๆ ไม่อยากกินหรอ อร่อยน้าาาาา พูดล้อต่างๆ ก็ใจมันไม่อยากกินจะบังคับให้กินก็ไม่ได้นี่ เราก็ได้แค่ยิ้มตอบ ได้แค่หัวเราะตอบ ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายเมื่อเค้าได้เรียนรู้อะไรดีขึ้นเค้าก็หันมากินเหมือนเรา คราวนี้ก็ไม่กล้าแกล้งอะไรแล้ว เมื่อเราได้อุดรูรั่วของถังบุญเราแล้ว ทีนี้โยมจะใส่บุญไปเท่าไหร่ มันก็ไม่รั่วออก บุญโยมก็จะเต็มไว เต็มเร็วขึ้น มีบุญทันพอที่จะใช้หนี้เค้าเร็วขึ้น วันไหนที่เจ้าหนี้มาทวง เราก็จะมีบุญสำรองเก็บไว้ เค้าทวงเมื่อไหร่ก็ เอ้า!!เอาไป หายกันแล้วนะ สบายใจได้เชื่ออาตมาแล้วจะโตไว

โยมเพื่อนหลายคนโทรถามความเปลี่ยนแปลงอาตมาว่า เป็นอย่างไรบ้างหลวงพี่ ยังฉันเหมือนเดิมอยู่มั้ย อาตมาก็ตอบว่า เออเหมือนเดิม ไม่มีกำหนดว่าจะเลิกเมื่อไหร่ แต่คิดแค่ว่า ฉันทุกวันก็พอ ในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงก็ไม่มี ไม่หนุ่มไม่แก่ เหมือนหน้าตารูปร่างถูกสต๊าฟไว้ ที่อายุ 22-23 ทั้งๆ ที่ย่าง 30 แล้ว (เกิดมาไม่เคยอายุเยอะขนาดนี้เลย) ถ้าโยมจะเปรียบเทียบอาตมากับคนที่นี่ ที่อายุ 30 มีความแตกต่างกันมั้ย มีแน่นอน ผิวพรรณก็สดใส ชุ่มชื้นดี ไม่เหี่ยวย่น ตีนกาอาตมายังไม่มีเลย ระบบภายในดีทุกอย่าง ระบบขับถ่าย ระบบไหลเวียนโลหิตดีเลิศ ไม่เคยเป็นโรคร้ายแรง ไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อมานานแล้ว ภูมิต้านทานดีมากๆ เพราะเลือดสะอาด ไข้หวัด โรคหยุมหยิมไม่ได้แอ้มอาตมาหรอก ไม่เคยเป็นร้อนในมานานมากแล้ว นานจนจำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ปกติอาตมาจะเป็นร้อนในบ่อย ไอ้โน่นไอ้นี่ของอาตมาก็ทำงานได้ดีเลิศไร้ที่ติ ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวพูดมาก อาบัติ

เขียนมาเนิ่นนาน พอจะมีใครสักคนมั้ยที่กล้าเปลี่ยนแปลง ที่จะเป็นปลาผู้กล้าหาญ ว่ายทวนน้ำ ว่ายทวนกระแสกรรม ว่ายไปจนถึงต้นกรรมแล้วกระโดดข้ามพ้นไป เป็นมนุษย์ผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ด้วยกัน เป็นมนุษย์ที่เทวดารักใคร่ไปไหนก็ปกปักษ์รักษา เป็นมนุษย์ที่สัตว์ต่างๆ รักและอยากอยู่ใกล้ๆ เป็นมนุษย์ที่รักษาศีลได้ครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานของจริง เป็นผู้ที่อุดรูรั่วของถังบุญได้อย่างดีเยี่ยม เป็นมนุษย์ที่รู้หน้าที่ของตนและควบคุมสติควบคุมตนเองได้ดีเลิศ เป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตตามสภาวธรรมจริงแท้ของตัว เป็นผู้ที่เจ้ากรรมนายเวรยังให้อภัยและเห็นใจในความดี เป็นผู้ที่เดินอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบที่เห็นแสงสว่างส่องนำเป็นทางลัดให้เดินออกจากป่านั้น และเป็นผู้ที่อาตมาจะแผ่เมตตาให้เป็นพิเศษ



Create Date : 27 มีนาคม 2552
Last Update : 27 มีนาคม 2552 18:48:08 น. 0 comments
Counter : 596 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เหม่ยหลิงจัง
Location :
ราชบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




สวัสดีค่ะ

ยินดีที่ได้รู้จักทุก ๆ คนเลยนะคะ...♥

www.musicradio.in.th
Friends' blogs
[Add เหม่ยหลิงจัง's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.