มิถุนายน 2551

1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
21
22
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
เอาบันทึกเดินทางไป Scotland รอบแรก 2003 มาลงใน Blog ของตัวเองซะหน่อย (2 )
Around Craigo

กลับถึงบ้าน ประมาณ 5 โมงเย็น แอนน์ทำอาหารเย็น เป็น สตูว์เนื้อ ไข่ และมันฝรั่งทอด อร่อยดี แต่น้ำสตูว์มันดำมากกก แอนใช้ gravy powder ( อันนี้ตอนกลับเมืองไทย เราก็ซื้อมา 2 กล่อง เผื่อทำอาหารให้ตาเอียน )

หลังอาหารแอนน์มีนัดกับเพื่อน ๆ ไปเล่น Bingo ชวนเราไปด้วยแต่เราขี้เกียจไป เพราะไม่ค่อยถนัด เคยแต่เล่นสนุกๆ กับเพื่อนๆ หลังจากแอนน์ไปแล้ว เราก็ชวนตาเอียน ออกไปเดินเล่นอีก คราวนี้เดินไกลออกไปรอบนอก ส่วนมาร์ตินอยู่บ้าน และ Download ภาพ จากกล้อง Digital ใส่ CD ให้เรากับตาเอียน

เดินเลยสะพานมาหน่อย เป็นบ้านหลังนึง บนหลังคาปักธงชาติ Scotland พื้นสีน้ำเงิน มีกากบาททแยงมุมสีขาว เล่ากันว่ากากบาทขาวนี้ได้มาจากรูปทรงของไม้กางเขนที่ใช้ตรึง Saint Andrew นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของ Scotland :ซึ่งถูกลงโทษประหารด้วยการตรึงกางเขน โดยพวกโรมัน แต่รูปร่างกางเขนจะแตกต่างกับกางเขนที่ใช้ตรึง พระเยซู ( Christ ) โดยกางเขนจะเป็นรูปกากบาท ( X –shape ) แทนกางเขนรูปร่างปกติ บางคนอาจจะรู้จัก Saint Andrew ในชื่อของสนามกอล์ฟ ที่มีชื่อเสียงมากของ Scotland หรือ อาจจะรู้จัก โบสถ์เซนต์แอนดรูว์
( Saint Andrew Church )

ลมแรงพัดธงสะบัดพลิ้วตลอดเวลา เหมือนคอยกระตุ้นให้ระลึกถึง ความเป็นมา นี่เป็นสิ่งดีที่มองเห็นอีกอย่างของชาวสก๊อต แทบทุกบ้าน จะมีธงชาติปักไว้ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่แตกต่างกันไป แสดงความภาคภูมิใจในความเป็นชาติของตน ถึงแม้จะยังคงเป็น ส่วนหนึ่ง Great Britain แต่สก๊อตแลนด์ก็มี รัฐสภา ( parliament ) เป็นของตัวเอง ไม่เหมือนบ้านเราปักธงเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น ตาเอียนบอกว่า กลับไปจะซื้อไปปักที่บ้านซักผืน เราบอกว่า ถ้าจะปักก็ต้องเอาธงชาติไทยปักไว้ด้วย

หน้าบ้านหลังนี้ มีป้ายเล็กๆ ปักไว้ “ Eggs 1 pound / Doz. “ เป็นไข่ไก่ที่เจ้าของบ้านเลี้ยงเอง เหลือกินก็เอาออกมาขาย ถ้าวันไหนไม่มีไข่เหลือ เค้าจะเอากระสอบครอบปิดป้ายเอาไว้ แอนน์เล่าว่า เจ้าของบ้านเป็นตำรวจ มีลูก เล็ก ๆ 2 คน ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะสนามหญ้าข้างตัวบ้านมีของเล่นเด็กวางระเกะระกะไปหมด

เราเดินไปจนถึงสี่แยก ข้ามถนนใหญ่ที่เป็นทางไป Aberdeen ด้านซ้ายมือจะเป็นโรงเรียนประถม ซึ่งลูกชายของแอนน์ทั้งสองคนก็จบจากโรงเรียนนี้ มาตรฐานการศึกษาของเค้าจะเหมือนกันทุกโรงเรียน เพราะฉะนั้นพ่อแม่ไม่ต้องดิ้นรนส่งลูกเข้าโรงเรียนในเมืองเหมือนบ้านเรา

ตรงข้ามโรงเรียนเป็นบ้านหลังนึง หน้าบ้านติดป้ายเล็ก เอาไว้เหมือนป้ายขายไข่ไก่ “ Honey for sale “ มองเข้าไปในบ้านจะเป็นตึกเก่าแก่ ปลูกต้นไม้ดอกไม้รอบบ้าน บ้างก็ไต่ผนัง บ้านขึ้นไป บ้างก็ห้อยระย้าอยู่บริเวณทางเดิน หรือ หน้าต่างบ้าน ออกดอกสะพรั่ง ดูสวยแปลกตา ข้าง ๆตัวบ้านจะมีบ้านผึ้ง สำหรับเลี้ยงผึ้งอยู่ 2-3 หลัง ก็คงเลี้ยงแบบธรรมชาติให้ผึ้งหาน้ำหวานจากดอกไม้ ต้นไม้ที่ปลูกอยู่รอบ ๆบ้านนั่นแหละ

หลังบ้านที่ขายน้ำผึ้งจะเป็นทุ่งข้าว Barley กระทบแสงแดดยามเย็นเห็นเป็นสีทองอร่ามทั่วท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตานั้น ท่ามกลางทุ่งสีทอง บ้านโบราณหลังใหญ่ตั้งเด่นท้าทายแสงอาทิตย์อยู่เช่นกัน คงจะเป็นของเจ้าของไร่น่ะแหละ เห็นแล้วทำให้นึกถึงภาพปักครอสติช ( cross stitch ) ที่เคยปัก เหมือนมันมาขยายใหญ่อยู่ตรงหน้านี่เอง เลยใช้เวลายืนนิ่ง ๆ ดื่มด่ำความงาม จนกระทั่ง ตาเอียน ( ผู้หาความโรแมนติกไม่ได้ ) ตะโกนเร่งยิกๆ ว่าให้มาดูบ้านเพิ่งสร้างใหม่สไตล์โมเดิร์น 3-4 หลัง ขึ้นเรียงกันอยู่ทางด้านขวาของโรงเรียน เราเดินไปดูแล้วแอบเก็บไอเดียบางอย่างสำหรับการตกแต่งบ้านไว้
ขากลับเราแวะซื้อไข่ไก่ 1 โหล ลูกใหญ่มาก สด เวลาตอกออกมาเนี่ยไข่แดงจะแข็งอยู่ตรงกลาง ไข่ขาวก็จะยังดูเหมือนกาวแป้งเปียกเกาะติดกับไข่แดงอย่างเหนียวแน่น แถมรสชาติก็ดี ( ตาเอียนเคยบ่นว่าทำไมไข่บ้านเรา รสชาติมันไม่เหมือนเดิมในแต่ละ Lot ) อันนี้เราก็ไม่ทราบได้ เพราะลิ้นจระเข้อย่างเรากินแล้วก็เห็นมันเหมือน ๆ กันนี่นา

เมื่อไม่มีอะไรจะทำแล้ว เราก็นั่งดูทีวี ตอนนั้นข่าวดังของเค้าคือ เกิดอุบัติเหตุจราจรบนทางหลวงที่เมือง Manchester รถชนกันมากกว่า 100 คัน ทำให้ต้องปิดถนน แต่ไม่มีข่าวว่า David Beckham สุดหล่อของแม่วิคตอเรีย หรือ สมาชิก Manchester United ติดอยู่บนถนนสายนั้นด้วยนะ 

อีกข่าวนึงดูแล้วน่าเศร้ามาก สาวน้อยชาวอังกฤษ อายุประมาณ 16 ปี Chat กับหนุ่มอเมริกัน อดีตทหารเรือ แล้วนัดเจอกันที่ฝรั่งเศส จากนนั้นก็หายตัวไป ตอนนี้กำลังตามหากันอยู่ เกือบ 2 สัปดาห์แล้วก็ยังหาไม่เจอ แต่พบตัวคู่ Chat หนุ่มอเมริกัน ให้การว่าพบกัน แล้วก็แยกกันต่างคนต่างกลับ เพิ่งทราบข่าวว่าเธอหายไปเหมือนกัน ตอนเรากลับเมืองไทยก็ยังหาสาวน้อยคนนี้ไม่พบ
เฮ้อ!! มันช่างน่าเศร้า เทคโนโลยีก้าวไกล บางทีมันก็เป็นภัยกับคนที่ยังไม่เรียนรู้ เท่าทัน มันเหมือนกัน

แอนกลับมาจากเล่นบิงโก ประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ชนะได้เงินมาพอสมควร ( ที่นี่เล่นเป็นการพนันที่ถูกกฎหมาย ) กลับมาถึงก็ทำ supper เป็น cheese sandwich ให้ตาเอียน กับมาร์ติน ส่วนเราขอบายยังตื้อกับอาหารเย็นอยู่เลย

พรุ่งนี้ทุกคนต้องตื่นแต่เช้า เพราะมีนัดกับ Passport Office ที่ Glasgow ตาเอียนต้องไป Renew Passport เนื่องจากหมดอายุแล้ว Passport ของเค้าจะมีอายุ 10 ปี ก่อนไปก็โทรไปถามก่อน เค้าจะส่งจดหมายมาให้ พร้อมรายละเอียด แผนที่ Office เวลานัด เอกสารที่ต้องเตรียมไป ( พอพูดถึงรูปถ่ายก็ต้อง เมาท์ ซะหน่อย เนื่องจากต้องเตรียมรูปถ่ายไปด้วย วันที่เข้าไปส่ง Melody ใน Montrose ตาเอียนเลยแวบไปถ่ายรูปที่ตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติซึ่งจะมี option ให้เลือก ว่าต้องการรูปสำหรับทำอะไร ตาเอียน ก็เลือก Passport แต่ปัญหามันอยู่ที่ เก้าอี้ที่ให้นั่งมันสูงเกินไป และปรับลงไม่ได้ ตาเอียนเลยต้องหดหัวลงมาเพื่อให้หน้าตรงกับกล้อง รูปออกมามันตลกมาก เรานี่ก้ากเลย ถามว่าจะถ่ายใหม่กับตู้อื่นรึเปล่า
“ No I’m not pay anymore “
เสียไป 1.5 ปอนด์มั้งได้มา 4 รูป เราก็ตามใจใม่ใช่รูปชั้นนี่ แถมยังประจานอยู่ใน Passport อีก 10 ปี อิอิอิ

ถ้าเป็นเรานะเสียเงินเท่าไหร่แม่ไม่ว่าแต่รูปต้องออกมาสวยก่อน

Glasgow
วันนี้เราจะไป กลาสโกว์ ( Glasgow ) กัน นอกจาก renew passport ของตาเอียนแล้วก็จะถือโอกาสเที่ยวด้วย

Glasgow เป็นเมืองที่มีสีสีนที่สุดของสก๊อตแลนด์ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของ สก๊อตแลนด์ และใหญ่เป็นอันดับสามของ สหราชอาณาจักร ( United kingdom of Great Britain and Northern Ireland ) เป็นศูนย์กลางทางค้า และ อุตสาหกรรมของประเทศ ในปี 1990 ชาวเมือง Glasgow ก็ได้เฉลิมฉลองเมือง กันในฐานะที่ได้รับการยกย่องเป็น
“ European City of Culture “ และในปี 1999 ก็ชนะรางวัล “ UK City of Architecture and Design “ คาดว่าบรรดาสถาปนิกทั้งหลายคงจะยินดีถ้าได้ไปเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมต่างๆ ในเมือง Glasgow เป็นแน่

เราออกจากบ้านแต่เช้า ประมาณ 7 โมง แวะเติมน้ำมันที่ Dundee เป็น ปั๊ม Shell แบบ บริการตนเอง คราวนี้เราขอเป็นคนจ่ายค่าน้ำมันเอง ขณะที่ Martin เติมน้ำมันอยู่ที่รถ เรากับตาเอียนก็เดินไปจ่ายเงินที่ Office เค้าจะรอจนกว่า Martin จะเติมน้ำมันเสร็จ แล้วบอกเรา
“ 32 Pounds Sir “ พนักงานบอก
ตาเอียนควักบัตร Visa ออกมาส่งให้ ส่วนเรายืนคำนวณ 32 * 72 พระเจ้าช่วย 2,304 บาท ต่อน้ำมัน 1 ถัง จะเป็นลม ขอยาหม่องหน่อย!!!!!

เมื่อเติมน้ำมันเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อ ผ่านตัวเมือง Dundee สองข้างทางเป็นบ้านสไตล์ยุโรป บ้างขนาดใหญ่ บ้างขนาดเล็กกำลังน่ารัก ทุกบ้านตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ตุ๊กตา กระดิ่ง เห็นแล้วเป็นที่เจริญตามาก ทำให้เราอดไม่ได้ ถึงแม้รถกำลังวิ่งอยู่ ก็ควักล้องออกมากดชัตเตอร์ ซะ 2 –3 รูป

เมื่อถึง Glasgow สิ่งที่ต้องมองหาอันดับแรก คือ Passport Office ที่นัดเราไว้ ตามที่อยู่ในจดหมายที่เค้าส่งมาให้ คือ
Passport Office
3 Northgate
96 Milton Street
Cowcaddens
Glasgow
G 4 OBT
ทั้งแอน มาร์ติน รวมทั้งตาเอียน ก็ยังไม่รู้ว่าจะไป Milton Street ยังไง ก็ต้องเอาแผนที่มากางแล้วก็ขับไปเรื่อย ๆ ขณะที่ทั้งสามคนกำลังถกเถียงกันว่าจะไปทางไหนต่อดี เราซึ่งไม่สามารถช่วยอะไรได้อยู่แล้ว ก็นั่งดูตึกราม บ้านช่อง ข้างทางไปเรื่อย ๆ และแล้ว เราก็ตะโกนขึ้นมาลั่นรถ
“ We’re on the Milton Street “
ทั้งสามคนทำหน้าตาตื่น หันมาถามว่ารู้ได้ไง
เราก็ชี้ไปที่ป้ายบอกถนนซึ่งติดอยู่บนผนังตึก ก็เลยกลายเป็น Heroine ไปเลยงานนี้ อิอิ

หลังจากรู้ว่า Office อยู่ตรงไหนแล้ว งานหนักอีกอย่างคือ หาที่จอดรถ ใกล้ ๆ ในที่สุดเราก็ได้ที่จอดรถ ใกล้ๆตึก Glasgow Royal Concert Hall ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Killermont ออกจากที่จอดรถ เรากับแอนขอแยกทางเลี้ยวซ้ายมาตามถนน Port Dundas ส่วนมาร์ตินกับตาเอียนเลี้ยวขวาไปบนถนนเดียวกัน นัดเจอกันที่ ห้าง Bhs

จุดหมายของเรากับแอนน์คือ ซอคคิฮอล สตรีท ( Sauchiehall Street ) Shopping Street ของเมือง Glasgow นอกจาก Sauchiehall Street แล้ว Shopping Street ที่มีชื่อเสียง อีก 2 สาย ของ กลาสโกว์ คือ Buchanan Street ซึ่งจะเชื่อมติดกับ Sauchiehall Street บริเวณ Shopping center ขนาดใหญ่ ชื่อ Buchanan Galleries จาก Port Dundas ถ้าเลี้ยวขวาเข้า Sauchiehall Street เลี้ยวซ้ายผ่าน Buchanan Galleries เข้า Buchanan Street ส่วน Shopping Street อีกสายหนึ่ง คือ Argyle Street ซึ่งจะเชื่อมต่อกับ Buchanan Street อีกด้านนึง

เราตั้งท่าจะเลี้ยวขวาเข้า Sauchiehall Street ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมา ฝนตกไม่หนักแค่พรำ ๆ แต่มันเย็นเป็นบ้าเลย แอนน์เลยต้องมองหาที่หลบฝนก่อน พอดีเดินมาถึง ร้านกาแฟ Starbucks เลยถือโอกาสเข้าไปนั่งหลบฝน และสั่งกาแฟดื่มไปพลาง ๆ ( ก็ถ้าเข้ามาหลบฝนอย่างเดียวพนักงานคงเอาไม้กวาดเขี่ยออกมามั้ง ) กาแฟ 2 แก้ว ปาเข้าไป 7-8 ปอนด์ โคตรแพงเลย แถมรสชาติก็งั้นๆ แต่ก็ทำใจถือว่าจ่ายค่าที่หลบฝนละกัน
ฝนพรำซักพักก็หยุด เราก็เริ่มออกตะลุยกัน แวะร้านแรกที่ The Body Shop หา Lip Balm ซักแท่ง เพราะตั้งแต่มา ปากเรามันก็เริ่มกลายเป็นทุ่งกุลาร้องให้ตอนหน้าแล้ง นี่ถ้าอยู่บ้านคงกินแกงเผ็ดแม่ไม่ได้แน่ แน่ โชคเป็นของเรา Lip Balm on sale พอดี เราได้มา 1 ตลับในราคา 50 pence ก็ประมาณ 35 บาทเอง

แอนมักจะอดใจไม่อยู่เวลาผ่านร้านเครื่องประดับ เธอจะต้องแวะชม แวะลอง ชักชวนให้เราซื้อ ดูของแล้วเหมือนตาม Siam บ้านเรา แต่ราคาโคตรแพง เลยตัดใจไม่ซื้อ Shopping กับสายตาเอาละกัน ไม่เสียเงินแต่ได้รู้ได้เห็นความเป็นไปของบ้านเมืองเค้า

เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงร้าน The Works ขาย Postcard สวย ๆ เป็นรูปเมือง Glasgow ตามสถานที่ต่าง ๆ เลยตัดสินใจซื้อมา 4 แผ่น ในราคา 1 ปอนด์ ปกติจะขายแผ่นละ 30 pence ( 100 pence เท่ากับ 1 pound ) แต่ ซื้อ 4 แผ่นลดเหลือ 1 ปอนด์ กะว่า จะส่งให้ตัวเองเป็นที่ระลึก 1 ใบ อีก 2 ใบ ส่งให้ ยายดาลิน และยายกรณิการ์ น้อง หมอฟันและน้องเภสัช สาวสวย ที่โรงพยาบาลเก่า ส่วนอีกใบส่งให้น้อง ๆ พี่ ๆ ที่ทำงานใหม่

ลุยต่อไปเรื่อย ๆ Sauchiehall Street เป็นถนนคนเดินเท้าปูด้วยอิฐเป็นแผ่นใหญ่ จะไม่มีรถวิ่ง แต่มีรถรางไฟฟ้ารับส่งผู้โดยสารเป็นระยะ บางช่วงของถนนจะมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กวางไว้ตรงกลาง

ส่วนใหญ่เราจะ Window Shopping บางร้านก็ไปยืนจ้องอยู่ที่กระจกหน้าร้าน เด็กในร้านคงงงเหมือนกัน ว่า ทำไมไม่เข้ามาดูข้างใน บางร้านจะมีคนใส่ชุดตัวการ์ตูนมายืนเรียกแขกและเล่นกับเด็ก ๆ ที่ผ่านไปมาอยู่หน้าร้าน เราจะแวะร้านที่อยู่ในความสนใจจริง จนกระทั่งถึง ห้าง Bhs ขายสินค้าทั่วไปเหมือนห้างบ้านเรา เดินดูของกันสักพัก ตาเอียนกับมาร์ตินก็มาถึง ตอนนั้นใกล้ ๆ เที่ยงพอดี เลยชวนกันขึ้นไปหาอาหารเที่ยง บริเวณ Food Center ของห้าง

วันนี้เราเสนอตัวขอเป็นคนจ่ายเอง ( อีกแล้ว ) การซื้ออาหารที่นี่ก็เหมือนในห้าง Tesco ที่ Aberdeen คือเราจะถือจานใบใหญ่ และชี้ว่าจะเอาอะไรบ้าง เค้าก็จะตัก โป๊ะ โป๊ะ ลงในจานเรา เมื่อทุกคนได้ครบแล้วก็นำจานไปให้ Cashier คิดเงิน เราบอกให้เค้าคิดรวม 4 จานเลย ปรากฏว่า ค่าอาหารเที่ยงมื้อนั้นปาเข้าไป 25.95 pounds คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,800 บาท เกือบ 2 พัน กับอาหารมื้อเที่ยงที่ Food center ไม่ใช่ร้านอาหารหรูหรา ที่ไหน เรายังมีสลิปอยู่กับตัว ลองมาดูราคาอาหารแต่ละอย่างซี

Coffee 2.91 Pounds
Spring water 0.99 “
Larsagre 4.75 “
Cod Chips 4.95 “
Steak Pie 4.95 “
Sausage 1.20 “
Dessert 1.25 “

Steak Pie จะทำด้วยแป้งเป็นรูปถ้วยก้นแบน รูปร่างเหมือนแก้วน้ำตัดครึ่ง ข้างในจะบรรจุพวกเนื้อปรุงรส เวลากินก็กินได้ทั้งข้างนอก ข้างใน อร่อยดี


ถ้าดูจากราคาอาหาร แล้วเงินเดือนข้าราชการอย่างเราคงอยู่ได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์หลังจากเงินเดือนออกแน่ ๆ ค่าครองชีพแพงขนาดนี้ โชคดีแล้วล่ะที่เกิดมาเป็นคนไทย บ้านเราทรัพยากรอาหารเยอะ ตาเอียนเคยพูดว่าประเทศไทยไม่จนหรอก เพียงแต่เราไม่ได้รวยเงินทอง แต่เรารวยอาหาร เราก็ภาวนาขอให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปเถอะ
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็ตั้งหน้าตะลุย Sauchiehall Street อีกครั้ง บนถนนนี้เราจะพบร้านของสโมสรฟุตบอลดัง 2 ทีมของ Scotland คือ Glasgow Rangers และ Glasgow Celtic เราเดินผ่านร้านของ Rangers มาแล้ว เพิ่งมานึกได้ว่าควรจะถ่ายรูปไปอวด ตาปู ตาเสก ตามน น้องหนุ่ม ๆ แฟนฟุตบอล ในที่ทำงานซะหน่อย ว่าชั้นน่ะมาถึงร้านของสโมสรแล้วนะ ถึงจะไม่ได้ไปดูในสนามก็เถอะ ว่าแล้วก็แอคท่าให้ตาเอียนถ่ายรูปหน้าร้าน Glasgow Celtic ตาเอียนทำอิดออด ว่าทำไมไม่ถ่ายที่ร้าน Rangers

เอ๊!!!!! ก็บอกว่ามันผ่านมาแล้ว ขี้เกียจเดินกลับไป


ตาเอียนเลยจำใจต้องถ่ายรูปเราหน้าสโมสรคู่แข่ง ( ตาเอียนเป็นแฟนพันธ์แท้ Glasgow Rangers )

เดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง Primark Stores แอนน์อยากแวะเพื่อหาซื้อ Jacket ใหม่ให้มาร์ติน เราเลยแวะดูของไปด้วย ในที่สุดก็ได้ มา 1 ชิ้น เป็น Jacket wool แต่เป็น wool สังเคราะห์ ไม่ใช่ของแท้ ที่ซื้อเพราะเล็งเห็นประโยชน์รออยู่ข้างหน้า เวลาออกจากบ้านไปเที่ยว ทุกคนต้องมี Jacket ติดตัวไปด้วย ถึงแม้จะเป็น Summer แต่อากาศก็ยังหนาวสำหรับเรา แถมลมแรงด้วย ไอ้ Jacket ที่เราติดตัวมามันก็แค่ ผ้าร่มธรรมดา กันลม กันหนาวไม่ได้เลย ของแอนน์ที่ให้ยืมก็ใหญ่เกินไป เหมือนเด็กเอาเสื้อแม่มาใส่ ( พยายามหาเหตุผลมาอุดหนุนการตัดสินใจ ) ราคาก็ไม่แพง ช่วงลดราคา( อีกแล้ว ) 5 pounds เลยซื้อมา และมันก็คุ้มค่าจริง ๆ เพระได้ใช้ประโยชน์ทุกวัน

จากนั้นเราก็เดิน Window shopping มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง Waterstone’s Bookseller หนอนหนังสืออย่างเราจะพลาดได้ไง ต้องขอแวะซะหน่อย ในที่สุดก็ได้จ่ายเงินอีกครั้ง กับ Harry Potter เล่ม 1-3 เขากำลังจัด Promotion ส่งเสริมการขาย 3 for 2 ซื้อหนังสือ 3 เล่ม ในราคา 2 เล่ม ถ้าซื้อแยก เล่มละ 5.99 Pounds แต่ซื้อ 3 เล่ม ในราคา 11.98 pounds เลยตัดสินใจซื้อหลังจากเลือกแล้ว เลือกอีก หาเล่มที่มีตำหนิ น้อยที่สุด
แต่!!!!!ยังค่ะ กะเหรี่ยงอย่างเรา ต้องปล่อยความสะเพร่าออกมาก่อน เนื่องจากการเลือกแล้วเลือกอีก ทำให้เกิดความผิดพลาด ได้ Harry Potter and the Chamber of Secret มา ซ้ำกัน 2 เล่ม กลายเป็นว่าเราซื้อหนังสือ 3 เล่ม ในราคาปกติไม่ได้โละ ได้ลดมันเลย


เฮ้อ!!!!ตอนที่รู้ว่าซื้อมาซ้ำน่ะ ก็กลับถึงบ้านที่ Craigo เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ Martin จะช่วยปลอบใจ ว่าวันหลังไป Dundee อาจจะมีสาขาของร้าน Waterstone’s ที่เราสามารถเปลี่ยนหนังสือ ได้ แต่ความหวังมันริบหรี่ยังกับแสงเทียนในพายุยังไงยังงั้นเลย

หลังจากตะลุยกันจนแข้งขามันเริ่มล้า และตะวันก็บ่ายคล้อยไปมากแล้ว เราก็เลยตัดสินใจกลับบ้านกันซะที กลับถึงบ้าน Anne ทำกับข้าว ส่วน Martin พาเรากับ ตาเอียน ไปเยี่ยม Michael ที่ Falt ในเมือง Montrose

Michael , Cairn O’ Mount
ในที่สุดก็ได้เจอ Michael ลูกชายคนเล็กของ Anne และ Martin สูงโปร่ง ( ต่างกับ Phillip ลูกชายคนโตที่ทำน้ำหนักจนเกือบไล่ทันภรรยาแล้ว ) หน้าใส จนเราอิจฉา ผมดำ แต่ค่อนข้างจะเงียบ นาน ๆ จะพูดที ตอนเราเจอนั้นท่าทางพ่อคุณ เพิ่งจะสร่างเมา แถมในที่เขี่ยบุหรี่อันเท่าบ้านที่ตั้งอยู่ก็ เต็มไปด้วยก้นบุหรี่ ได้ความว่า เมื่อคืนมีเพื่อนมาค้างด้วย ชื่อ Foxy หรือ Foggy นี่แหละ ฟังไม่ค่อยถนัด จะสะกิดถามอีกครั้งมันก็เกินไป๊ เลยสังสรรค์กันทั้งคืน มองดูในห้องก็เห็นชั้นหนังสืออัดเต็มไปด้วยหนังสือแน่นเอี๊ยด มองผ่าน ๆส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือของ Stephen King กับ Robert Ludlum

คุยกันสักพักก็ลากลับ เพราะแอนทำกับข้าวรออยู่ที่บ้าน

Flat ของ Michael จะอยู่ใกล้กับ South Esk River ( เป็นแม่น้ำเดียวกับที่ไหลผ่านหลังหมู่บ้าน Craigo ) เราเดินไปใกล้ ๆ บริเวณฝั่งแม่น้ำ จะมีเก้าอี้นั่งชมวิวเรียงรายตลอดฝั่ง มองไปไกล ๆ จะเห็นสะพานขนาดใหญ่ ( Montrose Bridge ) ท่ามกลางวิวบริเวณชานเมืองริมฝั่งแม่น้ำ ของเมืองมอนโทรส ตอนนี้อากาศกำลังดี แดดอ่อน ๆ ยามเย็น ส่องแสงลอดผ่านสะพาน กระทบผิวน้ำเห็นเป็นประกายระยิบระยับ ว่าแล้วก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ดูอีก 2-3 รูป โดยเฉพาะวิวด้านหลังสะพานที่เป็นอ่าวมอนโทรส และเนินเขาเตี้ย ปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวอมทองสะท้อนแสงแดด เป็นฉากหลัง ธรรมชาติงดงามเกินบรรยายจริง ๆ โรแมนติกเป็นบ้า
จากนั้นก็ตาลีตาเหลือกวิ่งไปขึ้นรถที่ Martin สตาร์ทรอไว้แล้ว ตอนขากลับ เราข้ามสะพาน มอนโทรส ตอนอยู่บนสะพาน จะมองเห็นอ่าวมอนโทรส ( Montrose Bay ) ซึ่งจะมีช่วงน้ำขึ้นน้ำลง ช่วงที่เราผ่านเป็นช่วงน้ำลง เลยเห็นเป็นทะเลโคลนเวิ้งว้าง

กลับถึงบ้านอาหารพร้อมแล้ว อยู่ในเตาอบ เพื่อให้คงความร้อนเอาไว้ กินอิ่มก็นั่งดูทีวี คุยกันเรื่องสัพเพเหระ แอนไปค้นรูปถ่ายเก่า ๆ สมัยรุ่นพ่อ รุ่นแม่ออกมาดูกัน เป็นที่สนุกสนานบานตะไท

หมดไปแล้วอีกวัน ใต้ผืนฟ้า ผืนดิน ถิ่นวิสกี้ ก่อนนอนเขียน Postcard 4 ใบ เตรียมตัวส่งพรุ่งนี้

เช้าอีกแล้ว และเราก็ปรับตัวได้แล้ว ไม่มีการแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ตี 4 อีก วันนี้ตื่นประมาณ 7 โมง หุงหาอาหารสำหรับตัวเองเท่านั้น ส่วนตาเอียนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เราก็ยกให้เป็นภาระของ Anne

หลังจากทุกคนเสร็จธุระกับอาหารเช้ากันแล้ว เราไม่รีบออกไปไหนแต่เช้าวันนี้ Anne เลยถือโอกาสพรวนดิน ถอนหญ้า ดอกไม้หน้าบ้านและกุหลาบต้นใหญ่ข้างบ้าน ส่วนมาร์ตินตัดหญ้าที่สนามหน้าบ้าน หญ้าเริ่มยาว และ รกเกือบถึงหน้าแข้งแล้ว เราซักผ้า หลังจากซักผ้าเสร็จก็ไม่ได้ตากทันที เนื่องจากต้องรอให้มาร์ตินตัดหญ้าเสร็จก่อน แต่เราก็ไม่ได้นิ่งดูดาย ตามคติที่ว่า “ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลุกท่านเล่น ” แต่ลูกยายแอนแต่ละคนก็โตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว คงไม่มานั่งเล่นวัว ควายปั้นอยู่หรอก เลย ช่วยแอนพรวนดิน ตอนนี้ดอกไม้ของแอนเริ่มออกดอกให้เห็นแล้ว สีสันสดใส ดูแล้วสดชื่นขึ้นเป็นกอง

นอกจากช่วยพรวนดินแล้ว เราก็ช่วยมาร์ตินขนเศษหญ้าไปทิ้ง ส่วนตาเอียนถือกล้องถ่ายรูปคนโน้น คนนี้ ทำงาน ไม่เว้นแม้แต่ เจ้า Smudge ที่มานั่งคุมแอนเหมือนเจ้านายจ้องลูกน้อง

ก่อนแอนเธอจะลงสวน เธอก็ละเลง Tea Tree Oil ซะทุกซอกทุกมุมที่โผล่พ้นเสื้อผ้าเพื่อกันแมลง กลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั้งบ้าน

หลังจากมาร์ตินตัดหญ้าเสร็จแล้วเราก็เอาเชือกสำหรับตากผ้าออกมาแขวนกับโครงเหล็ก ที่ทำไว้เป็นมุมรูปสี่เหลี่ยมบนสนามหญ้า แอนกำชับนักกำชับหนาว่าให้ใช้ไม้หนีบผ้าด้วย เพราะลมจะแรงมาก เคยพัดกางเกงยีนส์มาร์ตินไปตกอยู่กลางทุ่งมันฝรั่งมาแล้ว เราเลยจัดการหนีบทุกชิ้นอย่างดี ขี้เกียจไปตามเก็บผ้าในทุ่งมันฝรั่งสุดลูกหูลูกตานั้น

หลังจากทุกคนเสร็จธุระเราก็เตรียมตัวออกนอกบ้านอีกครั้ง วันนี้เราจะไปเยี่ยม Alan พี่ชายคนโตของตาเอียนที่อาศัยอยู่ในเมือง Laurencekirk ห่างจากบ้านแอนไปประมาณ 5 กิโล Alan เปิดร้านขายของเบ็ดเตล็ดทั่วไป ตอนเราไปนั้น เฝ้าร้านอยู่คนเดียว ( โชคดีไป เพราะเมีย Alan เป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์แย่มาก ตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ และเราก็ไม่อยากเสียความรู้สึกตั้งแต่เช้าเช่นกัน ) แวะทักทายพอเป็นพิธี แล้วก็บอกลา

เราแวะส่ง Postcard ที่ ที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน Alan มากนัก ข้างนอกมันโคตรไม่เหมือน Post Office เลย ให้ตาย ถ้าไม่เห็นป้ายที่ติดไว้บนผนัง ด้านหน้า มันเหมือนเราเดินเข้าไปเยี่ยมใครในบ้านเล็กหลังนึง ด้านในมีช่องให้บริการ 2 ช่อง เราจัดการซื้อ Stamp ติด หลังจากสอบถามราคาเรียบร้อย แล้วหย่อนตู้ส่งมันทั้ง 4 ไป เที่ยว เมืองไทย
ตอนออกจาก Laurencekirk แอนน์ชี้ให้ดู Flat ของลูกสาว อลัน ซื้อไว้เฉยๆ แต่ตัวยังอยู่กับพ่อแม่ ลูกชายก็เหมือนกัน 30 กว่าแล้ว ยังไม่เคยออกข้างนอกกับสาวเลย เป็น Mamy boy ต้องคอยไปไหนมาไหนกับพ่อแม่ ตาเอียนว่า ไม่รู้จัก โต & Stupido

มาร์ตินจะพาไป Cairn O’ Mount O’ ก็คือ Of นั่นแหละ แต่สก๊อตมีภาษาประจำที่มักพูดบ่อย เช่น คำว่า Wee อย่างตาเอียนมักจะ Say Good morning กับตาMix หลานเราว่า Good Morning wee boy wee มันแปลว่า small นั่นเอง


Cairn O’ Mount เป็นเนินเขาขนาดใหญ่ สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 455 เมตร ระหว่างทางไปเราผ่าน Farm เลี้ยงแกะแห่งหนึ่ง มีบ้านหลังใหญ่สีขาว ตั้งเด่น อยู่บนเนินมองเห็นได้จากไกล ๆ รายรอบด้วยทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะสีเขียว สูง ๆ ต่ำๆ เป็นเนินเล็ก เนินน้อย มองเห็นแกะเป็นจุด ๆสีขาวแต้มอยู่บนผืนหญ้าเขียวขจีนั้น เราอดใจไม่ได้( อีกแล้ว ) ต้องร้องบอกมาร์ตินให้จอดรถ ขอถ่ายรูปหน่อย แล้วเราก็ได้ภาพตัวเอง ด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าแต้มจุดขาว ๆ ประปรายไปทั่ว และบ้านหลังใหญ่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ บน เนิน เผลอคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหนังโรมานซ์เลยนะนี่
ระหว่างทางที่เจ้า Picasso สีแดงคันเก่งของ Martin กำลังไต่ระดับขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ( ทางไม่ชันมาก ด้านข้าง 2 ด้านจะมองเห็นเป็นเนินเขาเล็ก ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ เรียงรายกันไป ส่วนจุดมุ่งหมายของเราคือ เนินที่สูงที่สุด ) เราก็เห็นข้างถนนเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยอิฐแดง รูปร่างคล้าย ๆ ป้อมหรือบ้านหลังเล็ก ๆ แต่เหลือให้เห็นเป็นแค่ซากปรักหักพังไม่มีส่วนที่เป็นหลังคาแล้ว ได้ความว่าน่าจะเป็นที่พักของคนเดินทางสมัยโบราณที่ยังคงเดินทางด้วยม้า ไว้สำหรับพักทั้งม้าและคน ดูซีขนาดเหลือแค่ซากเค้ายังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาความเป็นมาและการดำรงอยู่ของบรรพบุรุษ

เราไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดหมาย Top of The Cairn O’ Mount เปิดประตูรถออกมา
บรื๊อ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!! หนาวมาก ลมเย็นเจี๊ยบจนผิวที่พ้นเสื้อชาเลย
ยืนสักพักก็ชิน ออกเดินดูรอบ ๆ มีป้ายตั้งพื้นขนาดใหญ่เหมือนโพเดียมแต่เตี้ยกว่าและกว้างกว่าเยอะ แสดงแผนที่ และรายละเอียดความเป็นมาของ Cairn O’ Mount มองไปรอบ ๆ เห็นวิวกว้างไกลสุดสายตา มองลงไปทางด้านที่เราเพิ่งไต่ขึ้นมา เห็นถนนคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย บางส่วนก็ลับหายไปจากสายตา ไปโผล่อีกด้านเมื่อพ้นเนินแล้ว จะมองเห็นตัวเมืองต่าง ๆตั้งอยู่รอบ ๆ เห็นไกลลิบ ๆ เล็ก เหมือนหมู่บ้านตุ๊กตา


บนนี้จะมีดอกไม้ป่า เรียกว่า ดอก เฮเทอร์ ( Heather ) เป็นไม้เตี้ย ๆ ออกดอกเป็นสีม่วง ดารดาษไปทั่วภูเขาแห่งนี้ ดอก เฮเทอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นสีม่วง แต่จะมีดอกสีขาวเหมือนกัน แอน บอกว่า เฮเทอร์สีขาวจะเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ถ้าใครได้เจอ เราก็ เดินไปถ่ายรูปไป

ในที่สุด!!!!!! เฮเทอร์สีขาวกระจุกหนึ่งโผล่ขึ้นมาแสดงศักดา ท่ามกลางสีม่วงรายรอบ โชคดีแล้วเราวันนี้ เลย ตะโกนเรียกทุกคนมาดูด้วยจะได้แบ่ง ๆ ความโชคดีกันให้ทั่วถ้วน

วิวบนนี้สวยมาก ท้องฟ้ากว้าง ดูเหมือนมันจะอยู่ไม่ไกลจากเรามากนัก ปุยเมฆขาวบาง ๆลอยเอื่อย ๆตามกระแสลม ผ่านไป ปุยแล้ว ปุยเล่า เป็นความสุขสงบง่าย ๆ ที่ธรรมชาติมีไว้รองรับ

นอกจากนี้ยังมีของแปลกอีกอย่างหนึ่ง คือ กองก้อนหินขนาดมหึมา ตาเอียนบอกว่านี่เป็นหินที่ผู้ที่ได้ขึ้นมาเยี่ยมยอดเขานี้ นำขึ้นมาวางไว้เป็นอนุสรณ์ ว่าตัวเองได้มาถึงแล้ว ดูจากจำนวนก้อนหินแล้วจะต้องมีคนขึ้นมาบนนี้เป็นล้าน ๆคนแน่ นี่อาจจะเป็นวิธีคำนวณนักท่องเที่ยวแบบคลาสสิคของเค้าก็ได้ ใครจะรู้ ว่าแล้วก็ต้อง Action โดยมีกองหินเป็น Background ซะหน่อยตามระเบียบนักท่องเที่ยว



ส่วนคุณนายแอนน์น่ะวิ่งขึ้นไปนั่งอยู่ในรถนานแล้วเนื่องจากเธอไม่ได้เตรียม Jacket มาด้วย
บนลานกว้างกลางทุ่งดอกเฮเทอร์ มีศิลปินหนุ่ม นั่ง สเก็ตภาพบนผืนผ้าใบข้างหน้า เป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่งของคนรักธรรมชาติและศิลปะ
Cairn O' Mount
(a poem by Alexander Balfour : 1767 - 1829)
Cairn O' Mount
As I rode down by the Brig o' Dye
And past yon hill o' broom,
A maiden sang right merrily,
Just as the sun gaed down.
---
"It's Cairn o' Mount is bleak and bare,
And cauld is Clochnaben'
And you will see the snow lie there
Alang the summer's end."
---
I lighted off my dapple grey
And walked by her side,
Saying, "Lassie, I have lost my way
Upon your moors so wide.
---
"Oh war me o' your face so fair,
Your een so bonnie blue,
The longest day I'd blythely share
To kiss your cherry mou'.
---
"Oh, lassie, will you gang wi' me,
And leave your cauldrich glen?
Wi' a' my kin ye'll bear the gree,
There's wealth baith but and ben."
---
"Wi' silks and satins buskit braw,
And ribbons for your hair,
And maids to answer when you ca',
So, can you wish for mair?"
---
"O lassie, ye maun think a wee,
My lands are far and wide,
I've gold in banks, and ships at sea,
So come and be my bride."
---
"My father left me lairdships twa,
A coach at my command,
I'll make you lady o'er them a',
If you'll give me your hand."
---
"Though Cairn o' Mount is bleak and bare,
You're no a match for me;
My Donald he is a' my care,
Ride on and let me be."
---
"He meets me on yon hill so green
His heart is leal and true
If Donald heard my angry scream
He soon would make you rue."
---
"O, lassie, think, your Donald's poor,
Has neither horse nor coo;
A shepherd straggling o'er the moor
Is not a match for you."
---
"Cairn o' Mount is bleak and bare,
And cauld is Clochnaben;
I'd rather meet my Donald here
Than be fair Scotland's queen."
---
"O lassie, I am loathe to tell,
You throw your love awa;
Your Donald brawly kens himsel'
Last gloamin' what I saw."
---
"As I rode by his shielin' door
I spied a Highland maid,
Your Donald kissed her o'er and o'er,
And rolled her in his plaid."
"Though you would swear wi' solemn oath
What you have told to me,
I would not dread my Donald's faith
But say, 'Base loon, ye lee."
---
It's he's thrown off his lowland dress,
Combed down his yellow hair,
Saying, "Lassie ye've been true to me,
And now we'll part nae mair."
---
"Nae mair I'm shepherd o' the glen,
But laird ayont the Dee;
And since ye have been true to me,
I'll aye prove true to thee."


ลงจาก Cairn O’ Mount แอนน์เริ่มบ่นหา Tea time ของเธออีกแล้ว Martin เลยขับรถเข้าไป ในตัวเมือง Fettercairn ที่จอดรถในเมืองเค้าจะอยู่ตรงกลางถนน ส่วนถนนรถวิ่งจะอ้อมไปรอบ ๆ แปลกดี เป็นเมืองเล็ก ๆอีกแล้ว ดูเป็นตึกเก่าแก่เยอะ เราอยากถ่ายรูปแต่คุณนายแอนน์เธอตรงลิ่วไปยัง “ The Fttercairn Tea Room “ ซะแล้ว เลยต้องวิ่งตามไปก่อน

The Fettercairn Tea Room เป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ตกแต่งน่ารักมาก ไฟสว่างพอโรแมนติก เน้นโทนสีน้ำเงินกับขาว แม้แต่กรอบรูปติดผนังยังเป็นสีน้ำเงินทั้งหมด เรากับตาเอียนสั่งกาแฟ กับ Sandwich ของตาเอียนเป็น Cheese Sandwich ของเรา Tuna Sandwich ส่วนแอนน์กับมาร์ตินกินน้ำชากับ ขนมพวก Bakery Tuna Sandwich ของเรามันชิ้นหนามาก แต่มันค่อนข้างเค็ม เลยโละให้ตาเอียนไปครึ่งนึง
ออกจากร้าน มองไปตามยาวถนนจะเห็นประตูเมืองเก่า ตั้งอยู่บนสะพานแคบ ๆ เค้ายังคงเก็บเอาไว้ถึงแม้ว่าถนนส่วนอื่นจะขยายแต่บริเวณสะพานก็ยังแคบเหมือนเดิม ไม่มีการทุบของเก่า เพื่อขยายใหม่เหมือนบ้านเรา ทำถนนทุกปี



พอรถวิ่งผ่านเราเลยขอลงไปดูหน่อย ตรงข้ามกับประตูเมือง จะเป็นโรงแรมเก่าแก่ขนาดไม่ใหญ่มาก ตกแต่งอย่างน่ารัก ตัวโรงแรมเป็นผนังหินทรายหยาบ ๆ ทาสีขาว กรอบหน้าต่างสีควันบุหรี่ ทางเข้าประตูโรงแรมจะทำเป็นซุ้มสีดำสนิท ตัดกับสีโรงแรมเห็นเด่นชัด ด้านข้างซุ้มแขวนกระถางดอกไม้ออกดอกงามสะพรั่งหลากสี ใต้ซุ้มประตูแขวนชื่อโรงแรม “ Ramsay Arms Hotel “ น่ารัก น่าอยู่มากค่ะ

ตอนกลับออกจากเมือง Fettercairn เราผ่าน โรงงานวิสกี้ประจำเมือง เฟตเตอร์เคร์น ( Fttercairn Distillery ) แต่ไม่ได้แวะเพราะมีจุดมุ่งหมายอื่น คือ ฟาส์ค เฮ้าส ( Fasque House ) เป็นบ้านโบราณถือเป็นมรดกทางประวัติศาตร์ของสก๊อตแลนด์ ( Historic House )



Create Date : 25 มิถุนายน 2551
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 16:03:52 น.
Counter : 1505 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

mearnss
Location :
ชุมพร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เป็นเภสัชกร ที่อยากทำงานบริษัทท่องเที่ยว เค้าจะรับมั้ยนี่ ท่องเที่ยวกับอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่โปรดที่สุดของข้าพเจ้า

MY VIP Friend