**** มีเธอ มีฉัน มีเราตลอดไป มีคนดู มีภาพยนตร์ มีความบันเทิงเสมอไป :) รักเพื่อนบ้านเสมอนะจ๊ะ ****
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
3 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
ปืนใหญ่จอมสลัด (2008) .... งานรวมญาติทีมนักแสดงของ "นนทรีย์ นิมิบุตร" และ งานนี้เกือบสมบูรณ์แล้ว!

***คำเตือน:มีเปิดเผยเนื้อเรื่อง***
8/10 GRADE B+, MATINEE
รับรองว่าไม่เสียดายตัง แต่คุ้มค่าราคาตั๋วมั๊ย ? อันนี้ต้องพิสูจน์เอาเอง




.... นนทรีย์ นิมิบุตร ถือว่าเป็นผู้กำกับที่คร่ำหวอดวงการภาพยนตร์ไทยมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีกว่าๆ เป็นผู้กำกับที่อยู่ในระดับแนวหน้าและผลงานส่วนใหญ่อยู่ในระดับน่าจดจำพอควร เมื่อลองดูผลงานช่วงเข้าวงการแรกๆส่วนใหญ่เป็นผลงานโฆษณาหรือมิวสิควิดีโอ ซึ่งเมื่อเขามีชื่อกับงานเล็กๆที่เขาทำมา มันก็เป็นใบเบิกทำให้เขา ได้ทำภาพยนตร์อย่างสมศักดิ์ศรีและที่เฮงสุดๆคือหนังเรื่องแรกของเขา กลายเป็นหนังระดับ 100 ล้านบาทที่ประสบความสำเร็จเมื่อ 10 ปีกว่าๆที่แล้ว ซึ่งนอกจากจะทำให้เขาแจ้งเกิดในอาชีพผู้กำกับอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว หนังเรื่อง "2499 อันธพาลครองเมือง" กลายเป็นหนังขึ้นชื่อเขาและแจ้งเกิดนักแสดงนำของเรื่อง ซึ่งปัจจุบันเป็นนักแสดงที่รู้จักของปวงชนส่วนใหญ่ 2499 จะเรียกว่าหนึ่งในหนังไทยที่ผมชอบเรื่องนึงก็ว่าได้ เป็นหนังแอ๊คชั่นที่ลงตัวกับส่วนดราม่ามาก แล้วก็ตีแผ่เรื่องราวอันธพาลสมัยก่อนได้ลึกซึ้งดี ที่แน่ๆหนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้จักนักแสดงอย่าง "อรรถพร ธีมากร" เป็นทางการ ซึ่งถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้เขาอาจเป็นตัวรองมากกว่าตัวเอกแบบ "ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี" แต่ก็รู้สึกว่าเขาและตัวละครเขาเป็นหัวใจของหนังอย่างแท้จริง หากไม่มีตัวละคร "เปี๊ยก วิสุทธิกษัตริย์ " เป็นผู้เล่าเรื่อง ยอมรับว่าหนังคงไม่ลึกซึ้งและอิ่มเอมใจ


เมื่อถึงเรื่องต่อมาก็เป็นผลงานหนังที่พลิกแนวต่างจากเรื่องแรก "นางนาก" หลายๆคนคิดว่านี่เป็นหนังสยองขวัญสั่นประสาทหรือเป็นสยองหลอกคนดูให้กลัวแบบหนังสยองทั่วไป แต่ความจริงเป็นดรามม่ามากกว่าสยอง เพราะนี่เป็นแม่นาคที่ตีความแบบซีเรียสและใกล้เคียงความจริงมากสุด! ซึ่งเรื่องนี้ยังคุมโทนมาตรฐานการทำหนังของเขาไม่ต่างจากเรื่องแรก โดยเฉพาะใส่ความเป็นดราม่าที่ลงตัวดีเช่นกัน แน่นอนเรื่องนี้เขาได้แจ้งเกิด "วินัย ไกรบุตร" ซึ่งเป็นนักแสดงที่คนทั่วไปยังรู้จักกันถึงทุกวันนี้

มาถึงผลงานหลังจากนั้น ไม่ว่าจะ "จันดารา", "อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต: The Wheel" และ "โอเคเบตง" ทั้ง 3 เรื่องเป็นผลงานที่ค่อนข้างเทียบฟอร์มกับ 2 เรื่องแรกยากมาก เพราะค่อนข้างแตกต่างและหลุดสุดขั้วกว่าที่เขาทำมา คือทั้ง 3 เรื่องมันยังเป็นตามมาตรฐานเขาอยู่ แต่ก็ด้อยกว่าแบบบอกไม่ถูก "จันดารา" ค่อนข้างกล้ามากสำหรับการทำหนังของเขาที่ผ่านมา ที่จะทำหนังประเภท "มือถือปาก ปากถือศีล" ซึ่งไม่ค่อยมีกับหนังไทยซักเท่าไหร่ แต่เขาทำได้สำเร็จ ถึงแม้ช่วงตอนออกฉายกระแสแรงมากๆ เป็นผลงานที่ยังอยู่ในระดับมาตรฐานและความลงตัวในการทำหนังของเขา (ถ้าหากมองแค่วิธีการเล่าเรื่องนะครับ) มาถึง "อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต: The Wheel" อันนี้ดูจะน่าตกใจกับผลงานการทำหนังของเขาเป็นพิเศษ เพราะมันแย่จนบอกไม่ถูก และมันก็ไม่เหมือนกับตอนที่เขาทำ "นางนาก" ซึ่งเรื่องนั้นนำความสยองและความเป็นดราม่าเข้ากันลงตัวและถูกจังหวะ แต่เรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญแบบหลอกคนดูทั่วไป คือเนื้อเรื่องลั่วๆและการแสดงดูไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ ถึงแม้หนังจะได้ "สุวินิต ปัญจมะวัต" จาก "จันดารา" ก็ไม่สามารถช่วยหนังอะไรได้ อาจเป็นผลงานที่ดูแย่สุดที่เขาทำมาก็ว่าได้

ขณะที่ "โอเคเบตง" เป็นผลงานพักผ่อนของเขา และ ดูเหมือนว่าทำได้น่าประทับใจเกินคาด ซึ่งเป็นการสร้างความเซอร์ไพรซ์ให้กับคนดูสุดๆ เพราะงานในช่วงแรกๆของเขาเป็นงานที่หนักไปในทางซีเรียสมาก และดูเหมือนวิธีการเล่าของหนังทั้ง 3 เรื่องแรก จะ "แรง" และ "จริงจัง" แต่เรื่องนี้เขาก็ได้พิสูจน์ว่าเขาก็ทำหนังแนวสบายๆได้ ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของเขามันก็เป็นบทพิสูจน์ว่า "เขาทำหนังได้ทุกแนวจริงๆ"

5 ปีหลังจาก "โอเคเบตง" ดูเหมือนเขาจะทุ่มเทกับหนังฟอร์มใหญ่สุดที่เขาทำมาในชีวิตเขา "ปืนใหญ่จอมสลัด" แน่นอนครั้งแรกหลังจากที่เปิดตัวประกาศการสร้าง หลายๆคนคงคิดว่าหนังเรื่องนี้เลียนแบบ "Pirates of the Caribbean" มั๊ย ? ความจริงไม่ได้เลียนแบบ หนังดัดแปลงจากเรื่องที่กำลังจะเอามาเป็นนวนิยายตอนที่หนังออกฉาย "บุหงาปารี" ของ "คุณวินทร์ เลียววาริณ" ซึ่งอ้างอิงกับบุคคลประวัติศาสตร์และบุคคลในตำนานชื่อดังๆบางคน ซึ่งใครไม่เคยเรียนพวก "อักษรศาสตร์" อาจไม่รู้จักหรือไม่รู้ซึ้งลึกซึ้งกับบุคคลที่ปรากฏอยู่ในหนัง แต่ทางผู้กำกับเคยบอกว่า "ถึงแม้บางคนจะไม่รู้จักบางบุคคลที่ปรากฏอยู่ในหนัง แต่ให้สัญญาจะไม่ทำให้คนเว๋อขณะดูหนัง!" สิ่งนึงคือหนังเรื่องนี้ คุณอุ๋ย พยายามจะสร้างแบบพิถีพิถันให้เต็มที่เหมือนกับหนัง 2 เรื่องแรกของเขา และอยากให้เป็นผลงานที่คนไทยภูมิใจ ฉะนั้นการสร้างเรื่องนี้ก็ยาวนานมากๆกว่าจะออกมาเป็นรูปร่าง และผลลัพท์ที่ออกมาก็คือ "OK แหละ มันบันเทิง แต่ก็ทำได้แค่น่าพอใจ"

.... เรื่องราวประมาณว่า เมืองรัฐเดียวเมื่อย้อนไปสมัย 400 ปีที่แล้ว ลังกาสุกะ ซึ่งปกครองอย่างระบบประชาธิปไตยและปกครองโดยราชินีซึ่งเป็นองค์หญิงคนโต "องค์หญิงฮีเจา" กำลังจะมีภัยอย่างใหญ่หลวงและต้องรวบรวมพันธมิตรให้มากที่สุด เมื่อ เจ้าชายราไว นำกองกำลังกลุ่มกบฏและพันธมิตรโจรสลัดต่าง ๆ ล้วนหมายจะยึดครองดินแดนอันมั่งคั่งแห่งนี้ และฝ่ายทางเจ้าชายราไวมีแผนจะนำปืนใหญ่ในตำนานที่ประดิษฐ์โดย ยานิส บรี ปราชญ์แห่งอาวุธชาวดัชท์ ซึ่งจมอยู่ก้นมหาสมุทรเป็นเวลาหลายปี แล้ววิธีเดียวที่จะพานำคลังแสงปืนใหญ่นี้ ออกมา คือ วิชาดูหลำ ซึ่ง "อีกาดำ" องครักษ์และขุนศึกของกองทัพเจ้าชายราไว ยังไม่สามารถที่จะใช้พลังดูหลำนี้พาคลังแสงอาวุธปืนใหญ่ขึ้นมาบนฝั่งได้ สิ่งที่พวกเหล่าศัตรูทำได้คือ ต้องจับตัว "ลิ่มโต๊ะเคี่ยม" ซึ่งเป็นศิษย์ของ ยานิส บรี ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ให้มาทำคลังแสงปืนใหญ่เพื่อตีเมืองลังกาสุกะให้แตกสำเร็จ

แต่หลังจาก "ลิ่มโต๊ะเคี่ยม" หายตัวไป เขาก็กลายเป็นบุคคลทั่วไปในหมู่บ้านชาวเล ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกปกครองจาก ลังกาสุกะ อีกที เขาได้กลายเป็นนักประดิษฐ์วัตถุหลายชนิดมากมายให้กับผู้คนชาวเล ซึ่งเขาเองซุ่มแอบอยู่ในเมืองนี้ นับตั้งแต่ที่ ยานิส บรี ถูกฆ่า เขาเองได้ผูกพันธ์กับหนุ่มน้อยชาวเลผู้มั่งคั่งและซื่อสัตย์ต่อคนรัก, ครอบครัว และ มิตรสหาย ทั้งหลาย "ปารี" ชายหนุ่มผู้ซึ่งฝึกพลังดูหลำในด้านธรรมะ ถูก ลิ่มโต๊ะเคี่ยม เชื้อชวนเข้าขบวนการอีกาดำ (ซึ่งก็ประมาณโจรสลัดแบบโรบิน ฮู๊ด) ไปปล้นเรือสำเภาเพื่อเอาทรัพย์สินทร์ให้แก่ผู้คนชาวเล ขณะเดียวกัน ณ. ลังกาสุกะ ราชินีฮีเจา ให้ องค์หญิงอูงู น้องคนเล็กของราชินี อภิเษกกับ "เจ้าชายปาหัง" เพื่อหนุนแรงพันธมิตรกับศึกที่กำลังจะมา และทัพของ ลังกาสุกะ ก็ให้องครักษ์ฝีมือเยี่ยม ยะรัง เป็นแม่ทัพนำเหล่าทหารสู้ศึกกับเหล่ากบฏสลัด แต่เรื่องราวเริ่มต้นจริงๆ เมื่อวันนึงขณะที่ขบวนการอีกาดำได้เข้าปล้นสำเภาแห่งนึง และมีการวางกับดักอย่างร้ายกาจทำให้ ปารี และ ลิ่มโต๊ะเคี่ยม เป็นแค่ผู้รอดชีวิตจากภารกิจนี้ และเมื่อเขาทั้งสองได้กลับมาที่หมู่บ้าน ก็พบว่าชาวเมืองทุกคนได้ถูกฆ่าไปส่วนนึงและถูกจับไปส่วนนึงโดยเหล่าทัพทหารเจ้าชายราไว ฉะนั้นเมื่อแรงแค้นของปารีก็ได้บังเกิดขึ้น เขาก็ไปตามล่าหาเหล่าทหาร ที่พรากทุกอย่างไปจากเขา แต่ก็ไม่ทันเพราะว่าเหล่าทหารมีเต็มไปหมดและมีเขาคนเดียวที่ไปต่อกร ซึ่งเหมือน "น้ำน้อยแพ้ไฟ" เขาถูกจัดการโยนลงทะเลและทางเหล่าทหารเจ้าชายราไวก็คิดว่า "ปารีตายแล้ว"!

.... ขณะที่เหล่าองค์หญิงคนกลางและคนเล็ก "บิรู" และ "อูงู" ได้เดินทางไปหมู่บ้านชาวเล พร้อมกับองครักษ์ ยะรัง แล้วก็พบว่าหมู่บ้านได้ถูกทำลาย เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาจึงรีบไปหา "ลิ่มโต๊ะเคี่ยม" เพื่อชวนให้เขามาทำคลังแสงอาวุธปืนใหญ่ ให้กับกองทัพลังกาสุกะ แต่ก็ไม่ทันใด ทั้งองค์หญิงบิรู และองค์หญิงอูงู พร้อมกับลิ่มโต๊ะเคี่ยม ถูกเหล่าทหารเจ้าชายราไวจับตัว และ ยะรัง ถูกจัดการ ซึ่งเขาพยายามตามรอยถิ่นฐานของเจ้าชายราไวเพื่อไปช่วย และ เมื่อปารีรู้สึกตัวก็หาทางไปถิ่นฐานแห่งเดียวเช่นเดียวกัน แล้วทั้ง ยะรัง และ ปารี ก็ได้พบกันและทั้งคู่ร่วมแรงเพื่อช่วยองค์หญิงทั้งสองและลิ่มโต๊ะเคี่ยม แต่เหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดก็เกิดขึ้น เมื่อ "ยะรัง" ช่วย "บิรู" ได้ กลับไปเมือง ลังกาสุกะ และ "ปารี" ช่วย "อูงู" ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจาก กระเบนขาว ผู้เป็นอาจารย์สอนดูหลำให้กับปารีตั้งแต่วัยเด็ก

เรื่องราวที่ผมเล่าในสามย่อหน้านี้คือช่วง 45 นาทีแรกที่ค่อนข้างเฉื่อยและน่าเบื่อสุดๆ ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าใครดูไม่ผ่านช่วงนี้หรือเดินออกประมาณช่วง 45 นาทีแรก ผมยอมรับเลยว่า หลังจาก 45 นาทีแรก คุณคงพลาดความสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ! ผมยอมรับเลยว่าช่วงหลัง 45 นาทีแรกนี้ ทำได้สนุกและตื่นเต้นดี เรื่องส่วนเมืองลังกาสุกะคงดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่ อาจจะต้องถูกตัดความสำคัญไปช่วงระหว่างกลางเรื่อง เรื่องของเจ้าชายราไวและกองทหารของเขา ซึ่งบังคับให้ "ลิ่มโต๊ะเคี่ยม" ทำคลังแสงปืนใหญ่ อาจดูน่าสนใจกว่าส่วนเมืองลังกาสุกะ แต่ช่วงตอนกลางๆ เรื่องที่น่าสนใจสุดคือ การฝึกฝนวิชาดูหลำในด้านมืดของปารี เมื่อเขาทราบว่าในถ้ำตระเบนขาวที่เขาอาศัยอยู่ มีตระเบนดำถูกขังไว้อยู่ในช่องแคบถ้ำ ซึ่งธรรมดาเมื่อตระเบนขาวสอนดูหลำให้กับปารีก็มักสอนว่า "หากเกลียดก็ไม่ควรที่จะเรียนรู้วิชานี้ด้วยความเกลียด" แต่กลับตระเบนดำสอนให้ปารีรู้ว่า "หากเกลียดก็เรียนรู้วิชานี้ต่อไปด้วยความเกลียดชัง" ซึ่งปารีก็ได้เรียนวิชาด้านมืด และก็พบว่าตระเบนขาวกับตระเบนดำเป็นคนเดียว ผมพูดจริงๆส่วนนี้ดูเหมือน JEDI กับ Sith แหละครับ ? คือมันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการลอกเลียนแบบอะไรหรอกครับ


แต่เป็นการได้แรงบันดาลใจนิดๆแล้วมาแปลงเรื่องราวให้มันดูประมาณหนังไพเรทเจอกับสตาร์วอรส์แบบเหม่งๆ ผมเชื่อว่าคนที่ไม่ค่อยดูหนังจะไม่ค่อยคิดอะไร แต่พวกที่ดูหนังบ่อยๆจะคิดว่า เหมือนหนังไม่มีความเป็นของตัวเอง จริงๆอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมจะอธิบายให้ฟัง โอเคแหละ หนังหลายๆเรื่องบางเรื่องก็ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนั้น บางเรื่องก็โดนใจยกให้เป็นอริจินัล หรือบางเรื่องก็หาว่าห่วยก็ไปหาว่าเขาริพ-ออฟมาอีกที! แต่กลับ "ปืนใหญ่จอมสลัด" นี้แตกต่างกัน!

.... ในส่วนวิชาดูหลำที่มันค่อนข้างคล้ายคลึมหรือเหมือนไปได้แรงบันดาลใจอีกทีจาก Star Wars ผมว่ายังพอมีเหตุผล คนเราจะมีอยู่สองด้าน คือด้านดีหรือด้านชั่วร้าย ด้านที่เป็นง่ายที่สุดก็คือด้านชั่วร้าย เพราะมันเข้าแทรกซึมคนได้ง่าย และมันเป็นหนทางการเกิดกิเลศมนุษย์เสมอ ขณะที่ความดีใครที่ถูกซึมซับมาตั้งแต่แรก จะรู้ว่าถ้าคุณถูกปลูกฝังตั้งแต่แรกเกิด มันก็จะสานต่อความดีงามและเกิดคุณธรรมแบบไม่มีสิ้นสุด (ถึงแม้จะมีความชั่วร้ายแทรกซึมแต่ก็สามารถเยียวยาได้) จนสุดท้ายเราจะเข้าใจว่าบางครั้งความดีไม่ต้องหวังผล แค่เราทำปรโยชน์เราก็พอเข้าใจแล้ว วิชาดูหลำประมาณอารมณ์คน หากเราเรียนวิชานี้ด้วยความดี พลังอันยิ่งใหญ่จะเข้าสู่เราเมื่อถึงเวลาจำเป็น แต่หากเราเรียนวิชานี้ด้วยเกลียดชัง-ชั่วร้าย พลังอันยิ่งใหญ่ก็จะมาเร็วแต่ผลลัพท์ที่ตามมาไม่สวย (เช่นเสียงร้องหวยโหนที่ชวนหนวกหู และ พลังที่ยิ่งใหญ่ก็จะหมดเร็ว) ฉะนั้นตัวอาจารย์ ตระเบนขาว/ตระเบนดำ คือสัญลักษณ์ดาบสองคมมนุษย์! แต่เมื่อตระเบนขาวรู้ตัวว่ากำลังจะจิตรตกตอนไหน เขาก็รู้ตัวว่าจะควบคุมอารมณ์อย่างไหร่! นี่คือสาระที่หนังสอนเราซึ่งคือจุดเด่นของหนัง แต่ในความรู้สึกจริงๆขณะที่ดู อะไรที่มากไปก็น่าจะลดๆหน่อย แล้วอะไรที่น้อยไปควรจะเพิ่มเติมซักนิดก็ยังดี

ปัญหาของหนังก็คือหนังมีเรื่องราวเดิน 3 ส่วน คือเรื่องในเมืองลังกาสุกะ, เรื่องของฝั่งโจรสลัด และเรื่องของการฝึกวิชาดูหลำ โอเค? ฟังดูมันอาจจะไม่เลวร้ายอะไร เหมือนว่าหนังจะประคองเรื่องราวทั้ง 3 ส่วนแบบไร้ปัญหา แต่ในขณะดูผมกลับไปนึกถึง "นเรศวร 2" และ "The Golden Compass" คือมันเป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่กระจายความสำคัญของซับพล็อตที่แยกและตัวละครได้ไม่พร้อมเพรียงกัน!

ตอนกลางเรื่องค่อนข้างเห็นได้ชัดว่า หนังถูกฉับๆบางเหตุการณ์อย่างห้วนๆ เพื่อไม่ให้หนังมันยาวไป ผลลัพท์คือบางเหตุการณ์ต้องคิดเองขณะที่เห็นฉากนั้นอยู่บนจอ โดยที่ภาพแรกนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร เช่นการใส่ Flashback ของบางตัวละคร คือบางตัวละครมันก็จำเป็นก็ต้องใส่ไป

.... เพราะตัวละครนั้นตั้งแต่เห็นครั้งแรก จริงๆเราเองก็อาจไม่รู้ว่าเขามีความสำคัญอะไรกับเรื่อง ก็คงต้องเป็นอะไรที่มันย้อนเหตุการณ์แบบ Flashback แต่สิ่งผมจะบอกก็คือ มันควรจะมาถูกจังหวะกว่านี้ และมันก็บ่อยครั้งเกินไปที่ผมอารมณ์สะดุดกับหนังเพราะ Flashback ของเรื่อง บางตอนมาก็สมเหตุผลดี บางตอนมาก็จัดมาอย่างดื้อๆ ทำให้ผมเกิดความรำคาญและเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับงานของ นนทรีย์ นิมิบุตร ชิ้นนี้! เพราะปกติงานเขาจะดีเรื่องการเล่าเรื่อง,การตัดสลับ, การตัดต่อที่ถูกสื่อออกมาแบบเนิ๊บๆ แต่กลับชิ้นนี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี๊ย ? นอกจาก Flashback บางช่วงที่มาแบบดื้อๆ, การกระจายบทตัวละครที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่! และการตัดภาพแบบฉับๆของหนังยังไม่พอ ปัญหาหนักอย่างนึงของหนังคือการแสดงของนักแสดงครับ

.... ผมก็คนนึงแหละ ที่อยากดู จารุณี สุขสวัสดิ์ ในบทราชีนีฮีเจาอย่างมาก เพราะผมก็ได้ดูหนังเก่าๆของคุณจารุณีสมัยยังสาวๆ และก็เป็นนักแสดงที่มีคุณภาพคนนึงในวงการ แต่แทนที่จะทำให้ผมกลับรู้สึกว่าตัวละครนี้มีความน่าเกรงขาม กลายเป็นว่าตัวละครนี้ "แทบไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย" ผมไม่รู้บทของคุณจารุณีเรื่องนี้ถูกตัดให้เหลือสั้นเกินไปรึเปล่า ? ทำให้การออกมาแต่ละครั้งที่น่าจะดูมีพลังกลับดูจืดจางไปทันที !? น่าเสียดายคุณจารุณี สุขสวัสดิ์ ไม่สามารถใช้พลังการแสดงอย่างเต็มที่กับหนังเรื่องนี้ได้ อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นที่บทหรือการตัดต่อกันแน่ แต่ในขณะที่ดู หากเขานำสินจัยมารับบทนี้อาจจะดูมีพลังกว่านี้ก็ได้! (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ)

คุณ สรงพงศ์ ชาตรี นี่ เป็นนักแสดงไทยที่ผมยกย่องเป็นพิเศษ ตั้งแต่ผมดูหนังไทยมาเลย แต่กลับเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อว่าการแสดงของเขา มันดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่! โดยเฉพาะการที่ต้องมาเป็นตระเบนดำ ผมยังรู้สึกว่าเขายังร้ายได้ไม่พอที่จะเข้าด้านมืด และก็บางครั้งรู้สึกว่าเขาเล่นแข็งแบบไม่น่าเชื่อ! ซึ่งถึงผมจะผิดหวังกับการแสดงของเขาเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้กระทบกระเทือนกับความรู้สึกดีๆผ่านมาที่ผมมีต่อนักแสดงผู้นี้!

ตัวชูโรงจริงๆของหนังเรื่องนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ยังคงทำได้ดีตามคาด และที่เกินคาดก็คือ เดี่ยว ชูพงศ์ เรื่องนี้เป็นบทดูดีสุดๆในการแสดงเขาที่ผ่านมา ขณะที่นักแสดงรับบทเป็น "องค์หญิงบิรู" และ "องค์หญิงอูงู" เลือกคนเล่นได้น่าพอใจมากและน่ารักทั้งคู่ แต่นักแสดงคนอื่นๆในหนัง ? ผมคงต้องบอกว่าพวกดาวสมทบในเรื่องคงไม่มีใครเด่นเท่า เอ๊กซ์-จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม ในบท ลิ่มโต๊ะเคี่ยม ทำได้น่าประทับใจและน่าจดจำอย่างมาก (เผลอๆอาจน่าจดจำกว่าบทราชีนีเสียอีก) แต่นักแสดงนอกนั้น เสียเวลาสำหรับพวกเขาจริงๆ! เพราะผมรู้สึกเลยว่าเป็นการรวมญาตินักแสดงที่เคยร่วมงานกับคุณอุ๋ย-นนทรีย์ได้ไม่จำเป็นเท่าไหร่ คงไม่ต้องพูดถึงพวกแก๊งค์ 2499 ที่โผล่มาในหนังทั้งฉากเล็กหรือฉากใหญ่ หรือแม้กระทั่งการมาของ วินัย ไกรบุตร กลับไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อหนังเท่าไหร่นัก!

.... ข้อด้อยสุดท้ายคือการเฉลยเรื่องอ่ะครับ ผมพอใจจุดหักมุมเฉลยเรื่อง "ตระเบนดำ" คือตัวการทั้งหมดและเป็นพ่อของเจ้าชายราไว โอเคยังดูน่าเชื่อถือ และคิดว่าถึงจะตัดต่อไม่ค่อยดี ผมก็ยังพอเข้าใจ (ถึงจะมึนๆกับการโผล่มาของ ตระเบนขาว/ตระเบนดำ ในแต่ละครั้ง!) แต่สิ่งที่ผมไมค่อยชอบคือการเฉลยเรื่อง "ไส้ศึก" คือ 1 ในองครักษ์ของราชินี เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังและเป็นไส้ศึกแท้จริง การเฉลยเรื่องในส่วนนี้ค่อนข้างมากไปและ เกินความจำเป็นที่จะเอามาใส่ในช่วงเวลาเดียว แถมที่ไม่เข้าใจก็คือก่อนหน้านั้น หนังไม่เคยปูเรื่องให้กับตัวละครนี้ ทำไมจู่ๆโผล่มาอย่างไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวอะไร นี่เป็นข้อนึงของหนังที่ผมค่อนข้างเสียดายครับ กับหนังไทยสเกลดีๆเรื่องนึง ที่ต้องมาพลาดเพราะข้อด้อยลักษณะนี้ ผมว่าน่าจะมีการให้บทบาทตัวละครนี้ ก่อนที่จะมาเฉลยว่า "แท้จริงแล้ว เขาเป็นใคร !?!?" แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า มีฉากที่เกี่ยวตัวละครนี้แล้วคงต้องถูกตัดทอนออกไปรึเปล่า ?


ในความเห็นสุดท้าย: ผมยอมรับว่าไม่เคยอ่าน "บุหงาปารี" ของ "คุณวินทร์ เลียววาริณ" และหนังก็ยังมีจุดไม่ลงตัวหรือข้อด้อยอยู่เยอะ!

.... แต่สิ่งที่ยอมรับคือเป็นหนังไทยฟอร์มใหญ่ที่ดูแล้วพอรู้เรื่องและก็ภูมิใจกับผีมือคนไทย แถมฉากแอ๊คชั่นทำได้กลับแกล้มกับหนังดี และเพลิดเพลินดี ซึ่งก็ถือว่าไม่เสียดายตัง 140 บาทอ่ะครับ โอเคมันอาจจะไม่เป็นธรรมตอนช่วงแรกๆ แต่เมื่อถึงช่วงกลางๆเรื่องก็รู้สึกว่า "โอเคกำลังดี" ที่ชอบคือการปูเรื่องความรักและความสัมพันธ์ระหว่าง ปารี และ องค์หญิงอูงู มันดูน่าเชื่อถือพอควรกับความรักของทั้งสอง แต่ยังไงหากมีภาคต่อหวังว่าประเด็นนี้คงจะถูกพูดถึงในภาคต่อด้วย เพราะหนังได้ปูความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ถูกเมนชั่นในช่วงท้ายหนัง เป็นการทิ้งเชื้อไว้สำหรับภาคต่อได้ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่! และก็คงจะไปหาหนังสือเรื่องนี้มาอ่าน เพราะมีหลายๆคนบอกผมว่า เรื่องนี้ "หนังสือ" ดีกว่า "หนัง" !

แต่อย่างไรซะ "ปืนใหญ่จอมสลัด" ในความเห็นผม เป็นหนังที่ไม่เสียดายค่าเข้าชมเลย ถึงแม้ข้อด้อยจะเยอะก็ตาม แต่ผมกลับรู้สึกว่านี่งานภาพยนตร์ไทยสเกลใหญ่ๆและดูดีอีกเรื่อง ที่ทำได้ไม่น่าเกลียดซักเท่าไหร่!


Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2551 17:51:04 น. 2 comments
Counter : 770 Pageviews.

 
พรุ่งนี้ไปดูแล้วจะกลับมาอ่านนะ


โดย: chalawanman วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:46:11 น.  

 
แต่ผมกลับคิกว่าคุณดี่ยว เป็นคนที่แสดงได้แข็งมาก แม้จะได้รับบทเด่นก็ตาม และ"องค์หญิงฮีเจา"บทไม่มีพลังเลย

สรุปเรื่องนี้เหมือนทานอาหารที่อร่อย แต่เรากินแล้วไม่อิ่ม


โดย: ขุนขวาน IP: 203.151.120.204 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:51:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

McPhee มีเธอ มีฉัน มีเราตลอดไป
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ ชาวบล๊อกแก๊งค์ทั้งหลาย

ผมเองเป็นสมาชิกห้องเฉลิมไทยในพันธิปมาเป็นเวลาเกือบปีแล้ว แต่แน่นอนว่า หลายๆคนคงอาจไม่คุ้นเคยกับผมดี เพราะไม่ได้เข้ามาในห้องเฉลิมไทยบ่อยเท่าไหร่นัก แต่เชื่อว่าสมาชิกใน Popcornmag bbs น่าจะคุ้นเคยกับผม ในนาม "Matthew McPhee'Z"

ความจริงผมเองกำลังจะเป็นบัณฑิตป.ตรีอีกไม่นานนี้ หนึ่งปีก่อนหน้านี้ที่เพิ่งมาร่วมแจมกับชาวเฉลิมไทย จึงไม่ได้บ่อยเท่าไหร่ และความจริง มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ผมอยากจะเขียนถึงบ้าง ก็ไม่ได้มีเวลาจริงจังได้ลงมาเขียนซะที ได้แต่หวังว่าชีวิตหลังเริ่มศตวรรษใหม่นี้ ผมคงได้มาเขียนถึงหนังได้อย่างจริงจังเสียที

ในบล๊อกนี้ ตัวผมยินดีรับความเห็นต่างๆของเพื่อน ที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนั้นๆครับ ฉะนั้นบล๊อคกฏมารยาทก็คือ ที่นี่คือแหล่งนานาจิตตังกัน ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยต่างกันหรือเหมือนกัน ผมยินดีรับฟังความเห็นเพื่อนๆเสมอ และหวังว่าเพื่อนๆจะรับฟังความเห็นผมด้วย ยังไงก็อยากเข้ามาทักทายกับเจ้าของบล๊อก ก็ช่วยใช้คำสุภาพดีๆนะครับ จะขอบพระคุณอย่างสูง และจขบ จะตอบกลับอย่างงามๆครับ หิๆๆๆๆ เพราะที่นี่คือบล๊อกสันติครับ

เนื่องจากว่าชีวิตส่วนตัวผมไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ก็คงไม่แนะนำตัวอะไรมาก ส่วนตัวเป็นคนรักหนังอยู่แล้ว มีสุนทรีย์ในการฟังเพลง แล้วก็เป็นคนเชื่อในความรักและมิตรภาพ (ถึงแม้จะแห้วมาเยอะก็เถอะ) แหะๆๆๆ

ตัวผมก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนๆทุกคน และก็ยินดีรู้จักกับเพื่อนๆทุกคนนะครับ

ถึงชีวิตผมจะไม่น่าสนใจ แต่เขาสนใจอยากตามชีวิตผม ว่าตัวผมทำอะไรอยู่ตอนนี้ กำลังดูหนังเรื่องอะไร ฟังเพลงอะไร รวมถึงหากผมมีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับวงการภาพยนตร์ หรือเรื่องสำคัญจะมาอัพเดทให้ฟัง หรืออยากติดต่อกับผมอย่างใกล้ชิด ก็เชิญตามติดชีวิตผม follow ผม ได้ที่ Twitter ตามลิงค์ Widget ด้านล่างนี้นะครับ

(แต่การอัพเดทของผมแต่ละครั้ง จะเป็นภาษาอังกฤษนะครับ เพราะมีบางท่านที่ follow ผม เป็นชาวต่างประเทศก็มี สำหรับผู้ที่ไม่แข็งแรงภาษาอังกฤษ ผมคงขอโทษที่นี้ด้วย แต่คงไม่มีปัญหาอะไรสำหรับคนเก่งอังกฤษอยู่แล้ว หิๆๆๆๆ)

หวังว่าผมคงได้รู้จักเพื่อนๆชาวบล๊อกแก๊งค์มากยิ่งขึ้นหลังจากนี้นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก และขอบคุณล่วงหน้า หากเพื่อนๆคนไหนเผลอมาอ่านโปรไฟล์ผม

ขอบคุณครับ .....

Live Long and Prosper :) รักเพื่อนบ้านเสมอ
Friends' blogs
[Add McPhee มีเธอ มีฉัน มีเราตลอดไป's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.