29 มค 55 ฟังเทศน์ พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส
ภาพจาก facebook ของ Watphakaew.org
29 มค 55 ฟังเทศน์พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส ที่บ้านจิตสบาย สรุปความ ท่านให้ความสำคัญและอธิบายความต่อเนื่องของ โพชฌงค์ 7 ธรรมอันเป็นองค์ไปสู่การตรัสรู้ เจริญสติ เพื่อให้เกิดความสงบ และทำธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ดูสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป ว่าไม่มีตัวตนถาวร เพียรปิดกั้นอกุศล -ทุกข์ทั้งหมดเกิดจากความคิดปรุงแต่ง -ความคิดคือส่วนประกอบของความจำที่มาพิจารณาเปรียบเทียบและตัดสิน และมีผลต่ออารมณ์ Keyword "กรรม คือเจตนาเป็นที่ตั้งของเวทนา" "ไม่มีคนข้างนอก มีแต่อวิชชาข้างใน" "ไม่มีคนข้างนอก มีแต่อมตะข้างใน" "ตถตา" การปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน คือ สติปัฏฐาน และมีบุญกิริยา เข้าใจและเห็นใจ มีวิริยะเพียรปิดกั้นอกุศล
ตอนท้าย ท่านอาจารย์อำนาจ ได้เล่าทิ้งท้ายถึงบทกวี ของท่าน รพินทร นาถฐากูร คนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 1913 เรื่อง คืนพระเจ้าเสด็จมา (//www.poetseers.org/nobel_prize_for_literature/tagore/git/)
สรุปความคือ ไม่มีใครรับทราบได้ ในแต่ละขณะจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ควรทำคือพร้อมรับและเผชิญกับทุกสภาวะที่จะเกิดขึ้น นอกแผนที่จะมีขึ้นได้แน่ ขอคัดลอกเนื้อความเทศน์ "วันที่พายุกระหน่ำ" สั้นๆใจความดี มาลงค่ะ
ขยายความ โพชฌงค์ 7 สมัยหนึ่งพระโลกนาถเจ้าทรงทอดพระเนตรทรงดูพระโมคคัลลานะและพระกัสส อาพาธถึงทุกขเวทนา อาพาธเกิดเป็นทุกขเวทนา จึงทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ธรรมอันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการที่เรียกว่าโพชฌงค์ ๗ นั้น มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ? พุทธดำรัสตอบ .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุพิจารณาเห็นภายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ในสมัยนั้น สติย่อมเป็นอันเธอเข้าไปตั้งไว้แล้ว ไม่เผอเรอ .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด สติเป็นอันภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผอเรอในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ เธอเมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้าไตร่ตรองถึงความพิจารณาธรรมนั้นได้ด้วยปัญญา .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใดภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้าไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ในสมัยนั้นธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว สมัยนั้น ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญธรรม วิจยสัมโพชฌงค์..... ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ เมื่อเธอค้นคว้าไตรตรอง ถึงความพิจารณาธรรมด้วยปัญญาอยู่ ย่อมเป็นอันปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ..... ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน.... วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุ ปรารภแล้ว...... ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์...... วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ปีติปราศจากอามิสย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ..... ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน.... วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุ ปรารภแล้ว...... ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์...... วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ปีติปราศจากอามิสย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ปีติปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุ ปรารภแล้ว...... ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญวิริยสัมโพชฌงค์...... ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้งกายทั้งจิตระงับได้ .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ทั้งกายทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจเกิดปีติระงับได้ ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว.... ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์...... ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว ย่อมมีจิตตั้งมั่น .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุขย่อมตั้งมั่น ในสมัยนั้นสมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว...... สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญ และความบริบูรณ์แก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉย จิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว..... อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ .....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้...... อานิสงส์การเจริญโพชฌงค์ [๑๑/๓๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ผลานิสงส์ ๗ ประการ อันเธอพึงหวังได้ ผลานิสงส์ ๗ ประการเป็นไฉน? [๓๘๒] คือ (๑) ในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตผลโดยพลัน (๒) ในปัจจุบันไม่ได้บรรลุ ทีนั้นจะได้บรรลุในเวลาใกล้ตาย (๓) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป (๔)ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ๕ สิ้นไป (๕) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายีและไม่ได้เป็นพระอานาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป (๖) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายีทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป (๗) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ๕ สิ้นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้ อันเธอพึงหวังได้
Create Date : 29 มกราคม 2555 |
Last Update : 31 มกราคม 2555 14:23:25 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2352 Pageviews. |
|
|
ไม้หัว อึดดี ตายยาก ชอบค่ะ
------
ใช่เลยค่ะ มีคนให้มานานแล้ว คิดว่าจะตายหลายครั้ง
แอบชอบเหมือนกันแบบว่าไม่ต้องดูแลอะไรเลย..
วันดีคืนดี ก็ อ้าว!! เฮ้ย! มีดอกด้วย ว่าจะเอากระถางไปปลูกอย่างอื่นแล้วนะ...อิ อิ