นาลันทามีความหมายว่า “ให้ไม่รู้จบ” (insatiable in giving) เป็นสถานศึกษาให้ความรู้แก่ผู้มาเรียนไม่มีที่สิ้นสุด ได้รับการอุปถัมภ์จากพระราชาพระจักรพรรดิ์
เค้าโครงภายในห้องพักของนักศึกษาแต่ละคน
แนวระบายของเสียของนักศึกษาแต่ละห้องพัก
ทางขึ้นอาคารห้องสมุดที่สูง 9 ชั้น
ยืนบนเวที ในห้องเรียนขนาดกว้างใหญ่ มาสถานที่แห่งนี้รู้สึกชอบและมีความสุข
นักเรียน นักบวช พุทธศาสนิกชน เดินทางเข้าชมไม่ขาดสาย
ภายในนาลันทา ยังมีสถานที่สำคัญคือ สถูปของพระสารีบุตร
บันทึกเรื่องที่ควรจดจำ เกี่ยวกับ มหาวิทยาลัยนาลันทา
พระเจ้าหรรษาวรรธนะ มหาราชพระองค์หนึ่งของอินเดีย ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1149-1191 ก็ได้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของมหาวิทยาลัยนาลันทา หลวงจีนเหี้ยนจัง (พระถังซำจั๋ง) ซึ่งจาริกมาสืบพระศาสนาในอินเดียในรัชกาลนี้ ในช่วง พ.ศ. 1172-1187 ได้มาศึกษาที่นาลันทามหาวิหาร และได้เขียนบันทึกบรรยายอาคารสถานที่ที่ใหญ่โตและศิลปกรรมที่วิจิตรงดงาม ท่านเล่าถึงกิจกรรมทางการศึกษา ที่รุ่งเรืองยิ่ง นักศึกษามีประมาณ 10,000 คน และมีอาจารย์ประมาณ 1,500 คน พระมหากษัตริย์พระราชทานหมู่บ้าน 200 หมู่โดยรอบให้ โดยทรงยกภาษีที่เก็บได้ให้เป็นค่าบำรุงมหาวิทยาลัย ผู้เล่าเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น วิชาที่สอนมีทั้งปรัชญา โยคะ ศัพทศาสตร์ เวชชศาสตร์ ตรรกศาสตร์ นิติศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ตลอดจนโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ และตันตระ
แต่ที่เด่นชัดก็คือนาลันทาเป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และเพราะความที่มีกิตติศัพท์เลื่องลือมาก จึงมีมีนักศึกษาเดินทางมาจากต่างประเทศหลายแห่ง เช่น จีน ญี่ปุ่น เอเซียกลาง สุมาตรา ชวา ทิเบต และมองโกเลีย เป็นต้น หอสมุดของนาลันทาใหญ่โตมากและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เมื่อคราวที่ถูกเผาทำลายในสมัยต่อมา มีบันทึกกล่าวว่าหอสมุดนี้ไหม้อยู่เป็นเวลาหลายเดือน หลวงจีนอี้จิงซึ่งจาริกมาในระยะประมาณ พ.ศ. 1223 ก็ได้มาศึกษาที่นาลันทาและได้เขียนบันทึกเล่าไว้อีก นาลันทารุ่งเรืองสืบมาช้านานจนถึงสมัยราชวงศ์ปาละ (พ.ศ. 1303-1685) กษัตริย์ราชวงศ์นี้ก็ทรงอุปถัมภ์มหาวิหารแห่งนี้ เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ โดยเฉพาะโอทันตปุระที่ได้ทรงสถาปนาขึ้นใหม่
อย่างไรก็ดี ในระยะหลังๆ นาลันทาได้หันไปสนใจการศึกษาพุทธศาสนาแบบตันตระ ที่ทำให้เกิดความย่อหย่อนและหลงเพลินทางกามารมณ์ ซึ่งเมื่อพระที่ควรงดเว้นเรื่องกามตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา กลับหันมาเสพกามเสียแล้ว ก็ทำให้เหล่าอุบาสก อุบาสิกาเริ่มเสื่อมศรัทธาจนส่งผลให้ไม่สนใจใยดีพระศาสนา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ฝ่ายเดียวต่างจากลัทธิพราหมณ์เริ่มที่จะปรับตัวจนกลายมาเป็น ฮินดู การปรับตัวนั้นก็เพื่อต่อสู้กับการเจริญเติบโตของพุทธศาสนา จากลัทธิพราหมณ์ที่ไม่มีนักบวช ก็มี ไม่มีวัด ก็มี จากการเข่นฆ่าบูชายัญสัตว์ ก็หันมานับถือสัตว์บางประเภทและประกาศไม่กินเนื้อ เช่น วัว สร้างเรื่องให้พระพุทธเจ้าก็กลายเป็นอวตารหนึ่งของเทพเจ้าในศาสนาฮินดูและทำให้พุทธศาสนากลมกลืนกับศาสนาฮินดูมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งแห่งความเสื่อมโทรมของพระพุทธศาสนา
นาลันทาถูกรุกรานรวม 3 ครั้ง
1.ชาวฮั่นรุกรานครั้งแรกหลังก่อตั้งได้ไม่นาน แต่ได้รับการบูรณะฟื้นฟูแทบจะทันทีโดยลูกหลานของพระเจ้าสุคนธคุปต์ โดยสร้างใหม่ใหญ่กว่าเดิม จัดทำระบบทรัพยากรต่างๆ ภายในให้เพียงพอที่มหาวิทยาลัยนาลันทาจะสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้อย่างยั่งยืน ต่อมา
2. ชาวเกาฑะ (Gaudas) จากตะวันออกของอินเดียได้รุกรานนาลันทาเป็นครั้งที่สองเมื่อราว พ.ศ. 1100 เศษ คราวนี้ได้พระเจ้าหรรษวรรธนะ (Harshavardhana) กษัตริย์เชื้อสายฮินดูเป็นผู้บูรณะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
3. การรุกรานครั้งที่สามเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1193 (พ.ศ. 1736 ก่อนก่อตั้งกรุงสุโขทัย) ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายและร้ายแรงที่สุดถึงขนาดทำให้นาลันทาล่มสลาย เป็นฝีมือของชาวอัฟกัน-เติร์กชื่อ ภักติยาร์ คิลชิ (Bakhtiyar Khilji) ซึ่งต้องการแผ่อิทธิพลของศาสนาอิสลามโดยใช้ความรุนแรง กองทัพมุสลิมเติรกส์ได้เผาผลาญทำลายวัดและปูชนียสถานในพุทธศาสนาลงแทบทั้งหมด และสังหารผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา นาลันทามหาวิหารก็ถูกเผาผลาญทำลายลงในช่วงระยะเวลานั้นด้วย มีบันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวมุสลิมเล่าว่า ที่นาลันทา พระภิกษุถูกสังหารแทบหมดสิ้น เพราะต้องการที่จะถอนรากถอนโคนอิทธิพลของพุทธศาสนาในชมภูทวีปเสียให้หมดสิ้น อาคารเรียน วัดวาอาราม ห้องสมุด ล้วนถูกทำลาย ตำราที่ถูกเผาไหม้นั้น คุโชนอยู่เป็นเดือนๆ กว่าจะมอดไหม้หมดสิ้น และอาจพูดได้ว่า คุณภักติยาร์ประสบความสำเร็จตามตั้งใจเพราะนับแต่นั้นมาพุทธศาสนาแทบจะจางหายไปจากอินเดียเป็นการถาวร
จากการบันทึกของท่าน ตารนาท ธรรมสวามินปราชญ์เขียนเอาไว้ว่า พอกองทัพมุสลิมยกทัพกลับไปแล้ว พระ นักศึกษา และพระอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 70 องค์ ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน ทำการสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ รวบรวมเท่าที่จะหาได้ ปฏิสังขรณ์ตัดทอนกันเข้าก็พอได้ใช้สอยกันต่อมา และ ท่านมุทิตาภัทร รัฐมนตรีของกษัตริย์ในสมัยนั้นได้จัดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง ส่งไปจากแคว้นมคธ เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น
แต่แล้ววันหนึ่งได้มีปริพาชก 2 คนได้เข้ามาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตนขึ้นและคงคิดว่าเพียงพอแล้วที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้รวบรวมเศษไม้แล้วก่อไฟขึ้น พร้อมทั้งขว้างปาดุ้นฟืนที่ติดไฟไปตามสถานที่ต่างๆ โดยรอบ จนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ไปทั่วมหาวิทยาลัยนาลันทา ก็เป็นอันแหลกลาญเป็นผุยผง สุดที่จะทำการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ให้คืนดีได้ดังเดิม มหาวิทยาลัยนาลันทา อันเลื่องชื่อลือนาม ก็เป็นอันสิ้นสุดลง ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า มาตั้งแต่บัดนั้นซากของนาลันทาที่ถูกขุดค้นพบในภายหลัง ยังประกาศยืนยันอย่างชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่ของนาลันทาในอดีตในปลายพุทธศตวรรษที่ 25
ต่อมาในปี พ.ศ. 2403 นายพลคันนิ่งแฮม ได้มาสำรวจและก็พบมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงกองดินสูงเท่านั้น ต่อมาจึงได้ขุดสำรวจตามหลักวิชาการโบราณคดี มหาวิทยาลัยก็ได้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง บริเวณปัจจุบันมีเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ และตรงหน้ามหาวิทยาลัยนาลันทาได้มีพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ที่เก็บรวมรวมโบราณวัตถุที่ขุดพบในมหาวิทยาลัยนาลันทา
มหาวิทยาลัยนาลันทาใหญ่โตอลังการมากครับ นักศึกษาหมื่นกว่าคน อาจารย์พันกว่าคน
เป็นมหาวิทยาลัยเรียนกินนอน ที่ต้องใช้พื้นที่มากมายครับ