Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
--------------------เรื่องซวยๆของน้อง--------------------

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดกับตัวเองแต่อย่างใดแต่เกิดกับเพื่อนคนหนึ่งแล้วเธอก็อนุญาตให้เรานำมาลงบล๊อคเราเลยมาเล่าให้ฟัง เล่าเรื่องของเรากับเธอก่อนดีกว่า

เรากับน้องเจอกันตอนเริ่มเรียนภาษาสวีเดนตอนแรกอยู่ห้องใกล้ๆกันแต่ก็ไม่เคยคุยกัน เราไม่มีเพื่อนที่เป็นคนไทยเลยในตอนนั้น แล้วห้องที่เราเรียนก็ไม่มีคนไทย เราก็ใช้แต่ภาษาอังกฤษคุยกับเพื่อน วันหนึ่งมีพี่คนไทยคนหนึ่งบอกน้องว่าเราเป็นคนไทย แล้วน้องก็มาคุยกับเรา จากนั้นเป็นการสอบเลื่อนชั้น เราก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน คุยกันไปคุยกันมาน้องชวนไปเที่ยวบ้าน เราจำได้เลยว่าอาหารที่เราสองคนกินด้วยกันครั้งแรกคือราดหน้า ยิ่งคุยก็ยิ่งสนิทกัน เราก็ยังสนิทกันมาจนถึงทุกวันนี้น้องคือเพื่อนซี้ที่สุดของเรา ตอนน้องมาใหม่ๆด้วยความที่แฟนของเธอกลัวเธอจะไม่มีเพื่อนคนไทยพูดคุยด้วย เวลาไปซื้อของที่ร้านไทยก็เลยแจกเบอร์น้องไปทั่ว น้องก็มาเล่าให้ฟัง เราก็บอกว่าเฮ่ยไม่ดีมั้ง น้องก็บอกว่าคิดเหมือนเราแต่ไม่รู้จะบอกแฟนยังไง เลยกลายเป็นเรื่องแรกที่จะเล่าให้ฟัง

มีผู้หญิงคนนึงโทรหาน้องบอกว่าเธอชื่อกาญ แล้วเธอก็เล่าให้น้องฟังว่าสาวคิวบาคนหนึ่งที่เรียนห้องเดียวกับพวกเราแย่งสามีเธอ!!!!!! อยากให้น้องช่วยหน่อย น้องก็งงว่าเธอจะช่วยไรได้เราก็งง เราก็เลยไปคุยกับเพื่อนคนนี้กันได้ความว่าผู้หญิงไทยคนนี้ต่างหากที่จะพยายามแย่งแฟนเธอ!!! เธอบอกว่าเธอคบกับแฟนมา10ปีแล้วกว่าจะตกลงปลงใจมาอยู่ที่นี่กับเขา แฟนเธอจ้างผู้หญิงไทยคนนี้มาทำความสะอาดบ้าน แล้วจากนั้นเธอก็พยายามทำทุกวิถีทางให้ผู้ชายคนนี้เป็นของเธอ ตอนแรกผู้ชายก็เผลอไปแต่ตอนนี้เขาเลือกแล้วแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมเลิก ตามไปเฝ้าหน้าบ้านแล้วตอนนี้ก็มารังควาญเธออีก แต่เธอยังหาหลักฐานไปบอกผู้ชายไม่ได้แต่จะเอาเรื่องนี้แหละไปบอกแฟนเขา พอผู้ชายไปถามผู้หญิงคนนี้เธอบอกหน้าตาเฉยว่าไม่รู้จักน้อง น้องเลยบอกว่าจะให้หนูเอาเบอร์ที่พี่โทรหาหนูให้เขาดูไหม เรื่องนี้ก็จบลงแค่นี้เพราะเธอรู้แล้วว่าน้องไม่ได้ช่วยเธอ น้องไปถามแฟนว่าเป็นไงล่ะ แจกเบอร์ฉันไปทั่วเข็ดไหม

พอหน้าร้อนน้องได้งานโรงงานซึ่งมีคนงานส่วนใหญ่เป็นคนไทย ตะวันออกกลางและบอสเนีย คราวนี้เลยไปกันใหญ่ แรกๆน้องก็ดีกับทุกคนแต่วันหนึ่งน้องก็ได้รู้ว่าเธอโดนแทงข้างหลังมาตลอด ครั้งหนึ่งน้องเดินไปได้ยินคนไทยคนหนึ่งเรียกเธอว่า"อีดำ"(ถึงตรงนี้ไม่ต้องบอกก็ได้ใช่มั้ยว่าน้องเป็นคนผิวคล้ำ) น้องเลยเดินเข้าไปถามผู้หญิงคนนั้นว่า "พี่จะโกรธไหมถ้ามีคนเรียกพี่ว่า "อีเตี้ย" ตั้งแต่นั้นน้องก็ไม่คุยกับเธออีก (คนนี้เราจำชื่อไม่ได้)

อรชวนน้องไปเที่ยวเทคน้องก็หนีบเอาเราไปด้วย แล้วพวกเราก็ได้รู้เมื่อไปถึงที่นั่นว่าเธอเอาพวกเราไปบังหน้าเพราะเธอนัดกิ๊ก ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ด้วยกันเรียบร้อยแล้ว (อยากจะใช้คำที่ขึ้นต้น ช. มากกว่าเพราะตอนนั้นเธอก็ยังไม่ได้เลิกกับแฟนคนที่เป็นพ่อของลูก) แล้วเธอก็ไปสนุกกับเขาปล่อยเราทิ้งกันไว้สองคน เราก็เป็นไม้กันหมาให้น้องมีครั้งหนึ่งเดินไปห้องน้ำเดินๆอยู่มีผู้ชายจับแขนของน้องเราเลยพูดใส่มันไปว่า "what the f*ck are you doing?" มันเลยปล่อยแล้วเราก็เดินจากไป สักห้าทุ่มเราก็กลับบ้านกันเพราะมันไม่สนุกอย่างแรง วันรุ่งขึ้นน้องก็ไปทำงานตามปกติ เธอคนนั้นไปบอกคนที่โรงงานว่าน้องเต้นกระจายกับผู้ชายไปทั่วทิ้งเธอไว้ที่โต๊ะ พอน้องรู้เรื่องเลยเข้าไปถามเธอว่าทำไมไม่พูดเรื่องจริงแกต่างหาก ที่ทิ้งให้เรานั่งกับเพื่อนแล้วแกก็ไปกับกิ๊กแก ทำไมต้องพูดเอาดีเข้าตัวพยานก็มี เธอก็อ้ำอึ้งเพราะไม่คิดว่าน้องจะกล้า

คนต่อมาก็พี่ศรีคนนี้แรกๆก็มาดีนะ หลังๆเธอขอไปบ้านของน้องหนักๆเข้าเอากิ๊กไปด้วยค่ะ!!!!!!!!!!! มันกลายเป็นเรื่องยุ่งเพราะกิ๊ก(ฮุสเซน คนนี้มีเรื่องเล่าต่ออีกนะคะ))ของเธอนั้นมีเมียอยู่แล้ว แล้วคนที่อยู่ข้างๆอพาร์ทเม้นต์น้องดันเป็นเพื่อนของเมียเขา!!!!!!!!! ด้วยความหวังดีของเพื่อน เขาก็โทรไปบอกเมียของผู้ชายคนนี้ค่ะ เมียของเขาเลยมาเคาะห้องพี่ศรีกับฮุสเซนไปหาที่หลบค่ะปล่อยให้น้องรับหน้าเมียของผู้ชายคนนี้คนเดียว น้องก็ไม่รู้จะทำไงเลยโทรหาเรา
น้อง - เฮ้ยกูเองนะ (เล่าทุกอย่างให้ฟัง) กูจะทำไงดีวะ
เรา - มึงไปเปิดประตูนะแต่ ไม่ต้องวางหูกูจะได้รู้ว่าเกิดไรขึ้นถ้ามีไรกูจะได้แจ้งตำรวจทัน
-น้องเปิดประตู ผู้หญิงคนนั้นพูดกับน้องเป็นภาษาสวีดิชน้องบอกว่าเธอพูดไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นเลย เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ-
เมียของฮุสเซน - ผัวฉันไปไหนแล้วเธอเป็นอะไรกับเขา
น้อง - เขาออกไปแล้ว เขาเป็นเพื่อนร่วมงานกับฉัน
เมียของฮุสเซน - แล้วเขามาที่นี่ทำไม มานานไหม
น้อง - ก็มาเที่ยวบ้านฉันเฉยๆพอแฟนฉันออกไปเขาก็มา (มาถึงตรงนี้เราคิดในใจไอ้น้องอีบ้า พูดแบบนี้เป็นกูก็นึกว่ามึงเป็นชู้กันวะ)
เมียของฮุสเซน - แล้วผัวเธอไปไหน แล้วทำไมมาเปิดประตูช้าจัง
น้อง - เขาไปทำงาน ก็ฉันไม่รู้จะทำไงนี่คนไม่รู้จักมาเคาะประตูแบบนี้ฉันเลยโทรไปปรึกษาเพื่อนว่าทำไงดี เนี่ยเขาก็อยู่ในโทรศัพท์ (เรานึกเอาอีกแล้วอีบ้า ไปบอกเขาทำไมว่ากูอยู่ในสาย)
*หมายเหตุเราได้แปลบทสนทนาจากอังกฤษเป็นไทย*
สรุปน้องเลยต้องวาง หลังจากนั้นพอผู้หญิงคนนั้นกลับไปน้องก็บอกให้พี่ศรีกับฮุสเซนกลับบ้านแล้วก็โทรมาหาเรา เล่าให้ฟังว่าหลังจากวางไปก็คุยกับเมียเขาดีๆเลยได้รู้ว่านี่ก็ไม่ใข่ครั้งแรกที่เขาคิดว่าผู้ชายทำแบบนี้ แล้วก็ขอโทษเอแล้วก็กลับไป เราก็ว่าน้องไปเรื่งที่เราได้ยินในโทรศัพท์ น้องบอกว่าหลังจากนั้นพี่ศรีกับน้องก็ห่างๆกันไปคือเจอหน้าก็ทักกันแค่นั้น

ถ้าคิดว่าเรื่องข้างบนเป็นเรื่องหนักแล้ว ขอบอกว่ามันเทียบไม่ได้กับคนต่อไปที่เราจะเล่าค่ะ คนๆนี้ชื่อศร ก็แก่กว่าพวกเราหลายปีอยู่อายุคงประมาณ40กว่า50กว่า แรกๆน้องก็เรียกเธอว่าพี่ศรค่ะแต่ ณ ปัจจุบันความนับถือได้หายไปหมดแล้ว ศรนี่รู้จักกับแฟนของน้องมาก่อนน้องอีกเพราะสามีของเธอกับแฟนของน้องเป็นเพื่อนกัน ต่อหน้าน้องก็ดีแต่ลับหลังไปพูดเอาว่าน้องน่ะมาแย่งแฟนคนนี้ไปจากลูกสาวเธอ ทั้งๆที่น้องไม่รู้เรื่องลูกสาวเธอด้วยซ้ำ น้องก็เลยไปบอกแฟนเธอว่าศรพูดแบบนี้ แฟนน้องเลยเล่าให้ฟังว่า ศรพยายามจะเสนอลูกของเธอ(ที่เมืองไทย)ให้กับแฟนของน้อง ตอนแฟนน้องไปเมืองไทย ลูกของศรก็มาหาแต่แฟนน้องบอกว่าไม่เอาหรอกพูดกันไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษเขาก็พูดไม่ได้ แต่ถ้าศรอยากให้ลูกเธอมาหาสามีที่นี่เขาก็จะทำเรื่องรับรองให้แต่ให้ไปอยู่กับศรไม่ได้อยู่กับเขา แต่....................แฟนน้องดันไปเจอน้องเข้าน่ะสิ เป็นใครก็ต้องเอาแฟนตัวเองมาจริงไหมเรื่องอะไรจะไปเอาลูกของเมียเพื่อนมาเล่า ตั้งแต่นั้นศรก็คงแค้นน้องมั้งคะ แอบแทงข้างหลังมาตลอด แต่น้องไม่รู้เพราะต่อหน้าเขาพูดดี ลับหลังเขาไปพูดว่า "อีดำนี่มันแย่งผัวลูกกู" (จะเป็นผัวได้ไงอ่ะ อย่าว่าแต่นอนด้วยเลย ถูกเนื้อต้องตัวกันก็ยังไม่เคย ลูกเธอก็ไม่ได้ชอบแฟนน้องด้วยซ้ำ) วันหนึ่งน้องก็รู้เข้า น้องเสียใจมากเพราะเธอนับถือศรเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เธอเคารพที่นี่ เรื่องที่น้อง(รวมถึงเราด้วย)รับไม่ได้ที่สุดคือตอนที่น้องท้อง เขาไปพูดกับแฟนของน้องว่า "เนี่ยลูกในท้องน่ะมันไม่ใช่ลูกเธอหรอก มันมีชู้ มันเป็นลูกชู้" เราเลยฝากน้องไปบอกแฟนของเธอว่าถ้าน้องไม่ได้ท้องกับเขาก็หมายความว่าน้องท้องกับเรา เพราะเราเป็นคนเดียวที่ไปค้างที่บ้านเขาตอนที่เขาไปทำงานแล้วไม่ได้กลับบ้าน ไม่มีคนอื่นอีก ตอนนี้สำหรับผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกรรมตามทันมั้งคะ เธอเอาหลานมาหาสามีที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกสามีของเธอแล้วก็แอบไปซื้ออพาร์ทเม้นต์ไว้ จากนั้นก็ขอแยกทางกับสามี เขาก็แยกกันหลังจากนั้น แฟนของหลานคนที่หาได้ตอนได้วีซ่าท่องเที่ยวนั้น เขาขอเลิกกับหลานของเธอแล้วหลานของเธอก็ยังไม่มีวีซ่าถาวรค่ะ หลานก็ต้องย้ายมาอยู่กับเธอค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมดก็ตกอยู่ที่เธอคนเดียว เธอเลยไปขอคืนดีกับสามีค่ะ แต่สามีเธอคงเข็ดเพราะคำตอบที่เธอได้รับนั้นคือคำว่า"ไม่" เธอก็ถามสามีว่ายังไม่ต้องเซ็นต์ใบหย่าได้มั้ย ด้วยหวังว่าพอเธออยู่ครบสามปีแล้วเธอจะได้ขอสัญชาติได้ (ที่นี่ถ้าจดทะเบียนกับคนสัญชาติสวีเดนแค่สามปีเราก็ขอสัญชาติได้แล้วค่ะ แต่ถ้าไม่ได้จดทะเบียนก็5ปี) จะได้ทำเรื่องให้หลานอยู่ต่อได้ อันนี้อดีตสามีเธอเล่าให้ฟัง เขาบอกว่าเขาเซ็นไปแล้วเรื่องของเขาจบลงแล้ว ถึงเขาจะแก่เขาก็ไม่ได้โง่

อันสุดท้ายเป็นเรื่องของฮุสเซนนี่แหละค่ะ ตอนนั้นน้องท้องอ่อนๆอีตานี่ก็ไปได้เบอร์น้องมา(คาดว่าจากคนที่โรงงาน) แล้วโทรมาหาน้องโทรบ่อยๆเข้าน้องก็กลัวเลยไม่รับโทรศัพท์เพราะโทรมาแต่ละที ก็ถามแต่ว่ามาบ้านเธอได้มั้ย แฟนเธออยู่มั้ย ประมาณนี้พอไม่รับโทรศัพท์ เขาก็ส่งsmsมาค่ะ เราจะยกตัวอย่างอันที่เราจำได้ให้ " why dont you pcik up the phone b!tch? I will be in front of your door in 5 minutes!" อีกอันที่จำได้แม่นมากๆคือ "im coing to you now and i will f*ck you!" แรกๆน้องก็เฉยๆแต่หลังๆมันมาเยอะมากเลยโทรหาเรา เราเลยบอกว่าไม่ต้องลบเก็บไว้เป็นหลักฐาน เราก็บอกว่าเออเดี๋ยวไปค้างด้วย บอกแฟนว่าน้องป่วยขอไปค้างกับน้อง (ตอนนั้นน้องขอร้องไว้ว่าอย่าเพิ่งบอกใคร) คืนนั้นเราสองคนกินข้าวกันท่ามกลางแสงเทียนค่ะ คือปิดไฟหมดบ้านกลัวมันมาจริงๆ น้องก็ยังไม่กล้าบอกแฟนของเธอเหมือนกัน(ตอนนี้เราสองคนคิดว่าเฮ้ยแล้วเรากลัวไรกันวะตอนนั้น) ก็เกือบๆอาทิตย์เลยปรึกษากับแฟนเรา เขาบอกว่าบอกแฟนเธอไปเลยนะ อย่างนี้ต้องแจ้งตำรวจยังไงก็ต้องบอกแฟนเธอ ถ้าเขาไม่อยู่บ้านแล้วมันมาจริงๆเธอบอกตำรวจแล้วโทรหาฉัน ฉันจะรีบไป เราเลยบอกแฟนน้องกันค่ะ จำได้ว่าเขากลับบ้านมาตอนตี5 คืนนั้นเราค้างบ้านน้องด้วย พอเขามาก็นั่งคุยกันสามคนว่าเกิดอะไรขึ้น แฟนของน้องเลยโทรไปที่เบอร์ของไอ้ฮุสเซนตอนแรกมันคงนึกว่าเป็นน้องมั้งรีบรับเลยอ่ะ แฟนน้องเลยพูดไปว่าฉันเป็นแฟนของน้องนะฉันรู้เรื่องหมดแล้วเลิกยุ่งกับเขาได้แล้ว มันก็บอกไม่รู้เรื่องๆๆๆๆๆไม่รู้จักๆๆๆๆๆแล้วมันก็วางหูแล้วปิดเครื่องไปค่ะ วันรุ่งขึ้นเราก็ไปแจ้งตำรวจกัน แต่ก่อนหน้านั้นเราไปที่โรงงานกันก่อนค่ะ(มันทำงานอยู่โรงงานที่น้องเคยทำตอนหน้าร้อน) ตอนแรกเรากับน้องก็ไม่เข้าใจว่าไปทำไมวะ แต่วันนั้นดันเป็นวันหยุดของมัน แฟนน้องเลยแจ้งหัวหน้าของมันว่าเกิดไรขึ้น รวมถึงเพื่อนร่วมงานของมันตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อพวกเราเลยเอาโทรศัพท์ให้เขาดูแล้วเขาก็เทียบเบอร์กันมันก็เป็นเบอร์ของมันจริงๆ แค่นี้แหละค่ะเราก็ไปแจ้งตำรวจกัน ตอนขึ้นรถแฟนของน้องพูดกับพวกเราว่า ใครที่ทำให้น้องเสียใจ เขาจะไม่ปล่อยมันไปง่ายๆแค่นี้คนที่โรงงานก็คงเกลียดมันกันหมดแล้ว(ไซโคมากค่ะ) แล้วถ้าใครทำให้น้องเจ็บมันผู้นั้นจะต้องเจ็บกว่าอีกหลายเท่า ซึ่งเราเชื่อว่าเขาทำจริงๆ วันหนึ่งคุยกันแล้วเขาเอามือมาตบบ่าเรา มือเขาใหญ่มากเลยอ่ะใหญ่จนเราคิดว่าถ้ามือเขามาตบเรานะตายแน่กู อ้อพอเราไปแจ้งตำรวจ เราก็เลยได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันทำแบบนี้กับผู้หญิง มันเคยทำมาก่อนหน้านี้แล้วสองครั้ง พอเราแจ้งตำรวจไปมันก็เลิกมารังควาญเราค่ะ

แฟนน้องเคยบอกน้องว่า น้องโชคดีมากที่รู้จักกับเราแล้วเขาก็ไม่เคยคิดด้วยว่าเราจะช่วยน้องในเรื่องต่างๆมากมายขนาดนี้ แต่เราก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเราคิดว่าน้องเป็นเพื่อนสนิท มีอะไรที่ช่วยเพื่อนได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเราก็ยินดีข่วย แล้วเราเองก็โชคดีเหมือนกันที่ได้รู้จักน้องไม่งั้นเราคงไม่มีใครเลยที่นี่นอกจากแฟนของเรา มีอะไรหลายๆอย่างที่บางครั้งเราพูดกับแฟนไม่ได้ (เวลาทะเลาะกัน)ก็ได้น้องนี่แหละ เราสองคนสนิทกันมากจนมีคนเอาไปนินทาว่าเป็นเลสเบี้ยน (ว่าไปโน่น) เพราะเราอยู่กันแค่สองคน (ตอนนี้มีเมย์มาร่วมก๊วนอีกคน) เราพอใจกลุ่มของเราเพราะพวกเรารู้ว่า "มากคนก็มากความ" เป็นความจริง

อ้อเรื่องที่เราเขียนนี้เป็นเรื่องจริง ที่เรากล้าเอ่ยชื่อของพวกเขาเพราะเราไม่กลัว ถ้าใครที่รู้จักคนพวกนี้มาอ่านแล้วไปบอกเขา ถ้าเขาอยากดำเนินการตามกฏหมาย แจ้งข้อหาหมิ่นประมาทหรืออะไรก็ตามใจ เราไม่แคร์ เพราะทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง ทุกอย่างที่เราเล่าได้เกิดขึ้นกับน้อง เพราะฉะนั้นเรามีทั้งพยานทั้งหลักฐาน เราไม่ได้ท้านะคะ แต่เราก็ไม่อยากให้ใครมาขู่ เราไม่ชอบ

บล๊อคอันนี้เป็นอันที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนเลยนะนี่



Create Date : 28 มกราคม 2551
Last Update : 28 มกราคม 2551 13:41:06 น. 2 comments
Counter : 472 Pageviews.

 
อ่านแล้วก็ทำให้ไม่อยากไว้ใจคนไทยในต่างแดนเลยค่ะ
แล้วก็แอบดีใจแทนคุณน้องด้วย ที่มีเพื่อนดีๆที่จริงใจแบบคุณ จขบ.
แอบเห็นด้วยค่ะว่า การมีเพื่อนที่ดีแค่คนเดียว
มันดีกว่าการที่มีเพื่อนเป็นสิบเป็นร้อย แต่ไม่จริงใจเลยซักคน


โดย: Complicatedgirl วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:31:04 น.  

 
อยากมีเพื่อนแบบคุณจัง
เราเคยโหยหาอยากมีเพื่อนเมื่อตอนมาอยู่ต่างแดนใหม่ๆ พอได้มีเพื่อนสมใจ มันกลับมีแต่ความวุ่นวายไม่จริงใจ


โดย: ich habe kein Geld วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:16:01:56 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

mary_poppins
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add mary_poppins's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.