Czech 2012: วีซ่า การเดินทางอันแสนยาวนานและ Yotel ที่สนามบิน Schiphol
เมษาปี 2012 เรามีแผนเดินทางไปประเทศเชค มันมาจากการที่ใคร ๆ ก็พร่ำบอกกรอกใส่หูอิฉันว่าปรากอ่ะ สวยงามหยดย้อย งามยังกะอยู่บนสวรรค์ แถมราคาไม่แพง ใครไปแล้วก็จะต้องอยากไปอีก อิฉันกะอาเฮียก็เลยว่า เอาวะ ปีนี้เราไปเชคกันเหอะ.. จึงลางานทั้งสิ้น 3 วัน เมื่อรวมกับการให้หยุดงานช่วงสงกรานต์อย่างใจป้ำของบริษัทอีก 10 วัน ก็จะได้วันเที่ยวเกือบ ๆ 2 อาทิตย์ ก็น่าจะพอเนอะ.. อิฉันไปขอวีซ่าประเทศเชคในซอยร่วมฤดี ตั้งกะเดือนกุมภา การขอวีซ่าของประเทศนี้ ประหลาด ๆ ยังไงก็ไม่รู้ฮ่ะ วีซ่าของเชค เป็นวีซ่าเชงเกน การเตรียมเอกสารก็ออกจะคล้าย ๆ การขอวีซ่าเชงเกนของประเทศอื่น เช่น ต้องมีพาสปอร์ตเหลืออายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ทะเบียนสมรส หลักฐานทางการเงิน หลักฐานการทำงาน รูปถ่าย หลักฐานการเดินทาง หลักฐานที่พัก ประกันการเดินทาง รูปถ่าย อิฉันก็เตรียมเอกสารทั้งหมดที่ควรจะเตรียม จองคิวไปยื่น พอถึงวันนัด ก็ไปยืนโต๋เต๋รอคิวตัวเอง.. การขอวีซ่าเชคนี่เค้ายังยื่นกันที่สถานทูตฮ่ะ ไม่ได้จ้าง Outsource ใด ๆ ให้มาทำให้ อาจจะเนื่องมาจากนักท่องเที่ยวที่มาขอยังมีจำนวนไม่ค่อยเยอะมาก เจ้าหน้าที่สถานทูตยังคงชิลล์ ๆ กับปริมาณคนมาขอ สถานทูตเค้าเล็ก ๆ ขนาดย่อม เหมือนตึกแถวแค่ 2-3 คูหา อยู่ในซอยร่วมฤดี2 เวลารอคิวขอวีซ่าก็ต่อแถวยืนรอมันข้างถนนนั่นแหละ ไม่มีที่หลบแดดหลบฝนอันใด (อ้อ.. มีร้านขายอาหารตามสั่งข้าง ๆ ที่มีที่นั่งให้ แต่เค้าเขียนป้ายแปะไว้ชัดเจนว่า ถ้าจะนั่งให้สั่งของมากินด้วย ) ในห้องขอวีซ่า เป็นห้องขนาดเล็กจิ๋ว สามารถเข้าไปได้ทีละ 3 คนเท่านั้น ดังนั้น ในกลุ่ม 3 คนนี้ก็จะทราบสถานะการขอของอีก 2 คนที่เหลืออย่างชัดเจน ว่า อิ 2 คนเนี่ยขาดเอกสารอะไร เถียงกะเจ้าหน้าที่เรื่องอะไรกันมั่ง อิฉันเข้าไปพร้อมกะคุณพี่ผู้หญิงคนสวยคนหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวเกือบทั่วโลกแล้ว เธอทำงานด้านการเงินอยู่แถว ๆ ถนนวิทยุนั่นแหละ กับคุณลุงคนหนึ่งที่ภรรยาอยู่อังกฤษ คุณลุงคนนี้แกมีบ้านอยู่อังกฤษด้วย ก็จะบินไปหาภรรยาที่อังกฤษก่อนแล้วค่อยบินไปเที่ยวเชคด้วยกัน เรื่องทั้งหมดอิฉันรู้ได้ไงรึ ก็แหม.. ยืนรอกันยาวนาน ก็เม้าส์มอยกันจนจะรู้จักกันหมดแล้ว สรุปว่าอีก 2 คนที่เข้าไปกะอิฉัน เป็นผู้ที่เดินทางเป็นว่าเล่น ยังไงก็ไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ ที่น่ากลัวก็มีอิฉันเนี่ยแหละ หญิงไทย ยื่นวีซ่าคนเดียว พอเข้าไปถึง คุณลุงยื่นก่อน.. โดนให้มาเตรียมเอกสารใหม่ สิ่งที่คุณลุงขาดคือ จดหมายตอบรับเรื่องที่พัก "ที่มีลายเซ็นต์ยืนยันจากโรงแรม" มันอะไรกันเฟ้ย.. อิฉันมองหน้ากะคุณพี่สาวคนสวย.. ใครจะไปมีอะไรอย่างงั้นฟระ.. สมัยนี้เค้าจองกันทางเน็ตกันหมดแล้ว อิฉันไม่มีกระทั่ง confirmation letter จากโรงแรม ตังค์ก็ยังไม่ได้โอน มีแต่ email คุยกันไปคุยกันมาว่าจะไปพักกันวันโน้นวันนี้นะ อิฉันบ่นว่าแย่แน่ตรู ได้มาขอวีซ่าอีกรอบแหง คุณพี่สาวคนสวยบอก ของพี่ยังดี พี่ยังมี confirmation letter บางโรงแรม (เพราะคุณพี่เค้าขับรถรอบยุโรป ไปหลายประเทศ จึงมีมั่ง ไม่มีมั่ง) คุณลุงพยายามเถียงสุดฤทธิ์ บอกไม่เคยเจออ่ะ แกไม่มีข้อมูลด้วย เมียแกอยู่อังกฤษเป็นคนจองให้ แต่ก็ไม่เป็นผลฮ่ะ แกออกมายืนหน้าเหี่ยว รอพวกเรา ต่อมาคิวอิฉัน.. อิฉันบอกไม่มี confirmation letter นะ พัก Bed & Breakfast ตังค์ก็ยังไม่ได้จ่าย มีแต่ email คุยกัน.. เจ๊แกมองเอกสาร ขีด ๆ highlight ที่ email แล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องอื่น Case อิฉันจบไปอย่างรวดเร็ว ไม่โดนเรียกเอกสารอะไรเพิ่ม ก็เดินเป๋ออกมาอย่างงวยงง.. ทำไมผ่านฟระ.. เตรียมจะหักมุมตอนจบหรือเปล่า มองหน้าคุณพี่คนสวยอีกที.. งงกันทั้งคู่.. ต่อมา คิวคุณพี่.. เธอโดนขอเอกสารจดหมายตอบรับเรื่องที่พัก "ที่มีลายเซ็นต์ยืนยันจากโรงแรม" ค่ะ เธอกรี๊ดแตก วี๊ดสลบ ว่าทำไมเธอโดนวะคะ เถียงกันอยู่ยาวนาน ว่าไม่เค๊ย ไม่เคยเจอ เธอจองที่พักผ่าน booking.com มันตัดเงินไปหมดแล้ว ยังจะมาเอาลายเซ็นต์อะไรอีก เถียงยังไงก็ไม่เป็นผลฮ่ะ รู้สึกเธอต้องกลับไปขอเอกสารจากโรงแรมมาให้ได้นั่นแหละ งง ๆ กับระบบของสถานทูตพอควร ไม่รู้ทำไม case อิฉันถึงผ่าน ลายเซ็นต์อะไรไม่มีกะเค้า หลังจากนั้น อีก 1 อาทิตย์ อิฉันก็ได้ Single วีซ่ามาโดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ได้พอดีวันเป๊ะ ขอไป 13 วัน ได้มา 13 วันไม่ขาดไม่เกิน (จะหวงไปถึงไหนฟระ) **************************************************************** เรื่องวีซ่า ของอิฉันถือว่าผ่านไปได้แต่โดยดี แต่อิทริปเนี๊ย ไม่รู้เป็นไง ปัญหามันทยอยตาม ๆ มาเลย.. เริ่มจาก KLM ที่อิฉันจะบิน เจือกอยู่ ๆ ก็เปลี่ยน Flight เดิมเราจะบิน กรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัม รอ 2 ชั่วโมง แล้วบินต่อไปปราก ปรากฎว่า KLM ดั๊นเปลี่ยน flight ให้บินเร็วขึ้นมาก ทำให้ไม่มี flight ที่ต่อกันใกล้ๆ เราต้องไปที่อัมสเตอร์ดัมแล้วรอ 12 ชั่วโมง ก่อนที่จะบินต่อไปปราก ตอน 7 โมงเช้า 12 ชั่วโมง Transit.. เราขี้เกียจเปลี่ยนสายการบิน ยุ่งยากเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ตัดบัตรไปแล้ว เราจึงคิดว่าก็ได้ฟระ งั้น 12 ชั่วโมงนี้ เราไปเดินเล่นริมคลอง สูดกลิ่นกัญชาในอัมสเตอร์ดัมดีก่า เมื่อปีที่แล้วเราเพิ่งไปกันมา ยังติดใจอัมสเตอร์ดัมอยู่มาก ไปเดินเล่นซะหน่อย ไม่เสียหาย ก็เลยจองที่พัก ที่ Yotel ซึ่งเป็นโรงแรมเล็ก ๆ (เล็กซะเกือบเหมือนแคปซูลโฮเต็ลของญี่ปุ่นเลยอ่ะ) ไว้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหยียดแข้งเหยียดขาซะหน่อย.. Yotel มันอยู่ใน Terminal 2 ของสนามบิน Schiphol เลย อิฉันได้บอกแผนการนี้ไปกับสถานทูตตอนที่ขอวีซ่าด้วย.. ก็คิด(ไปเอง)ว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ทั้งฮอลแลนด์และเชค อยู่ในเชงเก้นทั้งคู่ การเข้าออกประหนึ่งว่าอยู่ในประเทศเดียวกัน แต่ก็ไม่รู้ยังไง เสียว ๆ ว่ามันน่าจะมีอะไรซักอย่าง ถึงกับมาตั้งทู้ใน pantip ว่าจะมีปัญหาอะไรไหม //webcache.googleusercontent.com/search?q=cache://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11894233/E11894233.html ทุกท่านก็เข้าใจเหมือนอิฉันอ่ะค่ะ ว่า No problem ชัวส์ วีซ่า 1 อัน เข้าเชงเกนโซนได้สบายไม่มีปัญหา.. แต่มันมีค่ะ ท่านผู้ช๊มมมม.. เนื่องจาก เรื่องนี้ค้างคาใจอิฉันกะอาเฮียมาก เมื่อมาถึง Schiphol ที่อัมสเตอร์ดัม เราจึงยังไม่ออกจากสนามบิน แต่พุ่งตรงไปที่ Immigration เพื่อสอบถาม Immigration ตอบว่า ไม่ได้คับท่าน ปัญหาครืออิ Yotel เนี่ยแหละ มันอยู่ที่ Terminal 2 ซึ่งอยู่ที่ Air Zone มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไหน หากอิฉันก้าวเท้าออกไปเหยียบอัมสเตอร์ดัมแล้ว และกลับมาพักที่ Yotel จะเปรียบเสมือนอิฉันก้าวเท้าออกจากเชงเก้นไปแล้ว ซิงเกิ้ลวีซ่าของอิฉันจะหมดไปในทันที ดังนั้น ขอแนะนำให้ไปพักในเมืองซะ หากอิฉันไปพักในเมือง แล้วตอนเช้าก็กลับมาสนามบินเพื่อเดินทางไปเชคซึ่งอยู่ในเชงเก้นเช่นกัน ก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ อยากจะกรีดร้องงงงงงงให้โหยหวน ดังนั้น เราจึงตัดใจจากอัมสเตอร์ดัมซะ ตัดสินใจนอนเลื้อยมันอยู่ที่โรงแรมอ่ะค่ะ ซึ่งจริงๆ มันก็สะดวกไม่เบา มีร้านอาหาร ร้านค้าให้ช็อปปิ้งมากมาย เดินแค่ 3 นาทีก็ไปเช็คอินขึ้นเครื่องไปเชคได้เลย อ่ะ.. อิฉันรีวิว Yotel ให้ดูหน่อยละกัน.. ทางเข้า.. อยู่ติดกับ Food court เลยค่ะ
เมื่อเข้าไปจะเจอเตียงพับครึ่งอยู่.. เตียงมันก็นุ่ม นอนสบายดีล่ะนะ ปลายเตียงจะมีทีวีจอแบน (ที่เราเปิดไม่เป็น) ที่นั่งแบบพับได้ ที่วางของ และปลั๊กหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับนักเดินทางจากทั่วโลกจริงๆ รางปลั๊ก ที่ปรับเตียง ปรับอุณหภูมิ ปรับไฟ อยู่ที่แผงข้างเตียงทั้งหมด เมื่อปรับเตียงแล้ว ก็นอนได้ยาว ห้องน้ำ (มีให้แค่สบู่เหลว ไม่มีแปรง ยาสีฟัน แชมพูให้นะคะ ต้องซื้อเอาตรงที่เช็คอิน ) โอ้วว..ในภาพสะท้อน มีภาพอาเฮียนั่งกุมขมับอยู่ เนื่องจากเครียดที่ออกไปอัมสเตอร์ดัมไม่ได้ (กับอิฉัน ซึ่งยังคงลั้ลลา ถ่ายรูปไม่รู้สึกรู้สาอันใด) ที่อาบน้ำเป็นฝักบัว.. ก็ OK น้ำแรงดี แต่ขัดใจอิฉันอยู่อย่าง.. ห้องน้ำตามโรงแรมสมัยนี้ ชอบทำเป็นกระจกใส แล้วมีม่านรูดปิดได้.. ที่นี่ก็เป็นอย่างนั้นค่ะ แต่.. ม่าน มันเจือกสั้นเกิน คือจากเพดานมันจะยาวลงมาถึงระดับเอว ซึ่งสั้นเกินไป มันจะมีช่องว่างประมาณ 1 คืบ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเวลาที่คนในห้องน้ำนั่งโถ จะต้องนั่งสบตากับคนที่อยู่นอกห้องน้ำ สงสัยจริง ๆ มันจะเว้นช่องว่างไว้ให้นั่งสบตากันทำไมวะคะ ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ประตูกระจกเลื่อน มันไม่สามารถเลื่อนปิดได้จนสุด เค้าออกแบบไว้แบบมีช่องว่าง (ให้ระบายกลิ่นละมัง) เรียกว่าถ้ามีใครซักคนนั่งอึ๊อยู่ อีกคนที่อยู่ด้านนอกจะได้รับอรรถรส ทั้งภาพ เสียงและกลิ่นค่ะ อิฉันอยากจะเห็นหน้าอิคนออกแบบจริงจริ๊ง โรงแรมนี้ดีมั๊ย... อืมมมม.. อิฉันถือว่าดีกว่าการนั่งขดอยู่บนที่นั่งชั้นประหยัดล่ะนะ ได้มีที่ยืดขา ที่อาบน้ำ นอนบนเตียงนุ่ม แถมอยู่ในสนามบิน ไม่ต้องรีบกระหืดกระหอบ แหกขี้ตาตื่นมาเช็คอินกลางดึก อันนี้แค่ลุกมาอาบน้ำแล้วเดินชิลล์ ๆ เช็คอินไปได้เลย ถือว่าดีกว่าไม่มีอ่ะค่ะ.. Next Blog >> //www.bloggang.com/mainblog.php?id=mangamania&month=28-04-2012&group=14&gblog=2
Create Date : 28 เมษายน 2555 |
Last Update : 1 พฤษภาคม 2555 16:34:35 น. |
|
1 comments
|
Counter : 7477 Pageviews. |
|
|
โดนเจ้าหน้าที่สถานฑูตเชค เหมือนกันจะเอาใบจองโรงแรมที่จ่ายเงินแล้ว เราหละงง เอกสารครบทุกอย่าง เงินในบัญชีก็มี 2 ล้าน ไม่ขาดอะไรสักอย่าง พูดจาก็ไม่ดีแย่จัง พิจารณาจากอะไรก็ไม่รู้