หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์
คนเยอะมากและร้อนมาก อิฉันเกือบ ๆ ลมใส่ละ จึงเดินออกมาระเบียงด้านหลัง จะมีภาพเขียนในเรื่องขุนช้างขุนแผนอยู่ตามระเบียงพร้อมประวัติต่าง ๆ สวยงามค่ะ
อิฉันอ่ะ ไม่เคยอ่านขุนช้างขุนแผนจนจบเรื่องหรอก เคยอ่านเป็นตอน ๆ ตามที่นักเรียนประถมจะถูกบังคับให้อ่าน เมื่อมายืนอ่านเรื่องราวบนผนังนี้ รู้สึกว่า สังคมสมัยนั้นออกจะโหดร้ายกะผู้หญิงยังไงไม่รู้
พลายแก้วชั่วร้ายนะ นางพิมหลับ ก็ย่องเข้าห้องนางสายทอง แถมมีเมียตั้ง 5 คน ทำไมนางพิมกลายเป็นคนโดนก่นด่า เป็นนางวันทองสองใจ ผิดตรงไหนวะคะ
ได้เวลาไปต่อ เราขับรถไปยังนาเฮียใช้ เรียกซะสนิทสนม
เฮียใช้เป็นใคร?
เฮียใช้เป็นคนจีนที่ล่องเรือมาทำมาหากินในเมืองไทย เดิมทำร้านกาแฟขายของชำและเมล็ดพันธุ์ข้าว ตอนนี้ลูกหลานตั้ง ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย เป็นพิพิธภัณฑ์ชาวนาขนาดย่อมๆ เก็บอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการทำนา และมีแปลงนาสาธิต มีวัวควายและทุกสิ่งอันที่เกี่ยวกับชาวนาให้ชม ค่าเข้าฟรีค่ะ และทำได้ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่ตอนนี้พวกเราหิวมาก รีบพุ่งเข้าไปในร้านกาแฟเฮียใช้กันก่อนเลย
ร้านตกแต่งน่ารักนะคะ มีเค้กมีกาแฟ
ซึ่งจริง ๆ ที่อิฉันมานั้น อิฉันตามรีวิวคนอื่นที่บอกกันว่าร้านนี้เสริฟกาแฟกันน่ารักมาก
เป็นเยี่ยงนี้
แต่ที่ได้มาจริง ๆ เป็นเยี่ยงนี้
เมื่อถามพนักงานเสริฟว่าทำไมเป็นงี้(ว๊อย) ก็ได้รับคำตอบว่าวันเสาร์-อาทิตย์ล้างกันไม่ทัน แต่ถ้าอยากได้แบบหลอดไฟ ให้บอกก่อน จะจัดให้ได้
โมโห
เครื่องดื่มรสชาติก็งั้น ๆ ไม่มีไรพิเศษ เสียอารมณ์มากมาย แต่การตกแต่งร้านน่ารักใช้ได้ มีวิวทุ่งนาเขียว ๆ ให้ดู
นั่งตากแอร์เย็น ๆ จนหายยัวะ ก็เริ่มหิว ที่นี่มีร้านอาหารด้วย แต่ไม่ติดแอร์ ความหิวมีมากกว่า จึงเดินข้ามฝั่งไปหาไรกิน
มีแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ข้าวไม่มีนะฮับ อาหารเสริฟมาในปิ่นโตน่ารัก กุ้ยช่ายเจ้านี้ก็อร่อยดี
เมื่ออิ่ม ก็เริ่มสนใจหาความรู้กันบ้าง เดินเข้าไปในศูนย์การเรียนรู้เฮียใช้ ที่นี่ดีเลิศประเสริฐศรี ใครมาสุพรรณอยากให้มาเยี่ยมชม
ในนั้นทำเป็นหมู่เรือนไทยเก็บสมบัติชาวนา และของใช้สมัยก่อนไว้มากมาย
มีเฮลิคอปเตอร์ด้วย
ขึ้นไปเดินบนบ้านบางหลังก็ขัดไว้เอี่ยมอ่อง ต้องถอดรองเท้า
ดีงามสามโลกฮ่ะที่นี่ อย่าได้พลาดเชียว
สุพรรณร้อนจริงร้อนจัง ก่อนที่เราจะหลอมละลาย เราตกลงจะเดินทางต่อไปยังบ้านควาย หรือหมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย ไหน ๆ มาถิ่นควายแล้วจะไม่ไปหมู่บ้านมันก็จะกระไรอยู่
ตะก่อนอิฉันกะอาเฮียมักจะคิดว่าเมืองกาญจน์เป็นจังหวัดที่ร้อนที่สุดในประเทศละ แต่ท่าทางจะสู้สุพรรณไม่ได้แฮะ พอบอกอย่างงี้กะคุณ(นัง)เทรนเนอร์ นางก็บอกทันทีว่า ตรูบอกแล้ววว
ขับรถต่อมาอีกพักนึง พี่เนพาเราหลงมาทางด้านหลังของบ้านควาย หาป้ายกันไม่เจอ เห็นแต่รูปปั้นควายและตายาย
พี่เนมันก็บอกอยู่ซ้ำ ๆ ว่าถึงแล้ว ถึงแล้ว แต่พวกเราหาป้ายกันไม่ยักกะเจอ ต้องถามทางชาวบ้านก็พบว่าเรามาเข้ากันทางด้านหลังซะนี่
ซึ่งถ้ามาด้านหน้าจะมาทางถนนใหญ่เลย จะเจอป้ายนี่
ค่าเข้าคนละ 30 บาท ซึ่งจริง ๆ ฝรั่งราคา 150 บาท แต่คนขายตั๋วคิดอาเฮียเท่าราคาคนไทย
มีบ่อใหญ่ ๆ ให้อาหารปลา อาหารเป็ดกัน
มีโซนควายอยู่กันเต็มลาน เต็มคอก และมีมุมที่เป็นลานแสดงด้วย แต่ช่วงที่เราไปไม่มีโชว์
น้องควายน่ารักมาก ตาหวานดูเชื่อง ๆ แต่เขาใหญ่เหลือเกิน
มีพนักงานเดินมาถามว่าอยากขี่ควายมั้ย ถ้าแต่งตัวทะมัดทะแมงหน่อยก็น่าขี่เหมือนกันนะ
เดินกันจนหมดแรง ได้เวลาย้ายไปตลาดหาของกินกันแล้ว จุดหมายถัดไปคือตลาดสามชุก
ที่นี่ของกินของช็อปเยอะ และราคาไม่แพง พ่อค้าแม่ค้าน่ารัก ไม่ดุร้ายข่มขู่ลูกค้าเหมือนตลาดหลาย ๆ ที่
ได้พัดมาราคา 15 บาท
หมวกสานน่ารักๆ ใบละ 19 บาทเท่านั้น
ของกุ๊กกิ๊กทำมือก็มี
ไปเจอร้านน้ำมะนาว ขวดละ 20 บาท ซื้อ 5 ขวดแถมมะนาว 4 ลูกด้วย
ปกติอิฉันไม่ชอบน้ำมะนาว เพราะมันเปรี้ยวเกิ๊นน ไม่ก็หวานเกิ๊นน แต่เจ้านี้ทำรสชาติได้กลมกล่อมมาก ไม่หวานไป และได้รสชาติน้ำมะนาวแท้ ๆ สด ๆ อร่อยมากค่ะ
ชอบตรงที่พยายามสร้างแบรนด์ด้วย เห็นมีทำเฟสและขยายตลาดด้วย ใครสนใจลองหาในเพสชื่อ อุดมมะนาว ได้
ร้านค้าของตลาดสามชุกจะเป็นร้านที่ตั้งกันตามบ้านสมัยเก่าตามตรอกซอกซอยอย่างนี้
เดินกันต่อไป
คุณนายแม่ของอิฉันที่ทำท่าจะหมดแรงเดินไม่ไหวตั้งแต่เช้า พอถึงตลาดสามชุกมีอาหารให้ช็อปปิ้ง คุณนายแม่เดินเหมือนมีนักวิ่งมาสิงร่าง
นางช็อปทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น เรียกว่าถ้าเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมา บ้านอิฉันก็ยังอยู่มีของกินได้อีกนาน
ไอ้นี่ของดี เห็ดเผาะ อิฉันเพิ่งเคยกินจากที่นี่แหละ โลละ 380 ซื้อไป 2 ขีด อร่อยดีจังฮ่ะ เสียดายน่าเอาไปซักกิโล
แม่ค้าคนนี้ขายแอสพารากัสด้วย หน่อไม้ฝรั่ง กำเบ้อเร่อ 20 บาทเท่านั้น
อิฉันเพิ่งมาทราบจากเทรนเนอร์ในภายหลังว่าแถว ๆ สุพรรณเค้าปลูกหน่อไม้ฝรั่งกันเป็นหมู่บ้านเลย นึกว่าผักนำเข้าซะอีก
ที่นี่ฮิตลูกชิ้นยักษ์มาก มันจะยักษ์ไปไหน
ได้ข้าวห่อใบบัวมาจากร้านนี้ด้วย อร่อยดีฮ่ะ
พวกเราหิวกันมาก แต่ก็ร้อนกันมากเช่นกัน เราจึงตกลงจะกลับเข้าเมืองไปหาร้านเย็นๆ กินกัน
มาเจอร้าน Loft
ร้านนี้อาหารอร่อย ราคาไม่แพง แนะนำค่ะ
เจ้ผู้ไม่กินมะม่วงสุก ก็ยังชอบบิงซูมะม่วงของที่นี่เลย
จบทริปสุพรรณบุรีใน 1 วันไปแบบหมดแรงและสนุกสนานอิ่มหนำกันไป สุพรรณก็มีที่เที่ยวนะคะ อิฉันก็ได้แต่หวังว่าถ้าอากาศมันเย็นกว่านี้หน่อยคงจะมาเดินกันได้สบายใจไปเลย