Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
11 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
เหม่ด่อยี นางพญาอาถรรพ์





"....รู้แก่ใจมิใช่หรือธรรมะที่สอนสั่งและเจ้าควรเรียนรู้นั้น ว่าท้ายแล้วตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีโชคลาภใดจะอุปถัมภ์เจ้าหากเจ้าไม่เคยทำความดี ไม่มีอาถรรพ์ใดปองร้ายเจ้าได้หากเจ้ามิเคยทำบาปกรรม....”

-จาก "เหม่ด่อยี นางพญาอาถรรพ์"



รายละเอียด
ชื่อเรื่อง : เหม่ด่อยี นางพญาอาถรรพ์
ผู้เขียน : มณีมัญชุ์
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์ไฟน์บุ๊ค
ISBN : 978-974-8284-10-1
จำนวนหน้า : 352 หน้า
ราคา : 199 บาท

อ่านเรื่องย่อได้ที่นี่ค่ะ
//www.fine-book.com/web/bookview.php?id=79

และสามารถทดลองอ่านได้จากที่นี่เลยค่ะ

ทดลองอ่าน


ตอนที่ 1

พฤกษ์รับเงินทอนขณะก้าวลงจากรถแท็กซี่ แสงแดดร้อนๆยามเที่ยงวันกระทบผิวกายจนแสบไปหมดต้องรีบเบี่ยงตัวไปใต้เงาของตึกสูงพร้อมควักซองจดหมายจ่าหน้าเป็นภาษาอังกฤษทั้งที่ประทับตราของประเทศไทยดึงกระดาษภายในมาอ่านทวนข้อความอีกครั้ง

ชายหนุ่มกวาดตามองป้ายสำนักงานกับข้อความในจดหมายอีกครั้งก่อนผลักประตูกระจกเข้าไป ประชาสัมพันธ์สาวที่กำลังยิ้มหวานให้เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งหันมาเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นถึงเขาพร้อมทำหน้าที่ทันที
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรคะ”

“ผมชื่อพฤกษ์ ศิริวงศาครับ” เขาแนะนำตัวพร้อมยื่นนามบัตรให้ “คุณเกียรติภูมิที่เป็นทนายของที่นี่ติดต่อให้ผมมาพบโดยเร็วที่สุดน่ะครับ”

หญิงสาวรับไปดูพร้อมพลิกๆอะไรบางอย่างอยู่หลังเคาท์เตอร์ก่อนเงยหน้ายิ้มหวานอีกครั้ง พร้อมผายมือไปทางประตูด้านซ้ายสุด
“คุณพฤกษ์นี่เองค่ะ เชิญทางนั้นเลยค่ะ คุณเกียรติภูมิบอกไว้แล้วว่าถ้าคุณมาถึงเมื่อไรให้ติดต่อได้ทันทีเลยค่ะ”

พฤกษ์ขอบคุณประชาสัมพันธ์สาวพร้อมรับจดหมายกึ่งๆแนะนำตัวที่อีกฝ่ายสอดมาให้พร้อมจดหมายแจ้งข่าวให้ถือมาที่สำนักงานทนายความแห่งนี้

เขาเคาะประตูก่อนตามมารยาทรอจนอีกฝ่ายเอ่ยปากจึงผลักประตูเข้าไป ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มวัยย่างกลางคนจึงเบิกตากว้างอย่างแปลกใจระคนยินดี

“คุณพฤกษ์! กลับมาถึงแล้วหรือครับเนี่ย ทำไมไม่บอกล่ะครับผมจะได้ไปรับ นี่มาจากสนามบินยังไงครับเนี่ย”

พฤกษ์ยังไม่ตอบคำถามเขายกมือไหวอีกฝ่ายที่แทบปล่อยปากาในมือรับไหว้ไม่ทัน ก่อนเดินมานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
“เพิ่งมาถึงนี่แหละครับพี่ภูมิ ผมเห็นว่าไม่ลำบากอะไรเลยไม่ค่อยอยากรบกวนพี่ภูมิด้วย นี่วันทำงานด้วยไม่ใช่หรือครับ”

“คนเป็นทนายเสาร์อาทิตย์ก็ยังทำงานได้น่าคุณพฤกษ์ ไม่ได้มีตารางตายตัวเหมือนพนักงานอะไรที่ไหนเสียหน่อย” เกียรติภูมิโบกไม้โบกมือ “แล้วอย่าหาว่ารบกงรบกวนอะไรกันเลย ผมเป็นห่วงคุณพฤกษ์สิไม่ว่าจากเมืองไทยไปจะร่วมสิบปีแล้วด้วยซ้ำ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับแค่ 5 ปีกว่าเท่านั้นเอง” เขาแย้ง แล้วพูดต่อไปเสียอีกเรื่อง “พี่ภูมิเองก็อย่าเรียกผมว่าคุณเลยครับ ผมกระดากเสียเปล่าๆ”

เสียงเคาะประตูห้องเบาๆอย่างเกรงใจแทรกเข้ามา พอเกียรติภูมิส่งเสียงอนุญาต ประชาสัมพันธ์สาวคนเดิมก็เดินมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นเฉียบ
“น้ำค่ะ คุณพฤกษ์”

ชายหนุ่มพึมพำขอบคุณ ยกน้ำขึ้นจิบก่อนเพิ่งรู้สึกว่าไอแดดของกรุงเทพฯทำให้เขากระหายน้ำไม่น้อยเลยทีเดียว

เกียรติภูมิรอจนอีกฝ่ายวางแก้วน้ำที่พร่องไปเกือบครึ่งจึงเอ่ยว่า
“มันเป็นความเคยชินน่ะ คุณพฤกษ์ เคยเรียกกันมาตั้งแต่สมัยเด็กจนชักจะเริ่มแก่นี่ให้เปลี่ยนก็ไม่ไหวเหมือนกัน นี่ไม่นับที่ว่าคุณพ่อของคุณพฤกษ์ท่านก็มีบุญคุณกับคุณพ่อผมนัก”

“บุญคุณที่ไหนล่ะครับ” ชายหนุ่มแย้งทันควัน “คุณลุงก้องกล้าแค่ขอยืมเงินของคุณพ่อไปเพราะเหตุฉุกเฉินไม่ได้เอาไปเปล่าเสียหน่อย ทางผมเสียอีก ตั้งแต่คุณพ่อเสียก็ได้คุณลุงคอยดูแลทำหน้าที่เกือบๆแทนผู้ปกครองให้ทุกอย่าง”

คนเป็นทนายความทอดตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความเอ็นดูกึ่งๆชื่นชมยิ่งฟังคำพูดนั้นรอยยิ้มน้อยๆก็ปรากฏบนริมฝีปาก

บิดาของเขากับบิดาของพฤกษ์เป็นเพื่อนรักกอดคอกันมานับแต่สมัยประถม เพียงแต่เด็กชายพนาบิดาของพฤกษ์นั้นค่อนข้างมีฐานะที่จัดได้ว่าดี ผิดกับเด็กชายก้องกล้าที่เป็นเพียงลูกชาวสวนจนๆคนหนึ่งต้องกัดฟันดิ้นรนหาเงินเรียนต่อเพราะพ่อแม่เองก็มีภาระในการส่งพี่น้องคนอื่นเช่นกัน

ทั้งอย่างนั้นก้องกล้าก็ยังได้ร่ำเรียนจนจบวิชากฎหมายและมีอาชีพเป็นทนายความตราบจนสืบต่อมาถึงเกียรติภูมิเอง บิดาของเขาไม่เคยลืมว่าในยามยากไร้นั้นได้มือของเพื่อนที่คอยประคองไปด้วยกัน น้ำใจของพนาแม้ไม่ใช่การแจกจ่ายเงินทองแต่เป็นการแบ่งปันข้าวของต่างๆช่วยให้ก้องกล้าประหยัดเงินมาจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนได้

และที่สำคัญที่สุด...เกียรติภูมิยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี มารดาของเขาพินตรามีปัญหาสุขภาพสายตาต้องผ่าตัดรักษาต้อตาเป็นการด่วน แม้ตอนนั้นฐานะของครอบครัวเขาจะดีขึ้น แต่เนื่องจากเป็นช่วงหลังเปิดเทอมใหม่ๆ บิดาต้องนำเงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การศึกษาของเกียรติภูมิเอง ทำให้แทบจะไม่มีเงินเก็บเหลืออยู่ เวลานั้น...คนที่ยื่นมือช่วยคือคุณพนาบิดาของพฤกษ์นั้นเอง ที่เป็นคนออกค่ารักษาทุกอย่างให้ก่อนโดยบอกว่าให้ยืม

ถึงจะเป็นการให้ยืม แต่เป็นการให้ยืมที่ไม่มีสัญญาใดๆเลย ไม่มีดอกเบี้ย หนำซ้ำเจ้าหนี้ยังออกปากว่าให้บิดาเขาค่อยๆมาใช้หนี้ อย่าเร่งใช้เสียทีเดียวเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินใดๆอีกทั้งตอนนั้นเกียรติภูมิเองก็ต้องใช้เงินเช่นเดียวกัน

น้ำใจครั้งนั้น คนในบ้านเขาไม่เคยมีใครลืมเลือน แม้ยามนี้มารดาเขาจะเสียไปแล้วก็ตามที...

“ว่าแต่พี่ภูมิครับ..” เสียงของพฤกษ์ปลุกทนายความให้ตื่นจากการรำลึกความหลัง “เรื่องคุณแม่....”

รอยยิ้มเลือนหายไปจากวงหน้าของเกียรติภูมิ มีริ้วรอยความเสียใจปรากฏแทนเมื่อเขาก้มหัวลงพร้อมเอ่ย
“ครับ อย่างที่ผมบอกไปในโทรเลขที่ส่งไปที่พักของคุณพฤกษ์นั่นแหละครับ คุณแม่ของคุณพฤกษ์...คุณน้ำค้างประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อสี่วันก่อนแล้วครับ”

สีเลือดจางหายไปจากวงหน้าคร้ามของชายหนุ่มหากชั่วครู่เขาจึงผ่อนลมหายใจยาวราวพยายามควบคุมสติอารมณ์

ผู้มากวัยกว่าทอดสายตามองท่าทีนั้นด้วยความเห็นใจ เป็นนานกว่าดวงตาสีน้ำตาลแก่คมเข้มนั้นจะลืมขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณพี่ภูมิมากครับ น่าตกใจนะครับ คุณแม่ผมเสียแต่คนบอกข่าวกลับเป็นทนายความไม่ใช่คนในครอบครัว....”

ประโยคตอนท้ายแผ่วลงแต่ก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี เกียรติภูมิได้แต่มองอีกฝ่ายนิ่งไม่อาจเอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น พฤกษ์เองก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวจึงยิ้มเจื่อนๆ
“ขอโทษนะครับพี่ภูมิ ว่าแต่ตอนนี้ศพของคุณแม่ตั้งอยู่ที่วัดไหนครับ”

เกียรติภูมิบอกชื่อวัดพร้อมเสริมว่า
“ตั้งศพวันนี้วันที่ 5 แล้วครับคุณพฤกษ์ จะเผาวันมะรืนแล้วก็ทำบุญครบเจ็ดวันไปเลยทีเดียวน่ะครับ ทั้งหมดนี้คุณปรานต์เป็นคนจัดการ”

คิ้วเรียวเข้มได้รูปของพฤกษ์ขมวดขึ้นน้อยๆเมื่อได้ยินชื่อสามีใหม่ของมารดา
“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละครับพี่ภูมิ เขาเป็นสามีใหม่ของคุณแม่นี่ครับ”

สำเนียงของชายหนุ่มเรียบเฉยผิดกับทีท่าที่ราวสะดุดใจบางอย่างเมื่อเอ่ยประโยคนั้น วงหน้าคร้ามเองก็นิ่งสนิทจนยากจะคาดเดาถึงความคิดภายใน พฤกษ์เพียงขยับกายแล้วเปรยถึงกำหนดการ
“ถ้าอย่างไงผมคงจะไปงานศพคุณแม่ตอนค่ำๆนี้แน่ครับ แล้วก็อยู่จนถึงทำบุญเจ็ดวันท่าน...”

คนฟังรีบถามแทรกทันที
“คุณพฤกษ์มีธุระอะไรทางโน้นต้องรีบกลับหรือเปล่าครับนี่”

“ไม่มีครับ พี่ภูมิก็รู้ ผมเพิ่งจะเรียนจบไปหยกๆไม่ถึงปีดีเลย ความจริงตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์ทำงานตระเวนไปเรื่อยเพราะผมมันพวกชีพจรลงเท้าอยู่แล้ว เคราะห์ดีที่กลับไปแล้วคนดูแลเขารีบบอกผมเสียก่อนว่ามีโทรเลขมาถึงผม ผมรู้เรื่องแล้วถึงรีบมา”

“อ้าว พุทโธ่! คุณพฤกษ์ งั้นจะรีบกลับไปทำไมล่ะครับ ไม่ได้กลับเมืองไทยเสียนานก็อยู่สูดอากาศบ้านเราก่อนสิครับ รีบไปไหนกัน” เกียรติภูมิท้วง

พฤกษ์เพียงแต่ยิ้มอ่อนๆให้ตามวิสัยเขา ส่งให้วงหน้าคร้ามนั้นดูอ่อนกว่าความเป็นจริง ทั้งที่ตามความเห็นเกียรติภูมิรุ่นน้องกึ่งนายของเขาคนนี้มีเครื่องหน้าค่อนข้างคมเข้มตามแบบฉบับบิดาที่เป็นคนทำสวนที่ต้องกรำแดดเสมอ

“และอีกอย่าง ถึงคุณพฤกษ์อยากรีบกลับผมว่าก็คงไม่ได้กลับเร็วปานนั้นหรอก เพราะอย่างไรก็ต้องจัดการเรื่องมรดกให้เรียบร้อยเสียก่อน”

คำนั้นทำให้พฤกษ์ชะงักมือที่กำลังจะยกน้ำขึ้นจิบเป็นวางลงอย่างช้าๆแทน ร่องรอยพิศวงอย่างสมบูรณ์ปรากฏชัด
“มรดก? มรดกอะไรกันครับ?”

“อ้าว คุณพฤกษ์” คราวนี้คนเป็นทนายเลิกคิ้วให้บ้างเป็นการล้อเลียน “คุณน้ำค้างเธอมีคุณเป็นลูกชายคนเดียวนะครับ แล้วลูกกับคุณปรานต์เธอก็ไม่มี นี่คุณคงไม่คิดจริงๆหรอกนะว่าท่านจะใจจืดใจดำไม่ให้อะไรกับคุณเลย”

ท่าทางของชายหนุ่มยังดูงุนงงแม้เมื่อทวนคำนั้น
“คุณแม่น่ะหรือครับ ยกสมบัติของท่านให้ผม?”

“เอ อันนี้ผมพูดไม่ได้เสียด้วยสิ งานศพคุณน้ำค้างยังไม่เสร็จดี คงไม่เหมาะที่จะเปิดพินัยกรรมท่านตอนนี้”

พฤกษ์ผ่อนลมหายใจเบาๆอีกครั้ง ไม่มีแววอินังอิขอบใดเมื่อเขาบอกกกับคนเป็นทนายความ
“งั้นก็ให้คุณปรานต์ พ่อเลี้ยงผมเขาเป็นผู้จัดการมรดกก็ได้นี่ครับ ผมคงไม่ต้องยุ่งอะไรมาก”

เกียรติภูมือมองอีกฝ่ายนิ่ง พฤกษ์เห็นแววลังเลใจอยู่ครู่ก่อนรุ่นพี่จะตัดสินใจ
“คุณได้มากกว่าที่คุณคิด คุณพฤกษ์ แต่ไม่มากไปกว่าแม่คนหนึ่งจะให้ลูกได้ เชื่อผมเถอะ คุณได้จากท่าน “มาก” กว่าที่คุณคิดนัก”

พฤกษ์นิ่งเฉยเสีย เพราะวิสัยเขาเป็นคนที่มีสติและสำรวมอยู่ตลอดเวลา แต่เกียรติภูมิที่รักสนิทอีกฝ่ายไม่ผิดกับน้องชายก็ยังสัมผัสได้ถึงความแปลกใจของชายหนุ่มที่ปรากฏเพียงร่องรอยบนสีหน้าและในแววตาเท่านั้น

เกียรติภูมิไม่นำพาต่อท่าทีชายหนุ่ม เขาเดินอ้อมไปเปิดตู้เอกสารหยิบแฟ้มหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเริ่มอธิบาย
“คุณน้ำค้างท่านเพิ่งทำพินัยกรรมไว้ไม่ถึงเดือนดีได้กระมัง ท่านเรียกผมไปพบเพราะรู้ว่าผมเป็นลูกชายเพื่อนเก่าของคุณลุงพนาและก็เป็นเพื่อนของคุณด้วย ท่านถามผมไม่กี่ประโยคแล้วก็ตกลงใจทำแทบจะเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำไป”

“ทำไมคุณแม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยครับพี่ภูมิ”

“เอ เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ท่านด้วยสิ” เกียรติภูมว่าขณะก้มหน้าก้มตาเปิดแฟ้ม ทว่าพฤกษ์พอมองออกว่านั่นเป็นการหลบตาเขาต่างหาก

พลิกจนเจอซองเอกสารสีน้ำตาเกียรติภูมิจึงดึงออกมาวาง
“เอ้า นี่ไงพินัยกรรมของคุณแม่คุณที่ผมบอก คุณน้ำค้างแจกแจงทรัพย์สินไว้ละเอียดมากจนไม่น่าจะมีปัญหานะ เท่าที่ผมดูๆ ท่านทำไว้สองฉบับ ฉบับหนึ่งเก็บไว้ที่ผม ส่วนอีกฉบับท่านฝากไว้ที่ธนาคาร”

พฤกษ์ไม่ได้เอื้อมมือไปแตะต้องซองนั้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มลึกของเขาหากมองให้ดีๆจะเห็นความรู้สึกหลากหลายสะท้อนอยู่

ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ผมนึกไม่ถึงเลยครับพี่ภูมิ บอกตรงๆว่าไม่เคยนึกเสียด้วยซ้ำ พี่ภูมิก็น่าจะรู้นี่ครับตั้งแต่คุณแม่หย่ากับคุณพ่อแล้วแต่งงานใหม่ผมเคยไปเยี่ยมคุณแม่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นยิ่งพอมาระยะหลังๆที่คุณพ่อท่านยุ่งแล้วส่งผมไปโรงเรียนประจำกระทั่งท่านเสียแล้วไปเรียนต่อเมืองนอก ผมก็....แทบไม่ได้พบคุณแม่เสียด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่าท่านกำลังยุ่งกับงานและก็ครอบครัวใหม่เลยไม่ใครมีเวลาได้พบปะกันนัก....”

แม้เสียงพูดจะฟังเรื่อยเฉื่อยแต่เกียรติภูมิก็สัมผัสได้ดี เขาอยู่โรงเรียนประจำแห่งเดียวกับพฤกษ์และช่วงนั้นมารดาเขาเองก็เสียชีวิตไปเช่นกัน ชายหนุ่มจึงเข้าใจความรู้สึกที่ยามสุดสัปดาห์ต้องมองเพื่อนร่วมหอคนอื่นๆมีพ่อแม่มารับแต่ตัวเองกลับต้องอยู่ที่หอปราศจากใคร

ทว่าการเป็นทนายความ....ที่ต้องพบปะกับผู้คนที่มีปัญหาหลากหลายก็ทำให้เกียรติภูมิเข้าใจได้อีกเช่นกัน

“เรื่องของผู้ใหญ่นะคุณพฤกษ์ ผมเองก็คงพูดมากไม่ได้ ท่านก็คงมีเหตุผลของท่านเองเหมือนกัน แต่ท่านก็พยายามจะชดเชยให้คุณนะผมว่า บางทีเพราะท่านกับคุณห่างกันตั้งแต่เด็กๆแล้วคุณเองก็เป็นลูกชาย พอโตๆไปท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน นี่ท่านก็พยายามให้คุณมากที่สุดในแบบของท่านเพื่อชดเชยกับสิ่งที่คุณขาดไป...”

สีหน้าของพฤกษ์ดีขึ้นเล็กน้อยจนปรากฏรอยยิ้มบางเบาเมื่อเอ่ยว่า
“พี่ภูมิเข้าใจพูดสมเป็นทนายดีนะครับ”

“โอ๊ย เป็นทนายอะไรกันล่ะคุณพฤกษ์” เจ้าของคารมโบกไม้โบกมือไปมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี “หัวอกคนกำลังจะเป็นพ่อคนหรอกถึงทำให้พูดได้น่ะ”

“ยินดีด้วยครับ” ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ

เกียรติภูมิพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจก่อนกระแอมเบาๆแล้วเอ่ยท่าทีเป็นงานเป็นการขึ้น
“สมบัติของคุณน้ำค้างส่วนมากเป็นสินส่วนตัวของเธอเอง ท่านไม่ได้ระบุให้ใครเป็นผู้จัดการมรดก แต่ผมว่าคุณน่าจะยื่นคำร้องไปนะคุณพฤกษ์จะได้ตัดปัญหา”

คราวนี้สายตาของชายหนุ่มแสดงความเข้าใจบางอย่างรำไรขึ้นมา
“คุณปรานต์รู้หรือเปล่าครับว่าผมมีชื่ออยู่ในพินัยกรรมของคุณแม่”

“ตอนนี้คงรู้แล้วแหละ เพราะผมโทรไปแจ้งคุณปรานต์เขาแล้วว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายทรัพย์สินใดๆทั้งสิ้น” ถึงตรงนี้เกียรติภูมิอดหัวเราะเบาๆไม่ได้ “ตอนผมโทรไปแจ้งท่าทางเขาตกใจเหมือนกันนะเพราะดูเหมือนเขาเองก็จะไม่รู้ว่ามีพินัยกรรมอยู่ อาจจะเพราะคุณน้ำค้างเพิ่งทำไปแล้วไม่ได้บอกใคร”

พฤกษ์พ่นลมหายใจยาวเหยียดเอ่ยอย่างรู้เท่าทันว่า
“ผมเข้าใจแล้วทำไมพี่ภูมิถึงชอบพูดว่าไม่น่าจะมีหรือจะได้ไม่มีปัญหา เพราะอย่างนี้เองใช่ไหมล่ะครับ”

“แหมคุณนี่อย่ามาเป็นทนายแข่งกับผมเชียวนะคุณพฤกษ์”
เกียรติภูมิว่าแกมหัวเราะพลอยให้พฤกษ์อดหัวเราะเบาๆไม่ได้ทั้งที่ในแววตายังมีความหนักอึ้งถึงนัยคำพูดนั้น

ไม่น่าจะมีปัญหา....ถ้าพ่อเลี้ยงของเขาจะไม่ก่อปัญหาขึ้นมา!

<>::<>::<>::<>::<>

บรรยากาศบนศาลาสวดพระอภิธรรมค่อนข้างวังเวงยิ่งเมื่อมีเสียงปี่พาทย์บรรเลงเพลงเบาๆยิ่งพาให้บรรยากาศของงานยิ่งหดหู่

ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำท่าทางค่อนข้างภูมิฐานและดูดีกว่าอายุจริงยกมือไหว้สลับกับก้มหัวให้แขกเหรื่อหลายคนที่เดินเข้ามาในศาลาเพื่อมาร่วมงานสวดศพในคืนสุดท้ายนี้

นายปรานต์ก้มศีรษะรับคำแสดงความเสียใจต่อภรรยาของเขาด้วยสีหน้านิ่งๆแต่อมทุกข์จนอีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นใจก่อนขอตัวไปหาที่นั่งในงาน

เขายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อเล็กน้อยก่อนชะงักสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อเห็นชายอีกสองคนแต่งชุดดำก้าวเข้ามา

พฤกษ์ยกมือขึ้นไหว้พ่อเลี้ยงของเขาตามมารยาทขณะอีกฝ่ายก็เพียงแต่ยกมือรับอย่างส่งๆพอเป็นพิธีเท่านั้น ขณะเกียรติภูมิเฉยเสีย

“อ๋อ กลับมาแล้วหรือ” นายปรานต์เอ่ยทัก แม้เสียงนั้นจะเรียบเฉยแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเป็นอริชัดเจน “นึกว่าจะไม่เห็นหน้าแล้วเสียอีก พรุ่งนี้ก็วันเผาแล้ว”

พฤกษ์ทำท่านิ่งเฉยเสียประหนึ่งไม่รู้ความหมายของคำนั้น เขาเพียงแต่ก้มศีรษะให้อีกฝ่ายและเอ่ยขอตัวเข้าไปภายในเท่านั้น

พ่อเลี้ยงของเขาไม่ว่าอะไร เพียงแต่พยักหน้าให้อย่างแข็งๆเต็มทน กระนั้นพฤกษ์ก็ยังสังเกตเห็นแววโชนแสงภายในดวงตาฝ่ายตรงข้ามอันเป็นดวงตาแบบที่เขาเห็นจนชินแม้เมื่อเดินเข้ามาก็ยังรู้สึกได้ว่าสายตานั้นมองตามมาอีกเป็นครู่ใหญ่
“เขาไม่ชอบหน้าผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะครับ” พฤกษ์เอ่ยสั้นๆเมื่อลับหลังอีกฝ่าย

เกียรติภูมิโคลงศีรษะไปมาไม่วายหันไปมองนายปรานต์อีกครั้งแล้วว่า
“ตอนนี้ผมว่าเขาไม่แค่ไม่ชอบหรอก เขาคงเกลียดขี้หน้าคุณพฤกษ์พิลึกล่ะ เออ คงพอๆกับเกลียดหน้าผมตอนผมไปแจ้งเขาเรื่องพินัยกรรมคุณน้ำค้างน่ะแหละ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ อย่างไงเขาก็เป็นสามีของคุณแม่มีส่วนในมรดกมากกว่าผมที่เป็นลูกชาย”

“มันก็ใช่ล่ะ แต่วันนั้นตอนที่ผมไปหาเขา คุณปรานต์เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าคุณน้ำค้างทำพินัยกรรมไว้ เขาคงอยากจะคิดว่าผมโกหกเสียด้วยกระมังท่าทางอยากบีบคอผมให้ตายคามือตรงนั้นเลย”

พฤกษ์นิ่งไปเสียกับคำกล่าวนั้น ส่วนหนึ่งในใจเขาก็เชื่อคำพูดของเกียรติภูมิเช่นกัน ยังจำได้ในสมัยยังเยาว์ที่เคยมีโอกาสไปบ้านใหม่ของมารดาที่เป็นหมู่บ้านจัดสรรราคาแพงรวมถึงเครื่องถ้วยโถโอชามที่คุณน้ำค้างชอบสะสมไว้ทำให้เป็นบ้านที่เหมาะแก่การรับแขกของคุณน้ำค้างที่เป็นเจ้าของธุรกิจเงินกู้และให้เช่าที่ดินนัก

แม้จะยังเด็กแต่พฤกษ์ก็มีความจำดี เขาจำได้ว่าเขาเคยชอบแจกันโบราณเขียนเป็นลายดอกไม้อ่อนช้อยของจีน ไปทีไรต้องไปมองๆเพราะชอบลวดลายและศิลปะแบบที่ไม่มีในไทย

หากพอเขาเคยไปเยือนที่นั่นอีกครั้ง....ไม่แค่แจกันอันนั้นแต่ของตกแต่งบ้านหลายชิ้นยังปลาสนาการหายไปด้วยน้ำมือพ่อเลี้ยงอย่างไร้ร่องรอย!
“เขาก็คงคิดไม่ถึงเหมือนผมนั่นแหละครับพี่ภูมิ”

พฤกษ์ให้เหตุผลสั้นๆ แต่เกียรติภูมิหัวเราะหึๆอย่างรู้เท่า
“คิดไม่ถึงเหมือนกันแต่คนละอารมณ์เสียล่ะมั้งคุณพฤกษ์ก็ อย่าหาว่าผมสอดเลยนะคุณ พ่อเลี้ยงคุณพฤกษ์น่ะผมก็พอได้ยินชื่อเสียงมาบ้างหรอก”

การสนทนาจำต้องยุติแค่นั้นเพราะพอดีกับญาติคนหนึ่งของคุณน้ำค้างเห็นพฤกษ์เขาจึงทักทายถามไถ่กันบ้างตามประสา จากนั้นพฤกษ์จึงปลีกตัวไปเคารพศพมารดา

ชายหนุ่มนั่งคุกเข่า ดวงตาคมกริบมองสบนัยน์ตาละม้ายแบบเดียวกันของสตรีวัยกลางคนท่าทางสวยคมคายที่มองลงมา อุปาทานหรืออย่างไรก็แล้วแต่ที่จนบัดนี้ถึงเพิ่งสังเกตเห็นแววอ่อนละมุนในดวงตาที่ซ่อนไว้เบื้องหลังความเฉียบคม

คุณน้ำค้างเป็นลูกคหบดีในกรุงเทพฯคนหนึ่งที่ไปสมรสกับบิดาเขาซึ่งเป็นชาวสวน...พ่อของเขาชอบพูดถึงตนเองอย่างนี้ และแม้จะถูกต้องแต่การเป็นชาวสวนของบิดาเขาหมายถึงที่ดินอีกนับร้อยไร่ที่ทั้งทำสวนเองและแบ่งให้คนอื่นเช่า

พฤกษ์พอจำได้เลือนรางว่าสาเหตุของความไม่ลงรอยของบิดามารดาเริ่มมาจากหลังเขาเกิดไม่กี่ปี เพราะช่วงนั้นสุขภาพของมารดาแย่ลงกอปรกับความเบื่อหน่ายในชีวิตซ้ำซากจำเจที่ไม่ได้ออกไปพบปะผู้คนเหมือนเมื่อสมัยเธออยู่ในเมืองหลวง คุณน้ำค้างชดเชยด้วยการเข้าเมืองบ่อยๆจนบิดาของพฤกษ์เริ่มไม่พอใจและค่อยๆกลายเป็นปัญหาขึ้นมา

คุณน้ำค้างจึงกลับไปค้างบ้านบิดาหรือคุณตาของพฤกษ์เป็นครั้งคราวเป็นการตัดปัญหา และระยะนั้นก็ค่อยๆนานขึ้นจนในที่สุดก็มีเพียงจดหมายแจ้งขอหย่ามาแทนตัวของเธอ

พฤกษ์ได้อยู่กับบิดา ระยะแรกเขาจะได้พบมารดาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ต่อมาก็ค่อยเว้นไปบ้าง จนห่างไปเพราะช่วงนั้นคุณน้ำค้างเริ่มจับธุรกิจเงินกู้ด้วยความสนุกเธอจึงไม่ค่อยมีเวลาให้พฤกษ์ผนวกกับเขาต้องเริ่มไปโรงเรียนประจำพอดี ความสัมพันธ์จึงเป็นยิ่งกว่าห่างเหิน

ชายหนุ่มจุดธูป พนมมือขึ้นส่งความนึกถึงไปยังมารดาและภาพในวัยเยาว์ที่แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมีในความทรงจำอันอบอุ่นที่หลงเหลือนั้น ก่อนจะปักธูปบนกระถางกราบลงกับพื้นและถอยออกมาอย่างเงียบเชียบ

เกียรติภูมิดูจะเห็นทีท่าของอีกฝ่ายเงียบไปจึงไม่ได้ท้วงว่าอะไร เขานั่งฟังพระสวดเป็นเพื่อนอีกฝ่าย จะมีก็บางครั้งที่มองไปทางนายปรานต์และนายปรานต์เองก็หันมามองทางนี้

จนพระสวดจบเกียรติภูมิจึงชวนพฤกษ์กลับ ทั้งสองเข้าไปล่ำลานายปรานต์ตามมารยาท

อีกฝ่ายหันมาหาลูกเลี้ยงพอดี ดวงตาหรี่ลงน้อยๆเมื่อมองเกียรติภูมิสลับกับพฤกษ์
“คงจะรู้เรื่องมรดกแล้วสิท่า”

พฤกษ์พยักหน้าเนือยๆอย่างไม่รู้จะตอบอะไรมากไปกว่านั้น แต่กลับทำให้อีกฝ่ายยิ่งหรี่ตาลงอย่างดุดัน
“ผมให้ทนายของผมช่วยยื่นคำร้องให้ผมเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว” เขาแจ้งห้วนๆ

พฤกษ์ไม่ได้ว่ากระไรแต่คนที่ออกหน้าแทนคือเกียรติภูมิ
“ผมเห็นว่าคุณพฤกษ์จะได้เป็นผู้จัดการมรดกเสียอีก”

นายปรานต์ปรายสายตาดุดันนั้นไปยังทนายความ เสียงที่เอ่ยต่ำลงเล็กน้อย
“ผมเป็นสามีของน้ำค้าง ความจริงไม่ใช่แค่ผู้จัดการมรดก แต่มรดกควรจะเป็นของผมไม่ใช่ของลูกสามีเก่าที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมานานด้วยซ้ำ”

“พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกมั้งคุณ” เกียรติภูมิออกปกป้องคนที่เป็นเหมือนน้องชายผู้ยืนนิ่งทันที “อย่าลืมสิว่าทรัพย์สินคุณน้ำค้างไม่ได้มีแค่สินสมรส สินส่วนตัวของคุณน้ำค้างเองก็ไม่ใช่น้อยๆไม่ใช่หรือ”

แววตาที่มองมาของพ่อเลี้ยงพฤกษ์บอกชัดว่าถ้าทำได้เขาคงทึ้งเนื้อทนายความไปแล้ว เสียงที่เอ่ยต่อมาจึงต่ำพร่าด้วยแรงอารมณ์
“ผมจะยื่นคำฟ้องต่อศาล ผมเป็นสามีมีสิทธิ์คัดค้านได้”

“ก็ไปเจอกันในศาลแล้วกัน” เกียรติภูมิรับคำท้า

ลมเย็นๆพัดมาในศาลาท่ามกลางบรรยากาศร้อนระอุนั้น จมูกของพฤกษ์เหมือนจะสัมผัสกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆของดอกไม้บางชนิดแต่ระบุไม่ได้ว่าเป็นดอกไม้อะไร

นายปรานต์ทำจมูกฟุดฟิดเช่นกัน ทว่าถ้อยคำปรารถที่เอ่ยออกมากลับตรงกันข้ามกับที่พฤกษ์สัมผัส
“กลิ่นเหม็นเน่าอะไรเนี่ย”

“ผมไม่เห็นได้กลิ่นอะไรนี่ คุณได้กลิ่นไหมคุณพฤกษ์” เกียรติภูมิเป็นคนตอบแทนและหันมาหาเสียงสนับสนุนจากพฤกษ์

พฤกษ์ทำท่าลังเลเล็กน้อยก่อนตอบไปตามสัจจริงเช่นกัน
“ผมก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไรเลยเหมือนกัน”

อีกฝ่ายขมวดคิ้วทำสีหน้าไม่พอใจขณะมองไปรอบๆ
“กลิ่นออกจะแรงขนาดนี้ทำไม....” คำพูดชะงักไปเฉยๆเมื่อจู่ๆก็มีเสียงหมาหอนแว่วจากที่ไกลๆมาแทน

นายปรานต์ควักผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อพร้อมกันนั้นเองวัตถุบางอย่างก็ร่วงหล่นบนโต๊ะกลาง

หัวของว่านขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็ยังดูโดดเด่นเมื่ออยู่บนโต๊ะที่ถูกปูด้วยผ้าขาวเช่นนี้

นายปรานต์สบถอุบขณะรีบหยิบว่านขึ้นมา จังหวะนั้นเองพฤกษ์จึงพยักเพยิดกับเกียรติภูมิเป็นเชิงปลีกตัวขณะที่นายปรานต์ก้มเก็บว่านพลางทำปากขมุบขมิบบางอย่างให้เกียรติภูมิไม่วายหันไปมอง

อีกฝ่ายยกมือขึ้นจบก่อนหันมาถลึงตาใส่อย่างประสงค์ร้ายเมื่อสบตาเกียรติภูมิก่อนเลื่อนสายตานั้นไปยังลูกเลี้ยงแทน
“ท่าทางเขาแปลกๆนะคุณพฤกษ์” เกียรติภูมิเปรยขณะไขกุญแจรถ

“ปกติต่างหากเล่าครับพี่ภูมิ มันเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของเขา”

เกียรติภูมิก้าวไปนั่งประจำที่นั่งคนขับระหว่างรอพฤกษ์ปิดประตูก็ถามด้วยความประหลาดใจ
“งานอดิเรกอะไรงั้นหรือคุณพฤกษ์”

“สะสมว่านครับ ผมจำได้ตั้งแต่สมัยเด็กๆไปบ้านนั้นในสวนเป็นที่ของเขาคนเดียวเลย เขาสะสมแต่ว่านหลายชนิดเลย ผมเคยฟังๆมาเห็นว่าเป็นว่านพวกมีสรรพคุณไสยศาสตร์อะไรนี่แหละครับ แล้วคุณปรานต์เขาถือว่าถ้าไม่มีหัวว่านติดตัวเขาจะไม่ออกจากบ้านเป็นอันขาด”

“ขนาดนั้นเลยหรือคุณพฤกษ์” เกียรติภูมิว่าพลางหัวเราะ “เออ สมัยนี้ก็ยังมีนะคนที่เชื่อถือโชคลางอะไรอย่างนั้น ไม่น่าเชื่อเลยนะนี่”

พฤกษ์เพียงแต่อมยิ้มไม่ออกความเห็นใดๆ เพราะเขาไม่มีความรู้และไม่มีความสนใจใดๆเกี่ยวกับด้านนี้เป็นพิเศษ

“ว่าแต่นี่แน่ะ คุณพฤกษ์ ผมจะเตือนอะไรคุณไว้หน่อย” เกียรติภูมิเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ระวังๆพ่อเลี้ยงคุณไว้หน่อยก็เห็นจะดีนะ”

“เขาอยากฟ้องก็ให้เขาฟ้องไปเถอะครับพี่ภูมิ ดีเสียอีกพี่ภูมิจะได้มีผมเป็นลูกค้าเพิ่มไงครับ” เขาว่าติดตลก

เกียรติภูมิส่ายหน้าไปมา ท่าทางไม่เห็นขันไปด้วยแม้แต่น้อย
“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิคุณพฤกษ์ ไอ้เรื่องสู้คดีนี่ผมไม่หวั่นเลยเพราะบอกแล้วว่าคุณน้ำค้างตระเตรียมไว้อย่างดี ผมกลัวแต่เขาจะเล่นวิธีอื่นที่คุณพฤกษ์เสียมากกว่าน่ะสิเลยเป็นห่วง คุณปรานต์นี่ที่ฟังๆดูเขาก็มีชื่อไม่หยอกหรอก”

“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับพี่ภูมิ” พฤกษ์แย้ง “ตัวเขาเองก็ได้ไปไม่น้อย เผลอๆเยอะกว่าผมอีกไม่ใช่หรือครับ เพราะธุรกิจคุณแม่ท่านก็เจริญดีนี่นา”

ทนายความหัวเราะหึๆ เหลือบตามองสีหน้าเรียบเฉยแต่ดูจริงใจของอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้า
“ว่าไม่ได้หรอกคุณพฤกษ์ ผมเป็นทนายความนะคุณ เห็นมาเยอะแล้วขนาดน้อยกว่านี้เขายังฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไม่รู้เท่าไร พี่น้องแท้ๆนี่แหละบางทีศพพ่อแม่ตัวเองไม่ทันเผามาตีกันเสียแล้ว บางรายโกงกันจนอีกฝ่ายหมดตัว บางรายหนักเข้าก็ดักยิงดักทำร้ายพี่น้องตัวเองนั่นล่ะ เออหนอคนเรา...”

เขาโคลงศีรษะไปมาก่อนสรุปปิดท้าย
“เงินๆทองๆมันไม่เข้าออกใครจริงๆ สายเลือดเดียวกันยังทำกันได้ สำมะหาอะไรกับคุณกับคุณปรานต์ล่ะคุณพฤกษ์..”

<>::<>::<>::<>::<>


ตอนที่ 2

รถเก๋งคันกะทันรัดแล่นฉิวไปบนถนนลาดยางอย่างดี มีรถบรรทุกแล่นสวนไปมาเป็นระยะแต่ก็ไม่ถึงระดับที่น่ากังวลแต่อย่างไรคงพอขับได้อย่างสบายๆ แสงแดดยามบ่ายกระทบในรถผ่านฟิล์มกรองแสงมาได้เป็นบางส่วนแต่กระนั้นผู้อยู่ในรถก็ดูจะไม่เดือดร้อนเพราะแอร์เย็นฉ่ำทำหน้าที่ของมันอย่างดีเยี่ยม

พฤกษ์เอนกายพิงกับเบาะด้านข้างที่นั่งคนขับ ทิวทัศน์สองรอบด้านที่เป็นบ้านคนสลับด้วยต้นไม้ขึ้นประปรายรายทางแม้จะดูไม่เจนตาแต่กลับให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย อาจจะเป็นเพราะลักษณะโดยทั่วไปที่ยังติดในความทรงจำเก่าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักชวนให้รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างประหลาด

งานศพของคุณน้ำค้างและการเปิดพินัยกรรมเรียบร้อยไปได้อาทิตย์เศษ พร้อมความตื่นตะลึงของผู้รับฟังเมื่อเกียรติภูมิแจ้งว่าสินส่วนตัวทั้งเงินในธนาคาร ที่ดินและเครื่องเพชรพลอยดั้งเดิมทั้งหมดให้เป็นกรรมสิทธิ์ของพฤกษ์ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ส่วนนายปรานต์นั้นได้ในส่วนของสินสมรสอันเป็นเงินสดในธนาคารจำนวนหนึ่งกับที่ดินอีกไม่กี่แปลงรวมไปถึงบ้านหลังปัจจุบันที่อาศัยอยู่

ทันทีที่เกียรติภูมิแจกแจงเสร็จ นายปรานต์ผุดลุกขึ้นมาแทบจะทันทีสีหน้าของเขาบอกชัดพอๆกับคำพูดที่คำรามออกมา
‘..นึกแล้วเชียว ว่ามันต้องมีอะไร ไม่งั้นไม่น่า...’ พูดได้แค่นี้เขาก็ชะงักไปเหมือนระงับอารมณ์ได้

เกียรติภูมิทำไม่รู้ไม่สนเสีย เขาเพียงกล่าวขอตัวไปพร้อมกับพฤกษ์ผู้นิ่งงันนับแต่ทนายความอ่านข้อความประโยคแรกเสียด้วยซ้ำ ทว่ายังไม่ทันจะพ้นบ้านเสียงประกาศของพ่อเลี้ยงก็ดังชัด
‘ผมจะยื่นคำร้องคัดค้าน ผมเป็นสามีของน้ำค้างผมมีสิทธิ์!’

‘ครับ ผมเองก็ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกให้คุณพฤกษ์เรียบร้อยแล้วเหมือนกันครับ’ เกียรติภูมิว่าแล้วก็ลากพฤกษ์ออกไปโดยก่อนจาก รุ่นพี่ตบไหล่เขาเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจพร้อมปลอบว่า

‘คุณพฤกษ์ไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ มรดกส่วนที่เป็นของคุณพฤกษ์เป็นสินส่วนตัว ผมบอกแล้วว่าคุณน้ำค้างท่านรอบคอบ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร เดี๋ยวเรื่องทางกฎหมายผมช่วยจัดการให้คุณพฤกษ์เอง’

พฤกษ์ยิ้มชืดๆให้อีกฝ่าย ความรู้ในตอนนั้นของเขาคือยินดีแต่คละเคล้าด้วยความงุนงงแกมเศร้าใจ
‘ผมเชื่อมือพี่ภูมิอยู่แล้วล่ะครับเรื่องนี้ และข้าใจความหมายคำพูดของพี่ภูมิแล้วด้วยว่าพี่ภูมิพยายามจะบอกอะไรเกี่ยวกับคุณแม่’ เขาเว้นจังหวะด้วยลมหายใจยาวก่อนเอ่ยต่อ ‘แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากได้ความรักของท่านในรูปนี้หรอกนะครับ’

เกียรติภูมิไม่กล่าวอะไรอีกนอกจากตบบ่าอีกฝ่ายแทนคำลา ปล่อยให้พฤกษ์คิดอะไรเพียงลำพังพร้อมกันนั้นก็เริ่มมีเพื่อนฝูงที่ยังติดต่อกันแวะเวียนมาทักทายหลังจากไม่พบกันเนิ่นนาน
“เฮ้ย คิดอะไรเพลินเชียว อย่าเพิ่งหลับเชียวนาพฤกษ์” เสียงจากคนขับรถปลุกภวังค์ความคิดทำให้พฤกษ์ปรือตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มและหันไปมองเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมที่ประกอบอาชีพนายหน้าค้าที่ดินมือดีคนหนึ่งในปัจจุบันเมื่อตอบ

“เปล่า หลับตาคิดอะไรเพลินๆเฉยๆ ไม่ทันหลับหรอกน่า”

“เออดีแล้ว ใช้ได้ที่ไหนมาดูที่ดินกับพ่อค้าแล้วมานั่งหลับเขาไม่มีหรอก” บุรีว่า เขาอยู่ในเสื้อผ้าที่แม้จะเรียบๆแต่ก็ดูสุภาพตามแบบหนุ่มทำงานโดยทั่วไป วงหน้าค่อนไปทางเชื้อสายจีนมีรอยยิ้มอารมณ์ดีประดับเมื่อเอ่ยต่อว่า

“เอ๊ะ หรือว่าไม่หลับมัวคำนวณตัวเลขวะ อย่านาเว้ย เพื่อนกันแท้ๆ”

พฤกษ์หัวเราะตามอย่างอดไม่ได้ บุรีเป็นคนมีอารมณ์ขันมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นฝ่ายประสานงานกิจกรรมต่างๆมาตั้งแต่สมัยเรียน ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจนักเมื่อเห็นเพื่อนโลดแล่นอยู่ในอาชีพนี้

ชายหนุ่มแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นบุรีโผล่หน้ามาหาเขาเมื่อวันก่อน แม้จะยังมีข่าวคราวเพื่อนร่วมรุ่นแต่ละคนพอให้ทราบกระนั้นการที่อีกฝ่ายมาโดยไม่บอกก็ถือเป็นเรื่องประหลาดอยู่ดี

มาถึงบางอ้อเอาเมื่อหลังการทักทายพอเป็นพิธีสองสามคนบุรีก็แจ้งธุระว่ามีคนสนใจที่ดินผืนหนึ่งแถวราชบุรีซึ่งเป็นที่ดินของเขา

‘รู้จากพี่ภูมิแกน่ะ มีคนเขาอยากได้ที่ดินแถวๆนอกเมืองราชบุรีไปหน่อย เลยนึกถึงแกขึ้นมาได้สนใจเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นตัวเลขไหมเพื่อน?’

ราชบุรีเป็นบ้านสวนดั้งเดิมตั้งแต่สมัยปู่ทวดของพฤกษ์สืบต่อลงมาก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวด้วยการขยับขยายที่ดิน พฤกษ์จึงไม่ค่อยแปลกใจนัก กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ปลงใจขายให้อีกฝ่ายทันทีทันใด หากทนการคะยั้นคะยอจากเพื่อนสนิทไม่ไหว ลงท้ายพฤกษ์จึงยอมขึ้นรถเก๋งกะทัดรัดมายังบ้านเดิมที่ไม่ได้กลับมาหลายปี

สองข้างทางเริ่มปรากฏอย่างเลือนรางในความทรงจำ และพฤกษ์ก็แน่ใจว่าบุรีหมายถึงที่ดินผืนใดเมื่อเขาเลี้ยวรถเข้าไปในถนนสายเล็กๆจากทางหลวงนั้น

ขับมาได้เพียงครึ่งชั่วโมง บ้านทรงไทยภาคกลางยกพื้นสูงเล็กน้อยก็ปรากฏแก่สายตา มะยมต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านพื้นด้านล่างมีลูกตกประปราย ใกล้ๆกันเป็นต้นมะขามต้นย่อมกว่ามะยมเล็กน้อยไม่ไกลจากตัวบ้านที่สร้างด้วยไม้อย่างดี แม้จะแลดูเก่าเพราะขาดคนดูแลทว่าสภาพโดยทั่วไปยังดี

พฤกษ์มองบ้านหลังนั้นนิ่งราวจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่ในความทรงจำเขา ขณะวิญญาณความเป็นนายหน้าเริ่มเข้าสิงบุรี

“เออ ทำเลพอใช้แฮะเอาไปขายพวกอยากได้บ้านตากอากาศนี่น่าจะกำไรดี” ชายหนุ่มชะโงกหน้าจากหน้าต่างรถ หากไม่เปิดประตูรถไปเพราะหญ้าที่ขึ้นเป็นหย่อมสูงเกือบท่วมเข่าจนไม่น่าไว้ใจ “แถวนี้มีแม่น้ำนี่เดินไปอีกหน่อยจากหลังบ้านก็ถึงแม่น้ำแล้ว ลมคงเย็น....”

พฤกษ์ขัดจังหวะการร่ายยาวของเพื่อนด้วยประโยคสั้นๆ
“ไม่ขาย”

บุรีหดหัวกลับเข้ามาในรถ เลิกคิ้วขึ้นแต่เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉยบนวงหน้านิ่งๆนั้น มีเพียงดวงตาที่ทอดมองบ้านหลังนั้นนิ่งงัน ก่อนเอ่ยต่อโดยไม่หันกลับมาว่า

“ลูกค้าแกเขาจะเอาหรือ มันไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ไม่ใช่หรือ ไม่ลองมองหาที่ติดๆถนนใหญ่ดูล่ะ”

“ก็......เฮ้ย เราเพื่อนกันฉันก็ต้องนึกถึงเพื่อนก่อนไงแต่ถ้าแกไม่อยากขายเอาจริงๆก็ได้ แต่คนนี้เขาเงินหนักนะ...”

“ฉันไม่ขายหรอก” พฤกษ์ยืนยันคำเดิม

มุมปากของบุรีปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อเอ่ยเป็นทำนองกึ่งกระเซ้า
“เฮ้ย มันก็แน่ล่ะสิ เห็นพี่ภูมิบอกอยู่ว่าแกเพิ่งได้มรดกมาหลาย แค่นี้ไม่สนหรอกใช่ไหมวะ”

พฤกษ์ผ่อนลมหายใจสั้นๆ เหลือบตามองเพื่อนสนิทแต่สำเนียงยังเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์ใด
“แกก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น ออกรถเหอะ หน้าฝนอย่างนี้เดี๋ยวฝนตกจะลำบากเมฆชักจะครึ้มมาแล้วด้วย”

บุรียักไหล่เข้าเกียร์ตามคำบอกอีกฝ่ายแต่โดยดีปากก็ว่า
“เฮ้อ ไอ้ฉันก็ไม่มีวาสนาบุญหล่นใส่อย่างแกเสียด้วยสิ ไม่งั้นจะนอนตีพุงไม่มาวิ่งรถไปมาอย่างนี้หรอก”

พฤกษ์นิ่ง....คร้านจะเอ่ยถึงเรื่องราวที่กำลังจะกลายเป็นคดีความที่มาพร้อมมรดกด้วยฝีมือของปรานต์ ได้แต่ยกนาฬิกาข้อมือเหลือบดูเห็นเวลาเกือบบ่ายโมงเลยถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องเสียว่า

“จวนบ่ายแล้วเข้าตัวเมืองไปหาอะไรกินกันก่อนกลับกรุงเทพฯดีกว่า ฉันจำได้ว่ามีร้านอร่อยๆอยู่หลายร้านเหมือนกันไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่า”

บุรีเหลือบตามองเวลาบ้างก่อนเห็นจริงที่อีกฝ่ายว่าจึงพยักหน้า
“เออจริง พอโดนทักเลยหิวขึ้นมาเหมือนกัน เอ้าไปก็ไป แต่แกจะยังจำทางได้เหรอว้า ขนาดมาทางนี้ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยนี่หว่า”

พฤกษ์หัวเราะเบาๆแทนคำตอบขณะที่บุรีเร่งเครื่องขึ้นเล็กน้อย จึงกลับออกไปบนถนนใหญ่ได้เร็วกว่าตอนเข้าเล็กน้อย

ที่ดินของพฤกษ์ตั้งอยู่ก่อนถึงตัวเมือง ถ้าหากจะเข้าไปในเมืองราชบุรีแล้วต้องขับผ่านถนนเลี่ยงเมืองไปจนเจอสี่แยกเสียก่อน ชายหนุ่มบอกเพื่อนสนิทไว้ส่วนตัวเองมองวิวข้างทางไปเรื่อย

ไกลลิบไปบนท้องฟ้าเมฆสีครึ้มเคลื่อนคล้อยบ่งบอกว่าอาจมีฝนตกลงมาบ้างตามสภาวะอากาศที่บางครั้งไม่แน่นอนของเมืองไทย จากในรถพฤกษ์เห็นใบไม้ขยับไหวคงจะเพราะแรงลมทั้งจากธรรมชาติและเครื่องยนตร์ แต่ดีที่ต้นไม้แถวนี้ส่วนมากมักจะเป็นพืชที่ค่อนข้างทนทานต่อสภาพต่างๆจึงไม่น่าห่วงเท่าไร

หากไม่ทันไรพฤกษ์ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อจากที่ไกลเขาเหมือนจะเห็นกระถางต้นไม้และถุงต้นไม้เล็กๆตั้งเรียงราย
“แถวนี้มีร้านต้นไม้ด้วย ฉันไม่ยักจำได้” เขาปรารภเบาๆกลางความเงียบในรถนั้นอย่างเรื่อยเปื่อยมากกว่าจะต้องการคำตอบรับจริงจัง

แต่บุรีกลับแล่นรถไปจอดพลางเอียงศีรษะมองด้วยความตื่นเต้น
“เออจริงด้วย คราวที่มาทีไรฉันก็ไม่ได้เข้าตัวเมืองเพราะส่วนมากดูแต่ที่ดินแถบอื่นเลยเพิ่งเห็น เฮ้ย พฤกษ์” เขาโบกมือไล่เพื่อน “เขยิบๆให้ฉันดูหน่อยสิว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง”

พฤกษ์เพียงขยับเอนกายพิงกับเบาะรถให้บุรีเขม้นตามองผ่านกระจกรถ ขณะที่ตัวเขาเองก็กวาดตาสำรวจเช่นกัน

เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นร้านนี้หรือไม่ ทั้งที่ดูแล้วน่าจะเป็นร้านใหญ่พอดู มีต้นเรียงกันอยู่เป็นจุดๆทั้งต้นเล็กๆในถุงดำสำหรับเพาะพันธุ์ไปจนถึงไม้ประดับต้นใหญ่ถูกตัดแต่งกิ่งไว้อย่างสวยงามชนิดนำไปออกงานโชว์ได้ในทันที

และพืชบางชนิดที่พฤกษ์คิดว่าน่าจะเป็นพวกว่าน....ว่านต่างๆหลากหลายชนิดแต่เขารู้จักเพียงไม่กี่อย่างอยู่ค่อนไปภายในเล็กน้อยจนเกือบใกล้ๆกับบ้านไม้ยกสูงหลังคามุงกระเบื้องตามแบบเรือนไทยภาคกลางแต่ได้รับการประยุกต์เห็นได้จากแสงสะท้อนจากกระจกหน้าต่างนั้น

บุรีดับอุทานบางคำที่พฤกษ์ฟังไม่ถนัดพร้อมดับเครื่องยนต์ลงทันที
“อ้าว” พฤกษ์หันมามองเพื่อน “นั่นจะลงไปดูหรือ ไม่ยักรู้ว่าแกสะสมต้นไม้”

“ก็นิดหน่อยแหละ...แรกๆมีคนให้มาแล้วได้มามันก็...ดีจริงๆ ฉันเลยเริ่มควานหามาสะสมเรื่อยๆไง”

ชายหนุ่มพูดขณะถอดเข็มขีดนิรภัยมองซ้ายขวาก่อนก้าวลงจากรถทำให้พฤกษ์ต้องก้าวตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

ชั่ววูบของความคิดที่เขาเหมือนจะนึกถึงผู้เป็นพ่อเลี้ยงของตนเองอย่างประหลาดยามทอดสายตามองเพื่อนผู้ล็อกรถเรียบร้อยแล้วก้าวปราดๆมายืนดูต้นไม้ด้วยความสนอกสนใจละม้ายกับนายปรานต์ยามทอดตามองดูบรรดาต้นไม้ของเขา

เมื่อเดินผ่านช่องที่ทำเป็นทางเดิมระหว่างต้นไม้พฤกษ์เพิ่งสังเกตว่าที่นี่มีการออกแบบไว้แล้วเพราะบางส่วนเป็นต้นไม้ที่อยู่ในที่ๆแดดส่องไม่ถึงและยังมีผ้ากันแดดคลุมไว้อีกชั้นหนึ่งบอกความรอบคอบ
“โอ้โห” เสียงอุทานจากเพื่อนหนุ่มเรียกความสนใจให้พฤกษ์ก้าวเข้าไปสมทบ

เบื้องหน้าอีกฝ่ายเป็นกระถางต้นไม้จัดเรียงไว้เป็นชั้น พืชพันธุ์ส่วนใหญ่ที่ตั้งวางอยู่คือว่าน....

พฤกษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะบุรีมีทีท่าตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
“มีเยอะจริงๆเลยพับผ่าสิ แถมแต่ละต้นงามๆทั้งนั้นด้วยนะ”

“แกเล่นว่านกับเขาด้วยหรือ” ชายหนุ่มถามเสียงแปร่งไปเล็กน้อยแต่อีกฝ่ายไม่สังเกตจึงตอบไปว่า
“เออสิ ถึงจะเพิ่งเริ่มก็เถอะ ฉันว่าได้เงินจากงานใหม่มานี่ว่าจะซื้อไปลงอีกสักหน่อยเหมือนกัน”

พฤกษ์ขยับปากจะพูดบางอย่างแต่ลงท้ายก็เปลี่ยนใจเป็นนิ่งเสีย บอกตัวเองว่าเมื่อเป็นงานอดิเรกส่วนตัวของแต่ละคนเขาก็ไม่มีสิทธิ์ว่า ....ขอเพียงอย่าให้ถึงขั้นแบบที่เขาเคยพบเลยแล้วกัน!

คิดได้ดังนั้น ขณะที่บุรีพึมพำและก้มๆเงยๆดูว่านที่เขาสนใจ พฤกษ์จึงฉากหลบออกมาเสีย และเดินเข้าไปภายในตั้งใจจะดูต้นไม้และมองหาเจ้าของร้านแห่งนี้ไปพร้อมๆกัน

กลิ่นหอมล่องลอยมาปะทะจมูกพร้อมลมเย็นหอบละอองความชื้นมาด้วย แดดหรี่แสงลงไปพอให้พฤกษ์เดินไปหยุดยังต้นที่เขาคิดว่าเป็นที่มาของกลิ่นหอม พร้อมก้มลงมองป้ายเล็กๆที่ปักอยู่
การะเกด...

พฤกษ์มองใบอ่อนที่หุ้มเกสรสีเหลืองของการะเกด เขาชอบดอกไม้ไทยมากกว่าดอกไม้จากต่างประเทศที่นิยมกัน อาจจะเพราะที่บ้านเดิมเขาเคยชินกับกลิ่นดอกไม้ไทยแบบเดียวกับบิดาของเขาก็เป็นได้

หากแล้วกลิ่นบางอย่างก็เริ่มลอยมาปะปน กลิ่นเหม็นเอียนบางอย่างที่ละม้ายอะไรเน่าๆ พฤกษ์สูดลมหายใจเข้าพลางมองซ้ายขวาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้นแต่จู่ๆกลับเหมือนกลิ่นนั้นจางหายไปเฉยๆ

เสียงบางอย่างแว่วมาในหู ไม่ดังนักแต่ก็ได้ยินชัดทั้งที่มีเสียงรถแล่นผ่านไปอยู่ชวนให้พฤกษ์ต้องมองไปรอบๆอีกครั้ง

เสียงซุบซิบ....

ลมยังโชยอ่อนๆให้ใบไม้เสียดสีกันไปมา พฤกษ์เงยหน้าขึ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเสียงนี้ก็ได้พาให้เขาเข้าใจไขว้เขวไป

เสียงอีกเสียงแว่วขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่แจ่มชัดราวดังขึ้นในสมองของเขาโดยตรง

เสียงละม้ายคนชราหัวเราะเหอๆด้วยความขบขัน

คราวนี้พฤกษ์ไม่ได้กวาดตามองไปทิศใด เพราะกระถางต้นไม้หนึ่งสะกดสายตาของเขาไว้โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน

กระถางดินเผาสูงครึ่งฟุต มีดินสีดำอุ้มน้ำ ใบสีเขียวเข้มเป็นวงกลมแลดูหนาส่วนปลายเป็นติ่งแหลมโผล่พ้นจากพื้นดินไม่มากนักจะด้วยลมหรืออะไรก็ตามทีใบนั้นไหวระริกจนฟังดูเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวเราะที่พฤกษ์ได้ยินไม่ผิดเพี้ยน

เขาสาวเท้าเข้าไป พร้อมก้มหน้าลงไปพิจารณาอย่างอดไม่อยู่
“สนใจหรือคะ”

เสียงใสกังวานฟังไพเราะดังฟังชัดอย่างประหลาดไม่แพ้เสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ราวเจ้าของเสียงมายืนอยู่ใกล้ๆจนพฤกษ์ยืดตัวขึ้น

แลไปเบื้องหน้า ที่บันไดไม้นั่น ร่างโปร่งบางของสตรีผู้หนึ่งยืนสงบนิ่ง ท่อนแขนกลมกลึงข้างหนึ่งทิ้งลงข้างตัวส่วนมือเรียวอีกข้างเอื้อมไปจับหัวบันไดทรงกลมไว้ในด้วยท่าทีสบายๆ

เรือนผมสีดำแต่ทอประกายเหลื่อมน้ำตาลยาวเลยบ่าไปเล็กน้อยพลิ้วไหวเมื่อร่างนั้นขยับกายในชุดเสื้อและกางเกงขายาวสีอ่อนจางแทบจะเป็นสีขาวลากเท้าเอื่อยๆเดินตรงมาที่เขาช่วยให้พฤกษ์แลเห็นโครงหน้ารูปไข่รับกับดวงตายาวรีสีน้ำตาลอ่อนจาง จมูกโด่งเชิด กับริมฝีปากอิ่มสีชมพูเรื่อที่มีรอยยิ้มน้อยๆปรากฏอยู่

เมื่อร่างบางมามาหยุดที่อีกฟากกระถาง จมูกพฤกษ์เหมือนจะสำเหนียกกลิ่นดอกไม้ไทยบางชนิดอ่อนจางจากร่างหล่อนได้ ปลายนิ้วเรียวกับเล็กสีชมพูตัดสั้นอย่างดีก้มลงไปแตะกระถางนิดๆก่อนพูดกับพฤกษ์ด้วยคำเดิมพร้อมอธิบายเพิ่ม

“สนใจหรือคะ เขาเรียกว่าว่านนางคุ้มค่ะ แต่บางที..” หล่อนเว้นจังหวะด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ “บางทีก็เรียกกันว่าว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้านค่ะ สรรพคุณก็ตามชื่อเลยค่ะ เขาปลูกไว้เฝ้าบ้านกับสำแดงอะไรดีๆเวลาเจ้าของบ้านไม่อยู่แล้วมีใครมา”

จบ "ทดลองอ่าน"


สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซค์ของสนพ.ได้เลยค่ะ
//www.fine-book.com/web/bookview.php?id=79



Create Date : 11 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2550 4:01:41 น. 0 comments
Counter : 878 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มณีมัญชุ์
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




รอยรัก สลัก ในดวงจิต


รอยโศก ฝังลึก ตรึงตา


ผลงานของมณีมัญชุ์













Friends' blogs
[Add มณีมัญชุ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.