Group Blog
 
 
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
2 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
พาราณสี: มหัศจรรย์เขาวงกต

ประตูสู่สวรรค์ กับ มหัศจรรย์เขาวงกต
“พาราณสี*เก่าแก่กว่าประวัติศาสตร์ เก่าแก่กว่าขนบธรรมเนียมประเพณี
เก่าแก่กว่าแม้แต่ตำนาน
และยังดูเหมือนว่าเก่าแก่กว่าทั้งหมดรวมกันสองเท่า”
(มาร์ค ทเวน)






[*แต่เดิม ชื่อเมืองพาราณสีตามภาษาอังกฤษนั้นเขียนกันว่า Benares หรือ Banares จนกระทั่งอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ จึงได้มีการเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Varanasi (เพี้ยนมาเป็นพาราณสีตามสำเนียงคนไทย) เช่นเดียวกันกับแม่น้ำคงคาทางฝั่งตะวันออกของเมืองที่เคยเขียนว่า Ganges ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Ganga ตรงกับภาษาดั้งเดิม Varanasi นี้มีความหมายว่าเมืองซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสายคือ Varuna ทางทิศเหนือและ Assi ทางทิศใต้นั่นเอง]


...สองพันกว่าปีที่แล้ว หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ที่พุทธคยา ท่านทรงทราบทางจิตว่าปัญจวัคคีย์ทั้งห้านั้นพำนักอยู่ที่เมืองนี้ พระองค์จึงทรงมุ่งหน้ามาจนถึงป่า “อิสิปตนมฤคทายวัน” (อยู่ใน สารนาถ ชานเมืองพาราณสี) ในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 8 คราวแรกนั้นนักบวชทั้งห้ายังไม่ยอมเชื่อคำใดๆ พระองค์จึงทรงรอให้บรรดาสานุศิษย์เหล่านั้นบรรเทาโทสะลงเสียก่อน
กระทั่งวันรุ่งขึ้น ท่านจึงได้แสดงปฐมเทศนาที่เรียกกันว่า “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ให้เป็นที่ประจักษ์ โดยพระโกณฑัญญะได้บรรลุโสดาบันและขอบวชเป็นองค์แรกในพระพุทธศาสนา ติดตามมาด้วยพระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะและพระอัสสชิตามลำดับ ภายหลังเมื่อปัญจวัคคีย์ทั้งห้าได้สดับฟังพระสูตรอื่นๆ ต่อไป ทั้งหมดก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างอัศจรรย์ภายในวันเดียว
ดังนั้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ของทุกปีจึงถือว่าเป็นวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธศาสนาถึงพร้อมด้วยพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...

หลังจากนอนมาราธอนบนรถไฟชั้นสอง ออกจากเมืองนิวเดลีในราคา275รูปีมาถึง16 ชั่วโมงจนหนำใจ ผมกับสหายที่ร่วมเดินทางต่างก็ทุลักทุเลเดินเขย่งปลายเท้าหลบอึ แทรกตัวเบียดผู้คน รถเข็น รถไส จักรยาน มอเตอร์ไซคล์ วัว แพะและอูฐออกมาจากสถานีรถไฟพาราณสีจนได้ในที่สุด

สุดท้าย เมื่อได้เดินวนหาวิธีไปเกสต์เฮ้าส์สวยๆ อยู่นานสองนาน คุณลุงคนหนึ่งก็ยิ้มหวานเคี้ยวหมากตุ้ยๆ มาเชิญชวนให้ไปใช้บริการ Auto Rickshaw หรือรถสามล้อเครื่องสีขาวของแกอย่างมีไมตรี ราคา 30 รูปีนี้น่าสนใจจนผมต้องกระโจนเข้าใส่และรีบขึ้นนั่งก่อนที่แกจะเปลี่ยนใจ
‘ใจดีอย่างนี้ จะหาได้ที่ไหนอีกหนอ’ ผมคิด

คิดไปคิดมา ดูเหมือนว่าคน สัตว์และสิ่งของบนถนนดูสับสนวุ่นวายมากกว่าเมืองไทยหลายสิบเท่า ใครขับขี่หรือเดินไม่เก่งอย่าได้ริอาจมาเตร็ดเตร่แถวนี้เลยเชียว หวาดเสียวอย่าบอกใคร ยิ่งไปกว่านั้น รู้สึกพี่ๆ อินเดียนเขาจะไม่ค่อยยึดติดกับวัตถุภายนอกกันสักเท่าไร ปาดซ้ายปาดขวา สะกิดหน้าสะกิดหลังกันหน่อย ไม่มีใครถือสาหาความใคร บาดแผลที่ภายนอกตัวรถก็เลยถลอกปอกเปิกให้เห็นกันแทบทุกคัน

คันสีขาวขุ่นๆ ที่เรานั่งมาก็ไม่ต่าง ตุ๊กตุ๊กในเมืองไทยทุกคันสามารถเรียกมันว่าทวดได้อย่างไม่อายผู้โดยสาร
ผู้โดยสารสามเกลอทำหน้าตื่นๆ นั่งลุ้นตัวโก่งกันมาพักใหญ่ คุณลุงแกก็จอดเอาดื้อๆ ที่ริมทางในซอกเล็กๆ ซอกหนึ่ง ผมกับเพื่อนก้าวลงจากรถอย่างหวาดๆ ด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นหมูตุ๋น โดนคุณลุงหลอกมาขาย

ขายอะไรก็ขายไป แต่อย่าทำอะไรพวกหนูเลย!
เลยหัวมุมตึกที่สองไปเล็กน้อย เหมือนลุงแกจะรู้ทัน แกจึงรีบหันมาปลอบว่า “ทำใจให้สบายเถอะ แล้วเดินตามผมมา”

มาถึงซอยเล็กๆ เลี้ยวเข้าซอยลับๆ ขยับเท้าเข้าไปในซอกจิ๋วๆ ตลอดทางที่เดินตามลุงแกไปนั้นอารมณ์ประมาณเขาวงกตก็มิปาน ต่อให้ผู้ชำนาญทิศทางจากแดนไหนมาเดินเดี่ยวๆ ที่นี่มีหวังได้หลงเป็นวัน หารู้ไม่ว่าเส้นทางอย่างนี้ล่ะเป็นที่เลื่องลือชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลกเลยทีเดียว เพราะการจะวางผังเมืองให้ได้เส้นทางวกวนอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องใช้ความดันทุรัง ประกอบกับการถูลู่ถูกังและนั่งทางในออกแบบด้วยความอดทนเหลือหลาย Lonely Planet หนังสือนำเที่ยวยอดฮิตยังต้องยกนิ้วให้ด้วยความอาย ไม่กล้าเอาแผนที่รายละเอียดของตัวเมืองมาใส่เอาไว้ด้วยประการฉะนี้





“นี้คือ Ganpati Guest House อันมีชื่อเสียง” สถานที่อีกแห่งที่คุณลุงแนะนำ

นำทางซอกซอนแวะเลือกที่พักให้ได้ดั่งใจพวกเราจนเมื่อยขา ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว คุณลุงก็เร่งเร้า พวกเราจึงตกลงใจกันว่าจะมาพักที่นี่ ริมฝั่งแม่น้ำคงคาในวงเงิน350รูปีพร้อมแอร์ที่สามารถแลเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล เห็นคุณลุงรีบโฉบไปที่โต๊ะบัญชีของบ้านพักพร้อมคว้าเบี้ยค่านายหน้าใส่กระเป๋าแล้วจึงไม่แปลกใจ ว่าทำไมค่าโดยสารของแกจึงได้ถูกนัก

นักเดินทางสมัครเล่นสองคนพร่ำบ่นว่าอยากล่องเรือไปตามคงคามหานทีไม่ขาดปาก สหายอีกคนก็จูงมือเด็กชายวัยซนสองคนเดินเข้ามาหา พร้อมบอกว่าพวกเขาอาสาจะพายเรือพาเที่ยวแม่น้ำด้วยตัวเอง เมื่อเห็นทำสายตาไม่ศรัทธาในเด็กผู้ชายอกหนึ่งศอก พวกเจ้าหนูจึงเดินรี่เข้ามาหาผม

“ผมชื่อ มานิช (Manish 12)” เด็กหน้ามนคนแรกยิ้มแป้น ยื่นมือออกมาจับกับผม

“ผมชื่อ บาบู (Babu 13)” เด็กชายอีกคนซึ่งผิวคล้ำและดูขรึมกว่าแนะนำตัว

แนะนำตัวกันอีกครู่หนึ่ง จึงได้รู้ว่าสหายผมคนนี้นึกสนุก อยากท้าทายพลังอันลึกลับของเขาวงกต จึงอุตริเดินเล่นเข้าไปในใจกลางเมืองโดยไร้เข็มทิศจนหาทางออกไม่เจอ ไปพบเอาเจ้าหนูทั้งสองคนนี้กำลังเล่นคริกเก็ตกีฬายอดฮิตของอินเดียกันอยู่ ก็เลยถามทางไป ได้ยินดังนั้นเจ้าหนูก็รีบทิ้งอุปกรณ์กีฬา กุลีกุจอนำทางออกมาสู่ท่าน้ำหน้าที่พักของพวกเราอย่างที่เห็น

“เห็นตัวเล็กอย่างนี้ พี่ๆ ไม่ต้องกังวลกันนะครับ ถ้าหากพวกผมพายไม่ดี บริการไม่ถูกใจ พี่ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าแรงหรือทิปเลยสักรูปีเดียว ตกลงไหม?” หนุ่มน้อยมานิชยิงประโยคเด็ดเข้าให้ จะแข็งใจไม่ใช้บริการอยู่ได้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

แล้วเย็นวันนั้นผมก็เลยได้ล่องเรือพายไปตามแม่น้ำสมใจนึก (คนละอันกับแป้งน้ำสมใจนึกนะจ๊ะ) โดยมีเทวดาตัวน้อยสองตัวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนและช่วยกันพายไปตลอดทาง สำหรับอัตราค่าเช่าเรือของเพื่อนวัยสิบขวบอีกคน (เห็นบอกว่าไม่ค่อยสนิทเท่าไร) ก็เพียง 50 รูปีต่อชั่วโมงเท่านั้น จากที่เคยได้ยินมานั้นตกประมาณ 200 ถึง 300 รูปีต่อชั่วโมงรวมค่าแรง




“แรงดีไม่ใช่เล่นนะเนี่ย” ผมหันไปบอกพรรคพวก
พวกเขาบอกว่าเป็นเพื่อนซี้ซึ่งเรียนหนังสือในระดับประถมด้วยกันที่นี่ แต่ขณะนี้อยู่ในระหว่างปิดภาคเรียน ก็เลยมารับหน้าที่ไกด์เป็นงานอดิเรก จะมีหมู เอ๊ย! ลูกค้าหลวมตัวเดินหลงทิศมาถามทางบ้างบางที (เช่นสหายผมคนนี้ เป็นต้น) แต่บางทีก็ถูกไกด์อาชีพไล่ตะเพิดเอาบ้างก็มี

มีความหวาดหวั่นอยู่บ้างในระยะแรก แต่เมื่อได้ฟังทั้งสองช่วยกันบรรยายอะไรต่างๆ ไปด้วยระหว่างที่พายเรือ ก็ทำให้พวกเราถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทั้งชื่นชมและอึ้งไปในขณะเดียวกัน นอกจากจะน่ารักน่าเอ็นดูและซื่อสัตย์แล้ว ยังมีความรู้เกี่ยวกับพาราณสีมาเล่าให้เราฟังมากเหลือเกิน

เกินกว่าจะรวบรวมได้หมดทุกประโยค แต่เท่าที่จับใจความและเรียบเรียงมาได้นั้น แม่น้ำคงคาที่ล่องเรืออยู่นี้มีสองฟากฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นตัวเมืองและท่าน้ำที่เรียกว่าฆัฎ (Ghat) จำนวนนับร้อย อีกฝั่งหนึ่งเป็นเพียงผืนดินอันแห้งแล้งและโล่งเตียนไปจนสุดปลายสายน้ำ ตามความเชื่อของชาวเมืองนั้นเขาบอกว่าหากสร้างบ้านเรือนอยู่บน ฝั่งสวรรค์หรือฝั่งเทพ แล้วจะมีความสุข ตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ สมหวังในทุกสิ่ง แต่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า ฝั่งนรกหรือฝั่งอสูร นั้นไม่สามารถสร้างบ้านเรือนได้เพราะตายไปจะตกนรก ผิดหวังในทุกสิ่ง

สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ แม่น้ำคงคานั้นปรกติจะไหลลงมาจากทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของเทือกเขาหิมาลัยอันเป็นต้นสายของแม่น้ำ แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศของพาราณสีได้ทำให้แม่น้ำคงคาไหลกลับจากทางทิศใต้ขึ้นไปทางทิศเหนือ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความเชื่อเรื่องแม่น้ำแห่งความศักดิ์สิทธิ์นี้ดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

ขึ้นเหนือมาเนิ่นนาน มานิชเทวดาน้อยได้พายเรือนำพวกเราเข้าไปใกล้ท่าน้ำซึ่งใช้เผาศพชนชั้นวรรณะสูงแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า มณีกรรณิกา (Manikarnika Ghat) ส่วนท่าน้ำเผาศพสำหรับชนชั้นล่างจะอยู่ทางทิศใต้ชื่อว่า หริจันทรา (Harichandra Ghat) นอกจากแบ่งแยกสถานที่เผาศพตามวรรณะที่มีแล้ว ผ้าห่อศพแต่ละสีก็จะบ่งบอกความแตกต่างของชนชั้นได้อีกด้วย

ด้วยเรือพายหลายลำได้เข้ามาจอดผูกติดกันเป็นแพ บางลำเข้ามาเฝ้าดูเหมือนเรา บางลำเป็นเพียงเรือเปล่าที่เฝ้ารอรับลูกค้า ทำให้น้องๆ ทั้งสองสามารถคล้องเชือกพันธนาการเรือของเราเอาไว้นิ่งๆ ได้สะดวกโยธิน ระยะนี้ใกล้พอแล้วที่จะทำให้กลิ่นเนื้อไหม้ปลิวมาแตะจมูก
จมูกน้อยของมานิชขยับฟุดฟิดระคายเคืองก่อนหันมาถาม “อยากเข้าไปใกล้กว่านี้อีกไหม?” ในขณะที่พวกเรากำลังเฝ้าดูพิธีฌาปนกิจอยู่ในความเงียบ

“เงียบน่ามานิช ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไม่ได้อยากเข้าไปช่วยเขาเผา เราแค่อยากดู!” สหายของผมตอบกวนๆ ทำเอามานิชหัวเราะหงายหลังล้มกลิ้งลงไป ส่วนบาบูกำลังกระโดดเล่น ข้ามไปเรือลำนั้นทีลำนี้ที

“ทีแรกนึกว่าพวกพี่จะไม่กลัวซะอีก งั้นดูกันตามสบายนะ อยากไปเมื่อไหร่บอกผมได้ทันที แต่ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด ถ้าพวกเจ้าหน้าที่ข้างบนหันมาเจอเข้า เราจะต้องจ่ายแพงเลยล่ะ” เจ้าหนูกำชับหนักแน่นทิ้งท้ายก่อนจะกระโดดข้ามไปยังเรืออีกลำเพื่อเล่นมวยปล้ำกับเพื่อน

เพื่อนผมชี้ไปยังบริเวณใกล้ๆ กับท่าเผาศพ เขาเล่าว่ามันเต็มไปด้วยเกสต์เฮ้าส์ราคาถูกมากมาย บางแห่งนั้นเป็นที่นิยมที่จะให้ผู้ป่วยซึ่งใกล้จะตายและญาติๆ ได้ใช้พักอาศัย จนเมื่อตายไปจริงๆ ก็จะจัดพิธีเผาทันที โดยจะมีองค์กรหรือเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับค่าจ้างจัดเตรียมทุกอย่างให้เสร็จสรรพ กรณีอย่างนี้ หากเราไปสอบถามหาที่พักตรงกับที่คณะทัวร์มรณะมาเยือนแล้วล่ะก็ รับรองว่าห้องพักเต็มหมด

หมดหรือไม่หมดคงไม่ใช่ปัญหาหรอกกระมังในความคิดของผม แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะกล้าเข้าไปนอนค้างที่นั่นหรือเปล่า เท่านั้นต่างหากเล่า! (บรื๋อ...)

เล่าเรื่องครอบครัวและชีวิตประจำวันของตัวเองได้อีกพักใหญ่ สองเทวดาน้อยก็พายเรือย้อนกลับลงไปทางทิศใต้แบบเฉียดเข้าไปใกล้ฝั่งนรก ทำให้พวกเราเหลือบไปเห็นซากศพลอยอืดอยู่ลิบๆ

“ลิบๆ นั่นน่ะเหรอ? มันเป็นศพพิเศษ” บาบูรีบแย่งเพื่อนซี้อธิบาย

“อธิบายหน่อยสิ อะไรคือศพพิเศษ?” ผมว่า

ว่าแล้วบาบูก็ทำท่าพยายามจะอธิบายแต่ก็อ้ำอึ้ง มานิชทำตาหรี่ใส่อย่างกวนๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนเบาๆ คล้ายเป็นผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กที่ไม่ประสีประสา แล้วจึงเล่าให้พวกเราฟังอย่างคล่องแคล่ว บาบูเกาหัวแกรกๆ อย่างเขินๆ ก่อนจะเบือนหน้ามองไปยังบรรดาศพานุศพ

“ศพทั่วๆ ไปสามารถทำการมัดบนแคร่ไม้ไผ่ นำมาล้างบาปที่ท่าน้ำ เอาไปเผาในกองฟืนข้างบน ก่อนจะลอยเถ้ากระดูกไปตามแม่น้ำอย่างเมื่อสักครู่ แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับศพพิเศษเจ็ดอย่างด้วยกันที่ไม่ให้เผาคือ ศพของสัตว์ ศพของนักบวช ศพของสาวพรหมจรรย์ ศพของคนถูกฟ้าผ่าหรืองูกัดตาย ศพคนที่เป็นโรคเรื้อน ศพคนที่เป็นไข้ทรพิษ...” ถึงตอนนี้มานิชก็ยกนิ้วขึ้นมานับพึมพำๆ โดยมีบาบูช่วยนับ

“นับยังไงก็ไม่ครบ อีกศพนึงก็ลืมไปแล้ว”

“แล้วก็ศพของเด็กอายุไม่ถึงห้าขวบไง!” บาบูพูดอย่างภูมิอกภูมิใจเมื่อนึกขึ้นได้

“ได้ครบเจ็ดประเภทพอดีจริงๆ แฮะ แล้วเขาทำยังไงกับศพพิเศษล่ะ?” เพื่อนผมถาม

“ถามได้ ก็เอามาทิ้งที่ฝั่งนรกนี้นะสิครับ แต่บางทีก็มัดหินถ่วงน้ำกันสดๆ” มานิชตอบเรียบๆ แต่เป็นคำตอบที่ทำให้พวกเราไม่อยากนึกภาพตาม

“ตามน้ำตอนขามาที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือคงไม่เท่าไร ทวนน้ำในขากลับนี้ไม่เหนื่อยบ้างเหรอมานิช?” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกพี่ชาย ผมยังไหวน่า”

“น่า...ให้พี่ช่วยเหอะ เดี๋ยวจะตายซะก่อน ขี้เกียจพาพวกเอ็งไปขึ้นบนแคร่ไม้ไผ่เหมือนอย่างเมื่อกี้” เพื่อนร่วมทางอีกคนไม่เชื่อ

“เชื่อสิครับ ผมสบายมาก!” มานิชตอบพร้อมถลกแขนเสื้อเบ่งกล้ามเท่าลูกมะนาว-อวด “นี่มันเป็นงานหนักเกินไปสำหรับพวกพี่ ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม นักพายเรือตัวจริงนะ เข้าใจ?” เทวดาน้อยฉีกยิ้มตอบทั้งๆ ที่ยังหอบหายใจคล้ายจะเป็นลม

ลมที่โชยพัดยามเย็นสร้างความชุ่มชื่นให้พวกเราพอแล้ว เกรงว่าหากน้องชายเป็นลมไปอีกคนอาจทำให้กลายเป็นพายุบาปที่ติดตัวไปจนตาย ว่าแล้วพวกเราก็ส่ายหัวสลับตัวไปช่วยกันพายทีละคนสองคน ส่วนเจ้าบาบูนั้นไม่ต้องพูดถึง พายได้สองจ้วงก็หมดแรงไปแล้ว!

แล้วสองชั่วโมงก็ผ่านพ้นไป สองเทวดาน้อยพาเรากลับมาถึงท่าเรือเดิมตอนหกโมงครึ่ง






“ครึ่งชั่วโมงหลังเลขหก A half pass six” มานิชอ่านนาฬิกาแบบเข็มที่ข้อมือตัวเอง “เราออกไปกันตอนกี่โมงนะครับ” เขาถาม

“ถามได้ ก็ห้าโมงครึ่งไง” ผมโกหก

“หกโมงครึ่งลบห้าโมงครึ่งมันก็แค่ชั่วโมงเดียวเองนะ ไม่เอาน่าพี่ชาย...” หนุ่มน้อยยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายอย่างเจ้าเล่ห์ บาบูหันมายิ้มเล็กๆ ให้อย่างน่าเอ็นดู

“ดูซิ ล้อเล่นแค่นี้ทำจริงจังไปได้ ทั้งหมดสองชั่วโมงพอดี” ผมว่า

ว่าแล้วพวกเราก็จ่ายค่าเรือให้พ่อแม่ของเพื่อนรุ่นเยาว์อีกคนไปเพียง100รูปีเท่านั้น โดยที่เทวดาน้อยทั้งสองไม่ไถ่ถามหรือทวงค่าแรงของตัวเองเลยสักรูปีเดียว แต่มานิชมากระซิบพวกเราพร้อมชี้นิ้วไปทางเพื่อนอีกคนของเขา ซึ่งเข้าใจว่าเป็นลูกชายของเจ้าของเรือ
ลูกชายเจ้าของเรือคนนั้นทำหน้าตากรุ้มกริ่มไม่ค่อยน่าไว้วางใจ ไม่เหมือนเจ้าสองตัวนี้

“นี้เป็นธรรมเนียมนะ พี่ต้องให้ทิปเขาไปสักหน่อย นิดหนึ่งก็พอ” มานิชและบาบูช่วยกันกระซิบกระซาบแนะนำให้เราทำ

“ทำไมล่ะ? ในเมื่อเขาไม่ได้พายเรือให้พวกเราสักหน่อย” พวกเราโวยวาย แต่เด็กทั้งสองคะยั้นคะยอ เหรัญญิกประจำกลุ่มจึงจ่ายไปยี่สิบรูปีอย่างเสียมิได้ นึกไปแล้วก็น่าสงสัย

สงสัยว่านั่นจะเป็นเงินใต้โต๊ะของเด็กๆ ที่เลียนแบบมาจากผู้ใหญ่ ยิ่งเติบโตขึ้นไปก็คงไม่วายที่จะต้องเลียนแบบพฤติกรรมแบบนี้มากขึ้น

ขึ้นจากเรือได้เป็นที่เรียบร้อย สองเทวดาตัวจ้อยก็พาพวกเราเดินหายเข้าไปภายในตึกร้างที่มืดทึบแห่งหนึ่ง ให้อารมณ์คล้ายอยู่ในอุโมงค์ที่ไหนสักแห่งที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง กลิ่นอับและกลิ่นอึผสมปนเปจนระคายนาสิกประสาท

ประสาทรับกลิ่นเสื่อมลงจนสะใจ เดินขาอ่อนออกจากอุโมงค์ได้อย่างโล่งอกก็ลัดเลาะไปตามเขาวงกตที่ไม่เคยรู้สึกคุ้นเคย ซอกซอนไปตามซอยเล็กๆ ที่ดูขรุขระและมีทีท่าว่าจะไม่เคยสร้างเสร็จ มีขยะและมูลสัตว์กระจัดกระจายตามรายทาง หากเดินไม่ระวังมีหวังเหยียบเข้าไปเต็มๆ

“เต็มไปด้วยขี้ก็จริง แต่มันก็เต็มไปด้วยความขลังค์แปลกๆ นะพี่ว่าไหม?” สหายน้องคนหนึ่งเปรยขึ้นขณะเลาะเลี้ยวอย่างงุนงงจนไปถึงวัดทอง

วัดทองหรือวัดวิศวนาถ (Golden Temple or Vishwanath Temple) เป็นวัดของศาสนาฮินดูที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในพาราณสี ตามประวัติบอกว่าที่นี่คือวัดที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากมีกองทัพมุสลิมเข้ามาทำลาย ในยุคเดียวกันกับพระเจ้าออรังเซบซึ่งฝักใฝ่และอุ้มชูศาสนาอิสลามโดยตรง

“ตรงนี้ห้ามถ่ายรูปนะ” มานิชเอื้อมมือมาจับแขนของผมขณะที่กำลังยกขึ้นพร้อมกดชัตเตอร์ “นอกจากห้ามคนนอกศาสนาเข้าแล้วเขายังห้ามถ่ายรูปด้วย ตามผมมาทางนี้เร็ว” พูดเสร็จก็วิ่งนำขบวนขึ้นบันไดแคบๆ ไปจนถึงชั้นสามของตึกฝั่งตรงข้าม

“ข้ามมาฝั่งนี้ถึงถ่ายรูปได้” เด็กชายนำพวกเราไปยืนติดลูกกรงเหล็กที่หน้าต่าง

“ต่างจากข้างล่างตรงไหนวะ อยู่ๆ ขึ้นมาบนบ้านของเขาอย่างนี้ เจ้าของบ้านเขาจะไม่ว่าเอาเหรอ?” ผมถามอย่างเป็นกังวล

“กังวลทำไมกันเล่าพี่ชาย เราขึ้นมาได้เสมอ” บาบูยืนยันก่อนจะวิ่งไปซนอีกห้อง

ห้องนี้ทำให้ผมสามารถชื่นชมยอดเจดีย์ที่เขาบอกว่าทำด้วยทองคำทั้งหมด800กิโลกรัมอันเป็นที่มาของชื่อวัดได้ไม่ชัดเจนนัก จึงเลิกให้ความสนใจและหันกลับมามองข้างในห้องอีกครั้ง ก็ให้ถึงกับหัวใจหล่นวูบ เมื่อพบว่าแผงขายผ้าขนาดย่อมวางตระหง่านอยู่ที่นั่นโดยไม่ทันได้สังเกตตอนขึ้นมา

มาเป็นหมูให้แขกเชือดเข้าจนได้นะคนไทยเอ๋ย! ที่แท้ เจ้าเด็กพวกนี้ก็เป็นนายหน้าพาพวกเราเข้ามาซื้อของ ไม่ต่างอะไรกับบรรดาไกด์ในบริษัททัวร์ที่ไร้หัวใจทั่วไป

ไปๆมาๆ เพื่อนร่วมทางของผมต่างตรงเข้าไปหยิบจับและเลือกลวดลายของผ้าผืนต่างๆ อย่างสบายอารมณ์โดยอาจไม่นึกเฉลียวใจในความไม่ชอบมาพากลของที่นี่ แต่ในขณะที่ผมจะเดินเข้าไปเล่าความคิดของตัวเองให้สหายน้องทั้งสองฟัง เจ้าเทวดาน้อยทั้งสองตัวก็วิ่งเข้ามาแทรกและกระซิบบอกพวกเรา

“เราอย่าซื้อของที่นี่กันจะดีกว่านะครับ เพราะว่ามันแพงกว่าในตลาดมากเลย!” ได้ยินดังนี้แล้วผมแทบอยากจะร้องไห้

ให้ตายสิ! พี่ขอโทษที่ปรักปรำพวกเอ็งนะน้องรัก...

รักจะเดินทางต้องรู้จักดูแลท้อง เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม หน้าของทุกคนก็เริ่มมืดตาม เนื่องเพราะความหิว
หิวไป หาเส้นทางไป สองหนุ่มน้อยที่พาเราหลงทางไปหลายช่วงตึกก็พาไปทานอาหารกันที่ร้าน Ganja Fuji ได้ในที่สุด ว่ากันว่าในช่วงเทศกาล (ตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงปีใหม่) ที่นี่จะมีดนตรีคลาสสิกของอินเดียแสดงให้ชมฟรี มาคราวนี้แม้ไม่มีดนตรีสด แต่ก็นับว่าไม่เสียเที่ยว เพราะอาหารอร่อยถูกปากและราคาไม่แพงอย่างที่คิด

คิดกันว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือพ่อค้าหน้าเลือดมาได้แล้วเชียว หลังอาหารมื้อนั้น นายบิ๊กกี้ซึ่งเป็นอาของน้องบาบูได้เชิญพวกเราให้แวะไปเยี่ยมชมและดื่มชาที่ร้านค้าของเขา แรกๆ ก็เอ่ยว่าอยากให้ไปนั่งเล่นเพราะเห็นเป็นเพื่อนกันกับหลาน คุยไปคุยมากลับออกอาการให้พวกเราช่วยอุดหนุนเข้าจนได้ หากจะถามว่าผ้ากาสีอันเลื่องชื่อเมื่อซื้อที่นี่ราคาถูกไหม ก็คงต้องตอบว่าถูกที่สุดในอินเดียแล้ว แต่ในเมื่อพวกเราไม่ต้องการแล้วยังถูกลากให้เข้ามาตกที่นั่งลำบากอย่างนี้แล้ว คนไทยขี้เกรงใจจะรับมือไหวหรือนี่?

“นี่ๆ ไม่ต้องซื้อนะพี่ ถ้าหากไม่ชอบหรือไม่อยากได้น่ะ โอเค๊?” เทวดาตัวน้อยยังคงขยับตัวเข้ามากระซิบอย่างเป็นห่วงเป็นใย ดูจากสีหน้าและแววตาแล้ว พวกเขาคงอึดอัดไม่น้อยไปกว่าเราสักเท่าไร แต่อาจจะเป็นเพราะประโยคนี้กระมังที่ทำให้สหายคนหนึ่งตกลงใจควักกระเป๋าอุดหนุนไปในที่สุด

สุดท้ายของโปรแกรม หลังจากออกจากร้าน ไปแวะละเลียดชาริมทางอย่างหอมหวานแล้ว เทวดาน้อยทั้งสองก็มาส่งเราที่เกสต์เฮ้าส์ เราให้รางวัลสำหรับการนำเที่ยวไปคนละ50รูปี เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกเขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาได้

“ได้เจอพวกพี่ ผมรู้สึกดีใจเหลือเกิน พรุ่งนี้อยากให้เราสองคนมาหาอีกไหม?” มานิชถามแววตาสดใส ให้ความหมายว่าเขากำลังคิดอย่างที่พูดแน่นอน

“แน่นอน มาสิ” เพื่อนคนหนึ่งตอบโดยไม่ต้องคิด

“คิดว่าเราควรจะมาตอนไหนดี?”

“ดีหมดแหละ ตอนไหนก็ได้” ผมพูด “เก้าโมงเช้าเป็นยังไง?”

“ยังไงก็ได้ครับ งั้นเก้าโมงเช้าพวกเราจะมารอที่นี่นะ” ว่าแล้วหนุ่มน้อยทั้งสองก็ยื่นมือออกมาจับ เป็นการให้สัญญาต่อกัน สัญญาซึ่งจะไม่บิดพลิ้วเป็นอันขาด หนูน้อยของเราเรียกวิธีการนี้ด้วยคำเก๋ๆ ว่า Gentleman’s promise สัญญาลูกผู้ชาย

ลูกผู้ชายตรัสแล้วไม่คืนคำ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าเช้าวันต่อมาพวกเราทุกคนตื่นสายกันอย่างพร้อมเพรียง กว่าจะลุกออกจากเตียงได้ก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมง ดังนั้นเมื่อลงมาข้างล่างจึงไม่เห็นวี่แววของเทวดาน้อยสักตัว
ตัวเองทำตัวเองจะไปโทษใคร จะให้เราไปรอใครเป็นชั่วโมงอย่างนี้จะทำได้ละหรือ?

“หรือว่าเมื่อวานเราให้ทิปเขาน้อยไป วันนี้เลยไม่มา?” เพื่อนผมว่า

“ว่าไปนั่น พี่ว่ามานะ แต่ไม่เจอพวกเรา” ผมออกตัวแทน

แทนที่จะมีไกด์น่ารักน่าชังอย่างเมื่อวาน วันนี้เรากลับต้องออกผจญภัยในเขาวงกตกันตามลำพัง เหมือนเมื่อครั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่ในวันแรก

แรกๆ ผมค่อนข้างเป็นกังวลว่าจะเดินไปทางไหนอย่างไรดีจึงจะไม่หลง จึงเมื่อไปเริ่มต้นเอาที่ ท่าทศอัศวเมศ (Dasaswamedh Ghat) จึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเราสามารถเดินไปทุกหนทุกแห่งได้จากที่นี่ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องพยายามจำทางให้ดี

ดีแค่ไหนก็ตาม พวกเราก็ยังหลง ต้องใช้วิธีย้อนกลับมาตั้งต้นเอาที่ท่าทศอัศวเมศเสียทุกครั้งไป ฟังชื่อดูจะเรียกยาก แต่หากแปลตรงตัวแล้วมันกลับมีความหมายง่ายๆ ว่า “พราหมณ์บูชายัญด้วยม้าสิบตัวที่นี่” เนื่องจากที่นี่เป็นท่าน้ำที่ใช้ทำพิธีบูชาแม่น้ำคงคาและพระศิวะในยามค่ำคืนเป็นประจำ

จำทางได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง พวกเราเดินหลงไปตามยถากรรมบนพื้นผิวปุปะผุพังที่มีก้อนอิฐแดงสำหรับปูถนนกองอยู่เป็นระยะๆ ร้านค้าหลากหลายผลิตภัณฑ์เรียงรายอยู่เต็มสองฝั่ง ชุดเครื่องทองเหลือง ธูปหอมและกำยานกลิ่นกระชากวิญญาณ อาหารอินเดีย ลาซซีหรือโยเกิร์ต ร้านขายผ้านำเข้าจากเนปาล ชุดส่าหรีประจำชาติและของที่ระลึกต่างๆ ดูเก๋น่าสนใจจนเป็นห่วงแขนของตัวเองว่าจะถือกลับประเทศอย่างไรไหว เรื่องราคานั้นก็ถูกแสนจะถูกโดยที่ไม่ต้องระแวงการโก่งราคาเกินควร แต่ถึงอย่างไร หากไม่ต่อราคาเอาเสียเลยก็อาจหัวแบะจนน้ำตาตกก็เป็นได้

ได้ช้อปกันจนหนำใจ ตกเย็นก็แวะเข้าไปทานอาหารจีนที่ร้าน Baba Restaurant ตามท่าทีเชิญชวนของชาวญี่ปุ่นซึ่งนั่งสุมหัวกันที่โต๊ะข้างในอยู่ก่อนแล้ว เพียงก้นสัมผัสเก้าอี้ได้เท่านั้น นักเดินทางสาวชาวญี่ปุ่นก็หันมาคุยภาษาเจแปนนิสกับเราแบบไม่หยุดหายใจ

“หายใจทางไหนวะ!” ผมบ่นกับเพื่อน

เพื่อนอีกคนที่อยู่ใกล้สาวอาทิตย์อุทัยหันไปพยักหน้าเอออออย่างเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนเข้าใจ สาวเจ้าก็เล่าเรื่องราวไปเป็นสิบประโยคก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายที่ฟังดูคล้ายคำถามคิกขุอะโนะเนะ

“โนะเนะนุตะมะ ชิขุวะ มาชิเต๊ะ?” (อะไรประมาณนี้แหละ)
“เตะอะไรจ๊ะ เราเป็นคนไทยเด้อ!” สหายของผมตอบไปด้วยภาษาไทยหน้าระรื่น บทสนทนาจึงจบสิ้นลงไปในทันที

“ทีหน้าทีหลังหัดถามก่อนนะเจ๊ ว่าคนที่กำลังคุยด้วยน่ะเขามาจากไหน” เขาบ่นอุบอิบก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับเมนูอาหาร

อาหารมื้อนั้นมีข้าวผัด ดาล(แกงถั่ว) จาปาตี(แป้งแผ่นแบบโรตีที่ผ่านการอบด้วยเตาถ่านแทนการทอดด้วยน้ำมัน) ไข่เจียวและไก่กระเทียม ทั้งหมดทุกรายการมีเครื่องเทศกลิ่นฉุนสะดุดลิ้น

“ลิ้นมันบอกว่า โดยรวมๆ แล้ว...” ผมพูดขึ้นลอยๆ “ก็พอใช้ได้”

“ใช้ได้ที่ไหนกันพี่ โห...ไม่ไหว!” สหายน้องคนหนึ่งวางช้อน เอนหลังพิงพนักอย่างหงุดหงิด

“หงุดหงิดอะไรหือ?” ผมเงยหน้าขึ้นมอง

“มองดูมันก็น่ากินนะ แต่พี่ไม่ได้กลิ่นเหรอ ข้าวน่ะ ผมว่ามันคงสีไปเมื่อสองพันปีที่แล้วแน่เลย!”

“เลยกินไม่ลงเหมือนกันแล้วเนี่ย เหม็นอับจริงๆ” อีกคนสนับสนุน ก้มหน้าลงไปดมใกล้ๆ และชี้ชวนให้ผมทำตาม

“ตามหลักการแล้ว มันอาจทำให้เราท้องเสียได้” สหายน้องคนแรกอภิปรายต่อ

“ต่อให้เอาใบเตยมาหุงด้วยก็คงจะไม่หายเหม็นหรอก อย่างนี้” สหายอีกคนบอก

“บอกหน่อยสิพี่ ทำยังไงมันถึงจะหายเหม็นล่ะเนี่ย” คนแรกพูดขณะแสดงความเป็นกังวลในเรื่องโปรแกรมถัดไปหลังอาหารเย็น เขายกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดูเวลา

“เวลากินก็กลั้นหายใจเอาไว้สิ!” ผมตอบ

ตอบสนองต่อใบปลิวที่ได้รับแจกในช่วงบ่าย พวกเราสนใจที่จะไปชมคอนเสิร์ตในร้านขายเครื่องดนตรีใกล้ๆ กันนี้เวลาสองทุ่มตรง เขาคุยเอาไว้ว่าให้รีบมาแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นอาจไม่มีที่นั่ง อันเนื่องมาจากห้องแถวที่จัดแสดงนั้นมีเนื้อที่ไม่กว้างมากนัก และวันนี้เป็นวันพิเศษที่อาจารย์ทางเครื่องดนตรีอินเดียผู้เก่งกาจจากมหาวิทยาลัยฯ ได้รับเชิญให้มาแสดงเพื่อเป็นเกียรติ ได้ยินดังนั้นแล้ว คนดนตรีอย่างพวกเรามีหรือที่จะยอมพลาดง่ายๆ

ง่ายกว่าเคี้ยวกระดาษกาวอบกรอบเล็กน้อย กว่าที่ทุกคนจะกลั้นหายใจกลืนข้าวลงไปคนละจานจนอิ่มท้องได้นั้น ต้องใช้เวลานานโข ทำให้พวกเรามาถึงสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตล่าช้าไปถึงยี่สิบนาที

“นาทีสองนาทีที่สายมากขึ้น มันก็ไม่เป็นผลอะไรหรอกน่าพี่ ใจเย็น!” สหายคนหนึ่งตะโกนเรียกเมื่อเห็นผมเริ่มวิ่ง เสียงขลุ่ย เสียงซีตาร์(Zitar)และกลองแทบล่า(Tabla)อันไพเราะ มีมิติล้ำลึกกระชากอารมณ์ดังแว่วมาให้ได้ยินบ้างแล้วจากระยะไกล มันทำให้ผมจำต้องเร่งฝีเท้าอย่างรีบด่วน

“ด่วนเลยครับ คอนเสิร์ตเริ่มแสดงแล้ว” พนักงานหน้าร้านยืนร้องเรียก ผมรีบจ่ายเงิน 120รูปีสำหรับสามคน แล้วจึงแหวกม่านผ่านประตูเข้าไปโดยไม่รีรอ

“รอแป๊บพี่ เดี๋ยวได้นั่งแยกกันแล้วมันจะไม่สนุก” สหายคนเดิมร้องบอกให้ผมรอก่อน

ก่อนจะปล่อยให้ม่านทิ้งตัวลงไปคืน ผมตอบกลับไปว่า “ห้องแค่นี้ ยังไงก็ได้นั่งติดกันชัวร์น่า ไม่รอแล้ว”

แล้วคอนเสิร์ตคืนนั้นทั้งคืนก็มีผู้ชมล้นหลามถึงสามคน

คนไทยในแดนปฐมเทศนา ถัดจากคืนนั้น ณ วันก่อนสุดท้าย ต่างแยกย้ายไปทำตัวขี้เกียจสันหลังยาวตามอัธยาศัย การได้นั่งชมวิถีชีวิตความเป็นไปของสิ่งต่างๆ รอบด้านโดยไม่ทำอะไรอย่างอื่นในระหว่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ ขอเพียงให้ได้อยู่ในความสงบและเฝ้ามองไปเรื่อยๆ เท่านั้น อิ่มอร่อยทางอารมณ์กว่ากิจกรรมอื่นๆ หลายเท่านัก

นักเดินทางรุ่นพี่ที่เคยพูดคุยบอกว่าเข้าใจในอารมณ์วิเวก แต่ก็ได้ชี้แนะว่าการทำอย่างนั้น บางครั้งอาจทำให้ตัวเองหลงไปอยู่ในโลกส่วนตัวจนเกินขอบเขตอยู่บ้างเหมือนกัน ผมนั่งเป็นก้อนหินอยู่ได้ไม่นาน ตกเย็นจึงชวนเพื่อนๆ ไปดูพิธีบูชาแม่น้ำคงคากันที่ท่าน้ำทศอัศวเมศ ดูเหมือนว่าผู้คนจากทุกสารทิศจะมารวมตัวกันที่นี่เสียหมดแล้วอย่างนั้น บางกลุ่มกระโจนลงคงคาและว่ายน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่ามีศพขึ้นอืดได้ลอยเข้ามาใกล้อยู่ในระยะเอื้อมถึง ดูแล้วก็น่าทึ่งอยู่มิใช่น้อย เด็กเกิดก็เกิดไป คนตายก็ตายไป คนที่ยังหายใจอยู่ก็สนุกสนานกันตามสบาย ช่างเป็นชีวิตที่ไม่เร่งร้อนดีแท้
แท้จริงแล้ว หากจะเรียกที่นี่ว่าเป็นเมืองแห่งความวุ่นวายก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเมืองแห่งความโศกเศร้าและการสูญเสียก็ไม่เชิง หรือว่าเป็นเมืองแห่งการปลงสังขารเพื่อมุ่งสู่ความสงบมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว แต่ความรู้สึกที่โดดเด่นในหัวใจของพวกเราทุกคนก็คือ พาราณสีมีมนต์เสน่ห์อันร้ายกาจที่ไม่อาจต้านทาน

ทานอาหารเย็นกันจนเป็นที่อิ่มหนำ เมื่อดวงจันทร์กระจ่างฟ้าแบบเต็มดวง สาวน้อยคนหนึ่งก็มาทึ้งมาดึงแขนผมยิกๆ พร้อมกับทำแววตาออดอ้อนให้ช่วยอุดหนุนกระทงใบตาลของเธอ ใครจะคิดครับว่าอินเดียก็มีพิธีลอยกระทงเหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่นี่เขาลอยกันได้ทุกวัน กระทงที่ว่านี้ก็มีขนาดเพียงฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น โดยภายในบรรจุกลีบดอกไม้หลากสีและเทียนไขแบนๆ ก้อนหนึ่งเอาไว้

“เอาไว้ลอยเล่นหน่อยน่า 5 รูปีเองพี่ชาย สงสารหนูหน่อยเถอะ” เธอประนมมือพูดอ้อนวอนด้วยแววตาเศร้าสร้อย ดึงดันว่าหากผมไม่สนใจ เธอก็จะไม่เดินหนีไปไหน

“ไหนดูซิ” ผมรับมา ด้วยเพียงต้องการจะดูใกล้ๆ สนองความสนใจของตัวเองเท่านั้น แต่ปรากฏว่าทันทีที่ปล่อยมือให้ผมถือเป็นที่เรียบร้อย เธอกลับเดินเลี่ยงไปอีกทางด้านหนึ่งแถมยังทำตาซึ้งมองมาอย่างน่าตี ถึงเวลานี้ใครไม่คิดจะซื้อก็คงปฏิเสธไม่ได้เสียแล้ว

“แล้วค่อยมาจ่ายตังค์ทีหลังนะพี่ชาย เอาไปลอยก่อนนะ ไปสิ!” เธอสะบัดมือไล่ ชี้นิ้วไปที่ท่าน้ำให้เอาไปลอยเร็วๆ เอากับเขาสิ! เทคนิคการขายแพรวพราวอย่างนี้เจ้าได้แต่ใดมา? (บิดรมารดาข้าฯ สอนให้) อย่างนี้ พอเติบโตขึ้นมาเรียนรู้กลเม็ดมากมายอีกสักหน่อย นักท่องเที่ยวตาดำๆ อย่างพวกเราจะเหลืออะไรกันเล่านี่?

“นี่ๆ มานี่เร็ว” กวักมือเรียกให้มารับกระทงของเธอคืนไปอยู่พักใหญ่ แม่หนูก็ได้แต่วิ่งหลบหลีกหยอกล้อร้องเพลงคลาสสิกอินเดียเหมือนในหนังอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นว่านี่เป็นเกมที่ไม่มีทางชนะ ในที่สุดพวกเราก็จำต้องถือกระทงน้อยลงไปลอยร่วมกันด้วยคำอธิษฐานมากมายเป็นกระบุงจนได้ ให้คุ้มกับ5รูปีที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องเสีย แต่ครั้นเดินย้อนกลับมาจากท่าน้ำ ดันควักให้เจ้าหนูไป10รูปีเสียนี่กระไร ปลอบใจตัวเองว่าอีก5รูปีที่เพิ่มให้นั้นเป็นรางวัลสำหรับกลเม็ดการขายอันร้ายกาจและการเต้นโชว์อันน่ารักประจำค่ำคืน

ค่ำคืนสุดท้ายของการเดินทาง ผมออกมานั่งริมระเบียงอย่างเป็นสุขโดยไม่สนใจว่ามันจะดึกดื่นไปถึงกี่โมงกี่ยามแล้ว สายลมโชยเอื่อย ฉ่ำเย็น ดวงจันทร์ขาวนวลละมุนสะท้อนผืนน้ำเป็นประกายสดใส บางคราวที่เรือลำน้อยแล่นผ่านทำน้ำกระเพื่อมทำให้แสงในน้ำกระจายตัวพเยิบพยาบ ดวงจันทร์อาจจะนึกบ่นอยู่ในใจว่า อย่าวิ่งมากได้ไหมเรือ ฉันจะส่องกระจก ถึงวันนี้จะไม่สวยเท่าไรแต่ฉันก็ยังอยากจะดู!






ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะดึกดื่นสักเพียงใด ผู้คนที่เดินทางมากราบไหว้บูชาแม่น้ำก็ยังคงมีไม่ขาดสาย โยคีก็ดัดตนทำสมาธิไม่หยุดหย่อน บางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ริมแม่น้ำก็ยังคงอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเป็นกิจวัตร เสียงเพลงสวดที่แว่วมาเป็นภาษาฮินดีประกอบกับเครื่องดนตรีที่โหยหวนชวนฝัน ได้ช่วยขับกล่อมบรรยากาศให้ผมรู้สึกตกอยู่ในภวังค์ที่สงบเงียบลึกล้ำ เป็นความสงบที่คงจะต้องมาค้นหาอีกสักหลายครั้ง จนกว่าจะค้นพบว่าพาราณสีแห่งนี้คืออะไรกันแน่
“นครเขาวงกตอันซับซ้อนซึ่งซ่อนความหมายที่คุณหาเอาไว้ ไม่ให้เห็น”
“The complicated labyrinth town
which the meaning you want to find will never be found”
ผมบันทึกเอาไว้อย่างนั้น หมายมั่นว่าจะมาหาคำตอบให้ได้ในภายหลัง

หลังจากเก็บของฝากใส่ถุงใบใหญ่และเตรียมสัมภาระใส่เป้เป็นที่เรียบร้อยในช่วงสายๆ ก่อนที่จะออกเดินทาง ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะไปนั่งละเลียดชาภายในเขาวงกตที่ร้านเดิม เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศอันแปลกประหลาดของเมืองอีกครั้ง

อีกครั้งเช่นกัน ที่สิ่งไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น

ขึ้นไปทางทิศเหนือของเมืองได้ไม่นาน ในระหว่างที่เราเดินมุ่งหน้าไปยังสามแยกแห่งหนึ่ง เทวดาน้อยทั้งสองก็เดินกอดคอกันมาจ๊ะเอ๋กับเราเข้าอย่างจัง ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ที่เมืองอื่นคงจะเป็นเรื่องปรกติ แต่สำหรับที่นี่แล้วผมรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา จะว่าไปแล้วหากพูดให้เวอร์หน่อย งมเข็มในมหาสมุทรอาจง่ายกว่า

กว่าที่จะได้พบกันมันช่างแสนยากลำบาก พบแล้วจากแล้วดันมาพบกันอีกยิ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อทวีคูณ มันทำให้พวกเราโผเข้าไปกอดเด็กน้อยทั้งสองแน่นอย่างลืมตัว ส่วนพวกเจ้าหนูนั้นก็โอบกอดตอบด้วยหน้าตาแช่มชื่นเบิกบาน เข้ามาจับไม้จับมือเราเป็นการใหญ่ เรียกได้ว่าอาการดีใจจากการถูกหวยเลขท้ายสามตัวของรัฐบาลยังต้องเรียกพี่

“พี่ชายจำพวกเราได้ไหมครับ จำชื่อเราได้ไหมครับ?” มานิชทำตาโตละล่ำละลักเอ่ยขึ้น บาบูพยักหน้าหงึกๆ คล้อยตามเพื่อน อมยิ้มอายๆ อย่างที่เคยทำ

“ทำไมกูจะจำพวกมึงไม่ด้าย!?!” สหายคนหนึ่งตอบเป็นภาษาไทยออกไปเต็มๆ ทำเอาเจ้าเทวดาน้อยทั้งสองมีสีหน้าเหลอหลางุนงง

“งงทำไมกันเล่า เราจำพวกเธอได้แน่นอนอยู่แล้ว” ผมช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษให้

“ให้พวกเขาไปเมืองไทยกับเราซะเลยดีไหมพี่?” สหายน้องคนหนึ่งถาม ทุกคนพยักหน้า

หน้าตาของมานิชและบาบูดูจะวิตกเล็กน้อยในตอนแรกที่เราชวนไปดื่มชาด้วยกัน เขาซุบซิบกันประมาณว่าจะทำยังไงกับนัดที่คั่งค้าง แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจยกเลิกนัดอื่นทั้งหมดเพื่อมากับเราและพาเราเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ที่ตกหล่นไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำหรับจัดงานวิวาห์ซึ่งตกแต่งด้วยสีขาวสลับกับภาพวาดลวดลายสวยงาม พิพิธภัณฑ์ของเมือง โบสถ์ฮินดูอีกสองสามแห่ง รวมไปถึงวัดเนปาลประจำเมืองพาราณสี และสุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านอาหาร Puja Restaurant บนชั้นดาดฟ้าซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามและอาหารอร่อย

อร่อยทั้งปากท้องและหัวใจที่ได้เจอกับเทวดาน้อยอีกครั้ง แม้ว่าอีกไม่นานจะต้องจากกันไปไกล ในยามเย็นซึ่งดวงอาทิตย์ยังไม่ลาลับ ที่ริมคงคา ขณะกำลังเดินไปเรียกรถสามล้อเครื่อง เด็กทั้งสองบอกว่าขอไปส่งพวกเราถึงสถานีรถไฟ พวกเขาช่วยถือของกันคนละไม้ละมือเท่าที่จะถือได้

“ได้ตั๋วรถกันแล้วใช่ไหม?” มานิชถาม ผมพยักหน้า “พวกพี่จะไปไหนกันต่อ?” เขาเดินตัวเอียงตามน้ำหนักสำภาระที่ดูจะเกินตัวอยู่มิใช่น้อย ผมยื่นมือเข้าช่วยแต่เขายกมือห้ามไว้

“ไว้ไปถึงกัลกัตตาก่อน เราถึงจะตัดสินใจกันต่อไป” ผมตอบไปอย่างนั้น

“อย่างนั้นถ้าได้ไปที่นี่ก็ไปพักได้ในราคาถูกนะ เพื่อนผมเป็นเจ้าของ!” มานิชยื่นนามบัตรใบหนึ่งจากจำนวนหลายๆ ใบในมือมาให้ จำไม่ได้ว่าโรงแรมนั้นชื่ออะไร รู้แต่เพียงว่าเจ้าของชื่อในนั้นมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ

“การโกหกเป็นบาปอย่างหนึ่งนะน้องชาย” เพื่อนร่วมทางของผมพูดอย่างไม่เชื่อ

“เชื่อผมเถอะครับ ใช่เพื่อนจริงๆ เขามาหาเราสองคนบ่อยเลยล่ะ” บาบูช่วยยืนยันหนักแน่นพร้อมกับส่งสายตาจริงจังมาทางผม

ผมลองนึกๆ ดูแล้ว ด้วยความน่ารักน่าชังของทั้งสองคนนี้เป็นใครได้มาพบเจอก็คงไม่พ้นที่จะหลงรักอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องที่จะบอกว่าเป็นเพื่อนกับผู้หลักผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะน่าเชื่ออยู่ไม่น้อย เขาคนนั้นอาจจะเอ็นดูพวกเจ้าหนูเหมือนพวกเราก็เป็นได้

ได้ยินคำแนะนำด้วยความปรารถนาดีอย่างนั้น มันทำให้เราซาบซึ้งน้ำใจของเจ้าหนูมากขึ้น ถึงกระนั้นก็คืนนามบัตรของเพื่อนรุ่นใหญ่ให้พวกเขาไป โดยไม่คิดว่าจะไปพักโรงแรมหรูระดับนั้นเพราะมันแพงเกินงบประมาณที่เรามี

“มีความฝันว่าไงบ้าง มานิช?” ผมเปลี่ยนเรื่อง เขานิ่งคิด

“คิดเอาไว้ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กว่าอยากเป็นไกด์ที่มีชื่อเสียงและมีเรือเป็นของตัวเอง” เขาตอบ

ตอบมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ถ้าใครได้เห็นแววตาของเขาในตอนนี้แล้วล่ะก็ คงจะรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากผมสักเท่าไร อยากซื้อเรือให้สักลำถ้าทำได้!

“ได้เป็นแน่มานิช แล้วบาบูล่ะ?” นั่นเป็นเสียงแทรกจากเพื่อนผม

ผมจำไม่ได้ว่าบาบูตอบว่าอะไร เพราะเขามีฝันหลายอย่างเหลือเกิน แต่ดูจากความสามารถทางการเรียนและการเขียนหนังสือแล้ว ผมมั่นใจว่าเขาสามารถไปได้ไกลทางสายวิชาการอย่างแน่นอน ตรงข้ามกับมานิชที่คงจะไปได้ดีกับวงการท่องเที่ยวหรือวงการบันเทิงมากกว่า
กว่าที่รถสามล้อเครื่องจะมีว่างผ่านมา บทสนทนาอีกสารพัดหลั่งไหลอย่างออกรส มันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะจากที่นี่ไปอย่างจริงจัง และทันทีที่รถมาถึง พวกเขาก็กระโดดเกาะไปคนละข้างของตัวรถอย่างชำนาญ ส่งพวกเราจนถึงสถานีรถไฟ

“รถไฟจะมาแล้ว จะกลับกันยังไงล่ะทีนี้?” ผมอดเป็นห่วงไม่ได้

“ไม่ได้เป็นเรื่องลำบากอะไรหรอกพี่ชาย เราวิ่งกันแป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว” มานิชให้คำตอบ

คำตอบของมานิชทำให้เราหันมามองหน้ากันไปมา ระยะทางจากบ้านของเขามาสถานีรถไฟนั้นมันใกล้เสียที่ไหน

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว นั่งรถกลับไปส่งพวกมันกันดีไหมพี่?” น้องคนหนึ่งเสนอความเห็น

“เห็นด้วย!” ผมตอบ “แล้วค่อยให้พวกมันนั่งกลับมาส่งเราอีกเที่ยว”

เที่ยวสุดท้ายสำหรับขบวนที่มุ่งหน้าไปกัลกัตตาของวันมาถึงล่าช้าไปเกือบสองชั่วโมง แต่ในที่สุดมันก็มาจอดนิ่ง ครางหึ่งๆ อยู่บนชานชาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราอยากจะพาพวกเขากลับเมืองไทยไปด้วยกัน แต่นั่นก็เกินกว่าที่จะทำให้มันเป็นจริงได้ เราจึงได้แต่ให้เงินกินขนมไปอีกคนละเล็กละน้อย แนะนำอะไรบางอย่างที่น่าจะทำเงินได้สำหรับพวกเขา ล่ำลาและจากมาด้วยความรู้สึกอาลัย

อาลัยอาวรณ์อยู่ในภวังค์ของตัวเองท่ามกลางความเงียบอยู่นาน จนกระทั่งขบวนรถไฟเคลื่อนที่ไปบนสะพานเหล็ก เหนือแม่น้ำคงคาทางทิศเหนือ ผมจึงชี้ชวนให้เพื่อนร่วมทางหันไปมองดูเมืองในตำนานอันแสนมหัศจรรย์กันอีกครั้ง เทวดาน้อยทั้งสองนี้ถูกพระเจ้าส่งมาหรือเปล่า เราไม่แน่ใจ ผิดนัดพลัดหลงไปก็ยังสามารถย้อนกลับมาเจอกันได้อีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ที่บอกได้ในขณะนี้ก็คือ สายใยแห่งความผูกพันได้เกี่ยวรัดเขาทั้งสองคนเอาไว้ในใจของเราอย่างแนบแน่นเสียแล้ว

แล้วเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็คงจะคล้ายกับการรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับใครสักคน เหมือนรู้จักกันมานาน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะได้พบกันนั่นกระมัง ผมกำลังรู้สึกอย่างนั้นกับน้องทั้งสองคนนี้อย่างชัดเจน

ชัดเจนในใจจนสามารถบอกกับตัวเองได้อย่างหนักแน่นว่า ยิ่งนับวัน การเดินทางยิ่งจะทำให้เราได้พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตายิ่งขึ้น ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่จะทำให้เรารู้สึกผูกพันภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ มีไม่น้อยที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปโดยไม่รู้สึกคิดถึงอะไร และก็มีไม่น้อยที่ได้จากกันไปนานแล้วกลับมาพบกันใหม่ ไม่ต่างอะไรกับคนรักซึ่งเป็นดวงวิญญาณที่พลัดพรากจากกันไปคนละทิศละทางแต่ปางก่อน แล้วได้ย้อนกลับมาพบเจอกันจนได้ในภพนี้ชีวิตนี้

ชีวิตนี้หรือชีวิตไหนๆ ที่เคยมีความสัมพันธ์กันทางใจไม่ใช่เพียงทางกายผิวเผิน มักจะมีสายใยอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นร้อยรัดเอาไว้เช่นนี้เสมอ มันเป็นความลับอย่างหนึ่งของจักรวาล ที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านได้อย่างเต็มปากว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อในจินตนาการ เพราะไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่ามันเป็นเรื่องที่มีให้เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และนับวันก็ยิ่งจะมั่นใจมากยิ่งขึ้น ในสิ่งที่ตัวเองได้ประสบได้พบเจอมา

มาวันนี้ ไม่ทราบว่าเทวดาน้อยสองตัวนี้จะเป็นอย่างไร อยู่พาราณสีอย่างสุขสบายดีเหมือนเดิมหรือไม่ เขาจะได้เรียน ได้เป็นและมีเรือเป็นของตัวเองบ้างหรือยังไม่ทราบ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง หากผมได้เดินทางไปที่นั่นอีก อาจจะพบพวกเขาทั้งสองคนตรงทางแยกเดิมอีกครั้งก็เป็นได้ วันนั้นพวกเขาอาจเป็นหนุ่มเต็มตัว เป็นเจ้าของเกสต์เฮ้าส์สวยๆ หรือไม่ก็มีเรือแล้วหลายลำ นั่นก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน

เช่นกันสำหรับท่านที่กำลังสนใจเมืองสำคัญทางพุทธประวัติเมืองนี้ หากมีโอกาสได้ไปเยือนพาราณสี ลองค้นหาเทวดาน้อยทั้งสองนี้ดูสักนิด รับรองจะไม่ผิดหวัง

หวังใจแต่เพียงว่าท่านจะได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่นใดในโลกและรบกวนบอกพวกเขาอีกสักหน่อยเถิดว่าคิดถึง...

คิดถึงเพื่อนเหลือเกิน





















Create Date : 02 กันยายน 2548
Last Update : 6 กันยายน 2548 11:50:02 น. 5 comments
Counter : 632 Pageviews.

 
มาอ่านค่ะ อยากไปอินเดียที่สุดเลย เห็นอะไรเกี่ยวกับอินเดียไม่ได้ เป็นต้องวิ่งเข้าไปหา อิอิ

แต่ว่าภาพไม่ชัดเลยนะคะ


โดย: Mehndi Laga Ke Rakhna วันที่: 2 กันยายน 2548 เวลา:17:47:40 น.  

 


คือ แฟ้มภาพที่มีเหลือในเครื่อง
มันมีแต่พวกนี้น่ะครับ ภาพจริงมันโดนไวรัสกินไปหมดแล้ว
จะลงใหม่ก็ขี้เกียจอะ

ไม่เชื่อ อ่านประโยคแรกในคำแนะนำตัวสิ ฮี่ๆๆๆ





โดย: อะไรดี(ปิศาจสุรา) (อะไรดี ) วันที่: 6 กันยายน 2548 เวลา:11:54:21 น.  

 
ภาพเล็กทรมานสายตาคนชรามั่กๆ


โดย: ป้าหนอน วันที่: 7 กันยายน 2548 เวลา:22:05:02 น.  

 
อะไรกัน ซีเรียส ๆ
ฝนตกอยู่กรุงเทพน่ะ
จะนอน อย่ากวนๆ


โดย: หญิงรอย IP: 202.142.218.69 วันที่: 22 กันยายน 2548 เวลา:15:00:19 น.  

 



ท่าทางผมจะเป็นคนขี้เกียจเอาซะจริงๆนะเนี่ย
เข้ามาอีกที ก็เพิ่งเห็นว่า รูปที่เคยเอาแปะไว้ที่อื่นมันหายไป

วันนี้ ต้นเดือน พฤศจิกายน 2005
คอยดูนะ ว่ามันจะขยันมาแปะรูปอีกทีเมื่อไร

เหอเหอเหอ



โดย: ปิศาจสุรา (อะไรดี ) วันที่: 9 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:10:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อะไรดี
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ขี้เกียจแต่ทำจริง เข้มแข็งแต่อ่อนโยน ชอบใช้อารมณ์แต่มีเหตุผล เลือดร้อนแต่ใจเย็น รักสงบแต่อย่าแหยม นิ่งเฉยแต่โรแมนติก ไม่มีตังค์แต่ชอบเที่ยว สายตาไม่ดีแต่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบนั่งเฉยๆ แต่ชอบดูหนังในโรง รักความเงียบแต่ชอบเสียงเพลง นิ้วสั้นป้อมแต่ชอบเล่นกีตาร์ ชอบมองฟ้าแต่รักดำน้ำ ลายมือไม่สวยแต่ชอบเขียนหนังสือ หัวใจหลายห้องแต่มีรักเดียว (กิกิ้ว!) รักเด็กแต่ไม่อยากมีลูก ยังหายใจแต่ชอบสมมติว่าตัวเองตายไปแล้ว ชอบฝันและจินตนาการแต่คลั่งไคล้ความจริง เงียบขรึมแต่จริงใจ หัวไวแต่บ้าและเพี้ยน ผมน้อยแต่ยาว หน้าตี๋แต่เหมือนเต่า เชื่อฟังแต่แอบดื้อ!!!
ขอบฟ้า...ปลายฝัน

๑. รอนแรมไกลสุดฟ้า เพียงใด
ยังไม่อาจเติมเต็มใน ใจข้าฯ
ยิ่งค้นยิ่งห่างไกล หายหมด แรงสิ้น
กลืนกินความเหว่ว้า ล่าถอย คอยรัง

๒. ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
สรรพสิ่งเคลื่อนไหวดัง ลมร้อน
ทำใจยอมรับฟัง ตั้งอยู่ ในเกณฑ์
เตือนตนอยู่บนเส้น โลดเต้น ตามกรรม

๓. กวาดตามองฟ้าคราม ยามเย็น
กวาดใจมองไม่เว้น หย่อมหญ้า
ค้นหาคำตอบเห็น เป็นอยู่ ความนัย
แต่ใจไยอ่อนล้า ข้าฯบอด ใดกัน

๔. หายใจรดโลกอยู่ นมนาน
ยังไม่เคยพบพาน เช่นเจ้า
ฟ้าลิขิตบันดาล ทางผ่าน บังเอิญ
เกินกว่าคำบอกเล่า เข้าถึง ทางใจ

๕. ความงามของโลกนั้น คงเดิม
ความงามของเจ้าเติม ใจข้าฯ
ดวงตาคู่ใหม่เสริม เติมจิต โดยพลัน
วันใหม่ดูเจิดจ้า ขอบฟ้า ปลายฝัน...
คำเตือนนะ! ขอสงวนลิขสิทธิ์ทั้งหลายในเวบบล็อกนี้และห้ามมิให้ใช้เวบบล็อกนี้เพื่อการอย่างอื่น นอกจากการชมเพื่อความบันเทิงภายในที่พักอาศัยเท่านั้น ห้ามมิให้ทำการเปลี่ยนแปลง ทำซ้ำหรือเผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของเวบบล็อกแห่งนี้ โดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุดเด้อ!...
Google

Free JavaScript from
Rainbow Arch

You AlwaYs WanT WhaT YoU HaveN'T GoT... The Sea Kisses The Beach With The White Slight Waves...
Friends' blogs
[Add อะไรดี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.