ยินดีต้อนรับสู่บ้านแม่กะปอมค่ะ...มาร่วมแบ่งปัน พูดคุยทุกสาระเรื่องราวกัน ^o^ ก่อนกลับอย่าลืมฝากชื่อ/สังกัดด้วยนะคะ จะคลิกไปเยี่ยมเยือนกันค่ะ
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
9 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต (LAI DONG JIN)











ได้อ่านเรื่อง “ไล่ตงจิ้น ลูกขอทาน ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต” ตั้งแต่คำโปรยหน้าปก คำนำ ทำให้อยากติดตามว่าเขาพลิกชีวิตยังไง อีกทั้งช่วงเวลาและเหตุการณ์ ก็เป็นช่วงปัจจุบันกาลและผู้เขียนก็ยังดำเนินชีวิตอยู่ในขณะนี้ ไต้หวันเองก็ไม่ได้ไกลจากเมืองไทย จึงนึกภาพที่บรรยายได้ชัดเจน
ตอนที่อ่านก็อึ้ง ๆ อยู่หลายตอนว่าชีวิตเขา เป็นไปได้ขนาดนี้เลยหรือ พ่อเราก็เคยเล่าเรื่องชีวิตที่เมืองจีนลำบากยังไงบ้างยังไม่เท่านี้เลย

บอกได้เลยว่าอ่านแล้วช่วยทำให้ความรู้สึกที่เคยท้อแท้ สิ้นหวัง แม้กระทั่งความรู้สึกไม่พอใจในหลายๆอย่างในชีวิตลดลงได้มากเลย คือทำให้สงบและปลงได้มากขึ้น มาคิดได้ว่าความทุกข์ของเราก็แค่ธุลีเมื่อเทียบเท่ากับของคนอื่น ๆ อีกหลายคน
มาดูชีวิตและการพลิกชะตาชีวิต รวมทั้งคติและปรัชญาของเขากัน



พ่อของอาจิ้นเป็นขอทานตาบอด แม่เป็นปัญญาอ่อนที่มีอารมณ์ผิดปกติ มีพี่สาวคนโตและน้องๆอีก10 คน น้องชายคนโตก็เป็นปัญญาอ่อนอีกคน
ตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบเขาต้องขอทานหาเลี้ยงครอบครัว ทั้งหมดต้องเร่ร่อนไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ใต้ต้นไม้ ใต้สะพาน ใต้เวทีโรงงิ้ว ป่าร้างหรือศาลเจ้าในสุสาน ซึ่งที่นี่เขาอาศัยอยู่บ่อยที่สุดด้วยเหตุผลว่าอยู่กับคนตายไม่ถูกมองด้วยสายตาดูแคลนและไม่ต้องถูกคนไล่ตะเพิด จุดหมายที่เขาเร่ร่อนไปก็คือที่ๆ มีของกินไม่ว่าจากงานวัด งานบุญ งานเลี้ยง ฯลฯ
อาจมีคำถามว่าเขาไม่หางานอื่นทำกันเลยหรือนอกจากขอทาน สำหรับตัวเขาแล้ว เขาทำทุกอย่างเท่าที่เด็กตัวเล็ก ๆ จะทำได้เช่นไปเชิดสิงโตกับพี่สาวอย่างทุลักทุเล ไปถือธงนำขบวนเคลื่อนย้ายศพให้กับครอบครัวที่ไม่มีลูกชายเพื่อแลกกับการขอเสื้อผ้าคนตายมาให้ครอบครัวได้ห่อหุ้มตัวและอาหารที่เหลือจากงานศพที่เทรวมกันก็พอประทังไปได้หลายวัน ประสบการณ์แต่ละอย่างที่เขาได้พบเป็นปรัชญาที่เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งสิ้น เช่นในตอนนี้เป็นตอนที่เขาพบเห็นคลุกคลีกับการตายเขาได้เรียนรู้ปรัชญาจากศพว่า...



แต่งานหลักคือขอทานเอาอาหารมาเลี้ยงคนในครอบครัว มีหลายครั้งที่อาหารไม่พอกินกัน เขาและพี่สาวยอมเสียสละกินน้ำจากท่อประทังความหิว ยามเมื่อเขาหิวโซยังต้องไปแอบกินอาหารในชามหมาที่แห้งกรังแล้ว อย่าว่าแต่อาหารบูดเน่าเลยแม้แต่ไก่ตายที่เน่าหนอนขึ้น พวกเขาก็กินกันได้ โดยเขาถือว่า “ หากต้องการมีชีวิตต่อไปก็ต้องมีกระเพาะอาหารที่ทนทาน”

ต่อนี้เป็นตอนที่ พ่อของเขาบังคับให้ไปเก็บไก่ตายที่เน่าจนขึ้นหนอนมาให้พ่อของเขาจัดการชำแหละและต้มให้ทุกคนกิน






ในยามเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย เช่นเมื่อถูกตะปูหรือกระจกบาดก็ใช้ดินทรายปิดปากแผลไว้ ถ้าถูกหมากัดก็ใช้ขี้หมูทาแทนยา ถ้าหากป่วยหนักก็ต้องตาย เขาถือคติว่า “คนจรจัดไม่มีสิทธิ์เจ็บป่วย” ในเรื่องการเจ็บป่วยเราได้เรียนรู้น้ำใจของเขาที่พ่อสอนไว้ คือเมื่อรู้รสชาติของการเจ็บปวดก็ต้องคิดถึงคนอื่นไม่ต้องให้ใครต้องเจ็บด้วย







นอกจากเรื่องความกตัญญูแล้วอาจิ้นยังรักทุกคนในครอบครัวอย่างมาก เขากับพี่สาวต้องเลี้ยงน้องเล็ก ๆและน้องที่เกิดใหม่โดยพ่อกับพี่สาวเป็นผู้ทำคลอดเอง แม่ของเขาไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เองก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องเลี้ยงน้อง ถ้ามีเงินก็สามารถซื้อนมข้นผสมน้ำในแม่น้ำถ้าไม่มีก็ต้องเคี้ยวข้าวป้อนน้องแทน
แม้ยามที่มีพายุหนักเมื่อเห็นคนในครอบครัวหิวเขายอมฝ่าพายุไปเคาะประตูขออาหารตามบ้าน
หรือยอมรับโทษถูกพ่อตีแทนแม่และน้อง ๆ เมื่อพวกเขาทำผิด
หรือเมื่อครอบครัวถูกกลั่นแกล้งจากคนเกเร เขาต้องยอมลืมคำว่าศักดิ์ศรีเพื่อแลกกับอาหารที่ครอบครัวจะได้รับ ...





เป็นตอนที่กล่าวถึงว่าเมื่อครอบครัวเขาเร่ร่อนไปถึงหมู่บ้านใดก็ตาม แม้ยังไม่ได้ขอทานเรื่องราวของพวกเขาก็ลือสะพัดเรียกให้คนมาดูทั้งหมู่บ้าน มาดูครอบครัวตัวประหลาดที่มีทั้งคนพิการ ปัญญาอ่อน และเด็กเล็ก ๆ ที่คลานบนพื้นไปหยิบของใส่ปากไป ทุกคนสกปรกมอมแมมเป็นที่ตลกขบขันและน่าสมเพชเวทนา และเป็นเป้าหมายให้เด็กทะโมนโจมตีโดยเขาถูกพ่อห้ามไม่ให้ตอบโต้เพียงเพื่อจะได้อาหารจากพวกเขาเหล่านั้น

เขากตัญญูต่อแม่ไม่รังเกียจหรือโกรธเกลียดแม่ผู้ไม่สามารถให้ความรักและรับรู้ในตัวเขาได้เลย เขายินดีทำในสิ่งที่ผู้ชายไม่ทำกันคือคอยเปลี่ยนและซักกางเกงและผ้ารองซับประจำเดือนให้แม่ โดยต้องแอบไปซักตอนกลางคืนตอนที่คนไม่ได้ใช้น้ำแล้ว

หรือจากตอนที่พ่อของเขาป่วยหนัก การกระทำของเขาสะท้อนถึงความรักที่มีต่อพ่อของเขาแม้จะต้องถูกพ่อตี ดุด่าอยู่บ่อย ๆ....





( ตอนนี้สำหรับคนที่ท้อแท้ในการเรียนมัวแต่โทษว่าหัวไม่ดี ไม่มีเงินเรียนหรือไม่มีไม่พร้อมเหมือนคนอื่น ๆ ที่ฐานะดีกว่าเมื่อมองชีวิตอาจิ้นแล้วอาจทำให้คิดได้ว่าเรามีมากกว่าเขาเสียอีก ขาดแค่ความมานะพากเพียรเท่านั้นเอง)

เมื่อถึงวัยเรียน อาจิ้นเป็นเด็กรักเรียนเขาใฝ่ฝันจะได้เรียนหนังสือให้สามารถอ่านออกเขียนได้และเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นซึ่งกว่าจะได้เรียนเขาต้องพบอุปสรรคมากมายและที่สะเทือนใจเขามากที่สุดก็คือเพื่อให้เขาได้เรียนหนังสือพ่อต้องขายพี่สาวที่อายุเพียง13 ให้กับซ่องซึ่งต้องถูกทำทารุณต่าง ๆนา ๆ




เมื่อได้เข้าเรียนแล้วเขาเป็นเด็กที่อายุมากสุดในชั้น อ่านเขียนไม่ได้เลยและมักถูกรุ่นพี่ในโรงเรียนรังแกเป็นประจำ เรียนเสร็จก็ต้องกลับไปดูแลครอบครัว กลางคืนก็ไปขอทานกับพ่อ เวลาที่จะได้อ่านหนังสือทำการบ้านก็เจียดเวลาจากตอนขอทานและอาศัยไฟจากเสาไฟฟ้าข้างถนนอ่าน และต้องคอยหนีตำรวจอีก ต้องอดหลับอดนอนสำหรับวัยเด็กอย่างเขาได้นอนแค่วันละ3 ชั่วโมง.... ทั้งหมดคืออุปสรรคของเขาแต่เขาก็ยังพยายามจนได้รางวัลเรียนดีและเกียรติบัตรมาโดยตลอด หรือในตอนที่เขาจะเข้าประกวดเขียนพู่กัน ไม่มีอุปกรณ์ไม่มีคนสอน เขาก็ขวนขวายเรียนรู้เองโดยแอบดูคนอื่นเขียน แล้วใช้เศษไม้และทรายเป็นอุปกรณ์ฝึกเป็นปีจนชำนาญเข้าแข่งจนได้รางวัลชนะเลิศในที่สุด
สิ่งตอบแทนจากการพากเพียรเรียน (เรียนให้เป็นเลิศ) คุณค่าของมันเปลี่ยนศักดิ์ศรีและมุมมองของคนได้เช่นกัน




ในช่วงชีวิตของเขาก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขากดดัน ท้อแท้ถึงขนาดฆ่าตัวตายด้วยวิธีต่าง ๆ แม้กระทั่งคิดวางยาฆ่าทุกคนในครอบครัวเพื่อจะได้พ้นทุกข์ไป ต้นเหตุเกิดจากแรงกดดันเมื่อเด็กคนหนึ่งต้องแบกรับภาระของทุกชีวิตในครอบครัว ทั้งยังต้องเป็นขอทานให้คนดูถูกเหยียดหยาม และไม่มีเวลานอนเต็มที่อย่างที่เด็ก ๆ ควรได้รับ ความกดดันเรื่องพี่สาวที่ถูกทารุณในซ่อง หรือความเจ็บป่วยจนต้องพลาดการแข่งขัน การเรียนตกต่ำ เป็นต้น

แต่ทุกครั้งเขาจะนึกถึงความลำบากที่พี่สาวเสียสละเพื่อเขาและความหวังของพี่สาวที่ฝากไว้กับเขา รวมทั้งทุกชีวิตที่ต้องพึ่งพิงเขาอยู่ ทำให้เขาฮึดสู้ได้ จะว่าไปทุกช่วงชีวิตเขามีอุปสรรคตลอดแม้กระทั่งเรื่องความรักก็ถูกกีดกันจากพ่อแม่คนรัก แต่เขาก็เอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้หมด

ตอนท้ายเรื่องเมื่อพ่อของเขาตาย เราก็ได้เรียนรู้ปรัชญาของความว่างเปล่า ความเป็นอนิจจัง ความรู้จักพอ และความกตัญญู สิ่งตอบแทนจากการที่พ่อของเขาทำคือถึงจะเป็นขอทาน พ่อของเขาก็ช่วยเหลือคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะตรวจโรคให้ผู้เจ็บป่วยฟรี หรือเมื่อขอทานได้มีเงินเหลือก็แจกจ่ายช่วยผู้เดือดร้อนอื่น ๆ จะไม่เก็บเงินไว้กับตัวเลย พอพ่อเสียชีวิตที่บ้านไม่มีเงินจัดงานศพก็ได้คนที่เคยช่วยเหลือมาช่วยเป็นการตอบแทน

ชีวิตในเวลาต่อมาของเขาดีขึ้น ผลจากความมุมานะ พยายามต่าง ๆ ทำให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ มีครอบครัวและลูก ๆ ที่อบอุ่น


อ่านแล้วคิดพิจารณา ไม่อคติ ก็จะได้ประโยชน์กับผู้อ่านเอง ( ขึ้นอยู่กับว่าจะเก็บเกี่ยวออกมาได้แค่ไหน )


Create Date : 09 กันยายน 2551
Last Update : 10 กันยายน 2551 16:13:35 น. 12 comments
Counter : 8906 Pageviews.

 
ทำเหมือนเดิม
ลงชื่อไว้ก่อน แล้วกลับขึ้นไปอ่าน
ฮิ ๆ


โดย: แพท ภัทรียา IP: 202.183.220.14 วันที่: 10 กันยายน 2551 เวลา:16:17:00 น.  

 
เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเรากลับไม่อินเท่าไหร่ แปลกมาก

แต่ก็น้ำตาไหลนะ แต่ไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจในเชิงลึก อาจเพราะรู้สึกว่าถูกบิ๊วท์มากเกินไปหละมั้ง


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 11 กันยายน 2551 เวลา:14:22:45 น.  

 

เราซื้อมาอ่านได้ระยะหนึ่งแล้วเป็นหนังสือที่ดีสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และสอนให้มีศักดิ์ศรีในตน อย่าได้ดูถูกในตนเอง ถึงแม้คนอื่นจะดูถูกเรา หากเราไม่ดูถูกตนเองซะอย่าง ก็ไม่มีวันแพ้ แม้รางวัลตอบแทนในตอนจบของเรื่องจะไม่ได้ยิ่งใหญ่รวยเป็นหมื่นล้าน แต่ต้องหนีไปอยู่ที่อื่น หนังสือเล่มนี้ควรปลูกฝังให้เยาวชนอ่าน เพื่อเป็นแนวทางแห่งบรรทัดฐานของชีวิตในภายภาคหน้า


โดย: Mapma IP: 118.172.117.208 วันที่: 11 กันยายน 2551 เวลา:16:39:26 น.  

 
ทำไมเศร้าอย่างนี้


โดย: PS325 IP: 58.10.204.27 วันที่: 12 กันยายน 2551 เวลา:11:16:48 น.  

 
สวัสดีอีกรอบค่ะ

อ่า..ถ้าเร็วๆ นี้อาจเป็นเซี่ยงไฮ้หรือฮ่องกงค่ะ แต่ก็อีกนานเหมือนกัน

ลองไปอ่านบล็อกเก่าๆ นะคะ จะมีสิงคโปร์ เสินเจิ้น อิตาลี เวียดนามใต้ ลาวใต้ จิ่วไจ้โกว-เสฉวน เกาหลีอะค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 กันยายน 2551 เวลา:17:07:16 น.  

 
สวัสดีอีกรอบของอีกรอบ


ขออภัยที่ทำให้เสียเวลาเวลาไปบล็อกนะคะ แหะๆ

พอดีเป็นคนช่างคุยน่ะค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:19:12:35 น.  

 
อ่านแล้ว ครับ

เป็นหนังสือ ที่ดี มาก ๆ

อ่าน สองสามรอบแล้วครับ



โดย: คนดี33 IP: 118.172.232.78 วันที่: 1 มิถุนายน 2553 เวลา:19:32:51 น.  

 
อ่านตั้งเเต่ม.1จนทุกวันนี้อยู่ม.6แล้ว
ยังประทับใจไม่รู้เลือนเป็นการต่อสู้ที่ทำให้เห็นคุณค่าความเป็นคนจริงๆคะ


โดย: pallp IP: 110.171.36.130 วันที่: 4 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:08:41 น.  

 
อ่านไปแล้ว รู้สึกเหมือนใจจะขาด ตาก็แดงตลอดเวลา 14 คน ไม่รู้ว่าเลี้ยงกันยังไง กินยังไงน่ะค่ะ เจ็บปวดกับชีวิตพวกคุณเหลือเกิน อ่านแล้วรู้สึกหัวใจแตกสลาย ทรมานมากเลยค่ะ ไม่รู้ว่ายังมีแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้อีกน่ะ พวกคุณเป็นบุคคลที่น่ายกย่องมากเลย ดิฉันก็เกิดในครอบครัวที่ยากจนเหมือนกันน่ะ แต่ก็ไม่โหดร้ายแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะมีครอบครัวอยู่กันแบบโหดร้าย สวรรค์ช่างแกล้งกัน แต่พวกคุณก็ทนกันได้ถึงทุกวันนี้ เก็บเอาความทุกข์ยากมาเป็นบทเรียน ผลักดันตนเองให้ต่อสู้เรื่อยมา จนได้ดีถึงทุกวันนี้ ดิฉันขอเป็นอีกคนหนึ่งที่ ขอยกย่องคุณจากใจจริงค่ะ


โดย: น้ำเพชร IP: 118.173.223.178 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2554 เวลา:14:15:53 น.  

 
อ่านแล้วอับ
เป็นหนังสือเล่มเเรกที่ทำให้ร้องไห้
อ่านทั้งการ์ตูนและก้อแบบชีวประวัติเลยอับ
สงสารตอนที่น้องกับแม่หายและอีกเยอะอะบายไม่หมด


โดย: กชกร ฉายวัฒนา IP: 180.183.61.56 วันที่: 10 ธันวาคม 2554 เวลา:14:01:34 น.  

 
You so good .


โดย: Esther IP: 118.172.39.215 วันที่: 4 เมษายน 2555 เวลา:17:38:06 น.  

 
ก็สงสัยนะว่าใครที่เลี้ยงไล่ตงจิ้นมาก็คงเป็นพี่สาว แล้วก็เลยพาลสงสัยอีกว่าใครล่ะที่เลี้ยงพี่สาวของไล่ตงจิ้นจนโตในเมื่อพ่อก็ตาบอดแม่ก็สติไม่สมประกอบจะเลี้ยงเด็กแรกเกิดได้ยังไงให้รอดหรือว่ามีญาติมาช่วยเลี้ยง


โดย: aa IP: 101.108.201.103 วันที่: 14 มีนาคม 2559 เวลา:20:46:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maekapomkha
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




ขอร่วมแบ่งปันเรื่องราวดี ๆ และสาระต่าง ๆ ให้กับเพื่อน ๆ ในช่องทางของสื่อนี้ค่ะ
Friends' blogs
[Add Maekapomkha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.