...หมอ..5 บาท




ได้เมล์มาฉบับหนึ่ง.....อ่านแล้วรู้สึกอยากให้เพื่อนๆได้อ่านบ้าง....

.........เอามาลงให้อ่านกันตรงนี้เนาะ

ไม่นานมานี้ ผมได้ดูรายการจมูกมด ซึ่งเขาสัมภาษณ์ รศ.นพ. สภา ลิมพาณิชย์การ อาจารย์ประจำโรงเรียนเวชนิทัศน์ โรงพยาบาลศิริราช ผู้ซึ่งได้ฉายาว่า "หมอ ๕ บาท" ใครฟังแล้วก็ต้องประทับใจ

คุณหมอท่านให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ใช่คนเรียนเก่ง อยากจะเรียนถ่ายรูป เพราะหลงใหลการถ่ายภาพ แต่คอรบครัวต้องการให้เป็นหมอ ครั้นเมื่อสอบเข้าได้ จึงใช้เวลาในการศึกษานานกว่าเพื่อนๆ โดยจบทีหลังนักเรียนแพทย์ร่วมรุ่น ๒ ปี

ท่านรับราชการมาจนกระทั่งเกษียณ ได้รับบำนาญปัจจุบันเดือนละ ๒๒,๐๐๐ บาท และมีเงินค่าสอนอีกเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท แต่ต่อมาเทางมหาวิทยาลัยขาดแคลนเงิน ก็ขอลดค่าสอนเหลือเดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท แต่ปีงบประมาณใหม่ คือเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้

ท่านก็จะไม่ได้ไปสอนอีกแล้ว เนื่องจากมีปัญหาทางด้านสุขภาพ

เงินจำนวนนี้ต้องถูกตัดไป เหลือเพียงบำนาญล้วนๆ!

เมื่อจบการศึกษาแพทย์ และทำงานได้สักพัก ท่านอาจารย์หมอก็เช่าห้องแถวไม้ ในซอยระนอง ๑ เขตดุสิต ของเพื่อนเปิดเป็นคลินิก โดยขึ้นป้ายว่า "สำนักงานแพทย์" โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๗

นี่ก็เข้าไปเกือบ ๔๐ ปี แล้ว

แม้ท่านอาจารย์หมอจะย่างเข้าวัยชราแล้ว แต่ท่านก็ยังเปิดบริการทางการแพทย์ของท่านอยู่ ที่น่าอัศจรรย์ คือ

ท่านเก็บบริการทางการแพทย์ หรือค่ารักษาครั้งละ ๕ บาท รวมค่ายาด้วย รายใดที่จะต้องใช้ยาดีราคาแพง ก็ไม่เกิน ๗๐ บาท

นั่นหมายความว่า ยาต้องดีและราคาแพงจริง

คุณหมอเล่าว่า เหตุที่คิดราคาได้ถูก เพราะซื้อยาได้ถูก และยาดี เรื่องยานั้นคุณหมอซื้อกับเจ้าประจำมีส่วนลดด้วย เพราะคุณหมอไม่ต้องการให้ผู้ป่วย ไปซื้อยารับประทานเอง

ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ

การตรวจวินิจฉัยที่ละเอียดลออ ของหมอห้าบาทต่างหาก คนไข้ก็หายเป็นปกติทุกราย ส่วนคนที่ไม่หาย เมื่อกลับมาหาท่านอีกครั้ง พอไล่เลียงกันเข้า

อาจารย์หมอสภาก็บอกว่า
จับได้ทุกครั้งว่า กินยาไม่ครบ กินมื้อเว้นสองมื้อ ให้กิน ๔ เวลา กินเสีย ๒ เวลา เลยต้องกำชับให้กินให้ถูกต้อง...แล้วก็หายทุกราย!"

ยิ่งกว่านั้น ถ้าคนไข้ไม่มีเงินจริงๆ แม้แต่ค่ายาคุณหมอก็ไม่คิด หรือหาก มีไม่พอ ก็มีเท่าไร ก็เท่านั้น

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เคยทำข่าวเรื่องของคุณหมอมาเมือ ๒ ปีที่แล้ว เคยสัมภาษณ์คนไข้ของคลินิก ๕ บาทแห่งนี้ ชื่อ คุณป้ามารศรี อายุ ๗๒ ปี เจ้าของร้านทำผมแถวๆ ซอยระนอง ๑ ท่านเป็นคนไข้ที่รักษากับคุณหมอ มานานกว่า ๔๐ ปี เล่าว่า

รักษาตั้งแต่สมัยเพื่อนคุณหมอมาเปิดคลินิก จนถึงคุณหมอสภา มาเช่าคลินิกของเพื่อนต่อ ส่วนใหญ่ก็จะมาด้วยโรคหวัด แต่วันนี้ไม่ได้มาด้วยโรคหวัด แต่ระคายเคืองตา คุณหมอบอกว่าเป็นตาแดง ก็นอกจากคุณป้าแล้ว ลูกสาวและหลานสาว หรือแม้แต่ทหารที่ทำงานอยู่ในบ้านก็มารักษา

"คุณหมอสภารักษาดี คิดถูก แล้วก็หายด้วยนะ บางทีเป็นหวัด ๒๐-๓๐ บาทก็หายแล้ว ลูกชายป้าเป็นหวัดไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล เอกชนยังตั้ง ๑,๔๐๐...ป้ามานี่แค่ ๔๐ บาท บางคนบ้านอยู่ไกลยังมารักษา เพราะรักษากันชิน...เวิ้งนี้ของหมอสภาทั้งนั้น"

ลูกค้าของคุณป้ามารศรี เล่าให้ฟังพร้อมโชว์ยารักษาในถุงให้ดู
ผู้สัมภาษณ์ได้ถามคุณหมอว่า เดือนหนึ่งมีกำไรเท่าไหร่รักษาแบบนี้? คุณหมอบอกว่าไม่เคยคิด บัญชีก็ไม่เคยทำ

คนถามเลยบอกว่า
"อ้าว...ไม่ทำบัญชีแล้วจะรู้ว่าต้นทุนเท่าไหร่ จ่าไปไปเท่าไหร่ ถ้าเดือนไหนเงินไม่พอจ่ายค่ายา ทำอย่างไรครับ? "

คุณหมอบอกว่า "ก็ไปกด (เอทีเอ็ม) เอาเงินบำนาญ ออกมาใช้"
ผู้สัมภาษณ์เกาหัว แล้วบอกว่า "แล้วคุณหมอ จะทำไปทำไม?"
ไม่น่าเชื่อว่า อาจารย์หมอตอบว่า

"เพราะคิดว่า...มันเป็นหน้าที่!"
ฟังแล้วอึ้งไปเลย...ผมเองเดาเอาว่า

คุณหมอท่านคงคิดว่า เมื่อตอนเรียนแพทย์ หลวงท่านก็ดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าเล่าเรียนก็ไม่ค่อยเก็บ เหมือนไปเรียนโรงเรียนเอกชน ที่ค่าเล่าเรียนแพทย์แพงมาก พอจบมีงานทำ เกษียณแล้ว ทางราชการก็มีบำนาญเลี้ยงดู จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ตายไปแล้วคนอยู่ข้างหลัง ก็ได้บำเหน็จตกทอดอีกด้วย
ดังนั้น อะไรพอช่วยเหลือประชาชน พี่น้องเพื่อนร่วมชาติได้ ท่านก็ทำด้วยความเต็มใจ และได้ทำอย่างต่อเนื่องมาเนิ่นนานแล้ว

คุณหมอกระทำโดย ไม่ได้หวังในความร่ำรวย แต่กระทำเพราะถือว่าเป็นหน้าที่แห่งตน ทั้งๆที่หลวงท่านก็ให้หยุดพักผ่อนนานแล้ว
แต่คุณหมอท่านไม่ยอม เพราะสงสารพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ

คนคิดอย่างอาจารย์หมอสภาฯมีอยู่ ผมเคยเห็น...แต่น้อย น้อยเอามากๆ

อาจารย์หมอไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยประกาศยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้กล้า วีรบุรุษที่เสียสละให้ชาติบ้านเมือง ไม่เคยทวงบุญคุณไป

ดูคุณหมอแล้ว...น้ำตาซึม
ภาวนาให้คนไทยคิดเหมือนคุณหมอมีจำนวนมากขึ้น...และมากขึ้น
บ้านเมืองเรา จะได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างอบอุ่น ด้วยความเมตตามากกว่านี้

ร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ นักรบในหนังเรื่อง Saving Private Ryan ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว เพราะตายในที่รบ ไม่ได้กลับไปทำหน้าที่ เป็นครูตามที่ได้ดังใจไว้

แต่นักรบอย่าง อาจารย์หมอสภาฯ ที่ชาวบ้านเรียกขานว่า "หมอ ๕ บาท" นั้น ภารกิจท่านยังไม่สิ้น

ทุกวันตอนเย็น คุณหมอพาร่างสูงวัยของท่าน ค่อยๆเดินอย่างช้าๆ เพื่อมาเปิดคลินิกเล็กในซอยระนองของท่าน

ซึ่งเป็น 'สนามรบ' ส่วนตัวของ "ไฟว์บาท-ด๊อกเตอร์" (ฝรั่งเรียกอย่างนั้น)

ท่านต้องลงประจำโต๊ะตรวจ ซึ่งเปรียบเสมือน 'หลุมบุคคลนอนยิง' ที่มั่นในสมรภูมิแห่งนี้ คว้าอาวุธประจำกายคือ สเททโทสโคปหรือหูฟังขึ้นคล้องคอ และเครื่องมือที่จำเป็น พร้อมลั่นกระสุน ยิงสู้รบประจัญบาน ต่อต้านเจ้าโรคภัยไข้เจ็บ อันเป็นศัตรูตัวร้ายของพี่น้องประชาชน ต่อไปอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง โดยไม่ได้หวังเหรียญตรา หรือเกียรติยศใด แต่เพียงเพราะเป็นหน้าที่ของชายชาญทหารไทย

ถ้านำชีวิตของท่านอาจารย์หมอ มาสร้างเป็นหนัง ผมต้องคิดคำโฆษณา หรือพากย์ประกอบเรื่องได้ง่ายๆ เช่น

'หมอห้าบาท'..เมตตาไม่มีขาด
นักรบแค่ห้าบาท แต่หัวใจ...หลายพันล้าน!
ขุนศึกห้าบาท ทระนงองอาจ ต่อสู้กับโรคร้าย...สมชายชาตรีนัก!...ฯลฯ

กราบเรียน ท่านอาจารย์หมอสภา ที่เคารพ

โปรดได้รับ ความคารวะอย่างสูง จากใจของผู้เขียนด้วย!!

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


..............



from //www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9500000140507





Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 20:35:34 น.
Counter : 946 Pageviews.

15 comments
  
เคยได้ชมประวัติของคุณหมอทางทีวี
เห็นแล้วก็เกิดศรัทธาในตัวท่านจริงๆ นะคะ

จะมีสักกี่คนที่เสียสละได้อย่างท่าน(ไม่ต้องทั้งหมด แค่เสี้ยวนึงก็ยังดี)

ขอให้คุณหมอมีความสุขมากๆ นะคะ

ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันค่ะ
โดย: ~Baan_Ohana~ วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:57:50 น.
  
แวะมาทักทายคะ
เควเห็นเรื่องของคุณหมอท่านนี้ในทีวีเหมือนกันคะ
ท่านน่านับถทอจริงๆ คะ
ช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังความร่ำรวย
และทำอย่างเต็มใจ
โดย: weraj วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:10:29:44 น.
  
เที่ยงกว่าแล้ว หม่ำข้าวยังคะ
โดย: ~Baan_Ohana~ วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:12:56:44 น.
  
สุดยอดน่ะ
เคยชมทางทีวีเช่นกัน
คนดีศรีสังคมอย่างนี้ควรประกาศเกียรติคุณให้โลกรู้
คารวะหมอด้วยคน
โดย: พราน (ตาพรานบุญ ) วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:13:11:52 น.
  

อยากได้ผู้แทนที่มีคุณลักษณะอย่างนี่ค่ะ จะหาได้สักคนไหมที่จะเสียสละต่อผู้อื่นได้

ทานข้าวหรือยังคะ
โดย: แซนด์ซี วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:13:35:32 น.
  
อ่านแล้วประทับใจจริงๆค่ะ
กับสังคมที่ตัวใครตัวมันอย่างทุกวันนี้ หาคนดีๆมีน้ำใจแบบนี้ได้ยากเหลือเกิน
ถ้าสังคมของเรามีคนแบบนี้เยอะๆ บ้านเมืองคงจะดีกว่านี้
คนแบบนี้น่ายกย่องน่าสรรเสริญค่ะ
โดย: เราสองคน (ฝากเธอ ) วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:14:47:59 น.
  
อ่านเรื่องนี้แล้วประทับมากๆคะ จะมีซักกี่คนที่ทำได้เช่นนี้
ขอยกย่องคุณงามความดีนี้ด้วยคนคะ
โดย: ความทรงจำดีๆในชีวิต วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:19:45:36 น.
  
อ่านแล้วอยากให้ทุก คน ทำได้แบบ คุณหมอ จัง
โดย: แมท (everything on ) วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:20:10:24 น.
  
ขอร่วมคารวะในน้ำใจและความรู้สึกสำนึกในหน้าที่ของหมอ
ด้วยคนค่ะ แม้ว่าจะอายุมาก ร่างกายย่อมต้องการการพักผ่อน
แต่ท่านก็ยังยืนยันที่จะทำงานนี้เพื่อพี่น้องประชาชน
โดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทน ไม่ว่าเป็นเหรียญ เข็ม
หรืออะไรก็ตามแต่
อ่านแล้วรู้สึกดีใจค่ะ ที่มีโอกาสได้รู้ว่า คนแบบนี้ยังมีในโลก
แม้อาจน้อยคน แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย

อย่าถามว่าประเทศชาติให้อะไรแก่ท่านบ้าง
แต่จงถามว่า ท่านให้อะไรแก่ประเทศชาติบ้าง

มีความสุขมาก ๆ นะคะ
โดย: บัวริมบึง วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:22:47:53 น.
  
ขอชื่นชมยกย่องในน้ำใจและความดีงามที่ท่านได้เพียรทำมาเป็นเวลานานค่ะ

เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนดีในสังคมเนอะ

สุขสันต์วันพักผ่อนนะคะ
โดย: D*U*A*N (thisisduan ) วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:12:53:27 น.
  


เคยทราบเรื่องราวของท่านมาบางแล้วค่ะ แต่มาอ่านซ้ำอีกครั้ง ก็ยังซาบซึ้งและรู้สึกเคารพท่านมากๆ จะหาคนดีอย่างนี้ได้อีกที่ไหน หากมี เราควรประชาสัมพันธ์นะคะ เพราะท่านเหล่านี้ คงไม่ลูกขึ้นมาประชาสัมพันธ์ตัวเองหรอกค่ะ เพราะท่านทำทุกสิ่งด้วยใจ

คุณ gripenator สบายดีนะคะ ขอบคุณที่ไปเยี่ยมที่บล็อกค่ะ สุขัสนต์วันอาทิตย์ค่ะ

โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:19:58:20 น.
  
สวัสดีพี่...
แวะมาส่งข่าวว่า ไปช่วยเช็นรับแท็ก ทำดีเพื่อพ่อ ด้วยนะคะ..

ฝันดีนะคะ
โดย: ดอกหญ้าเมืองเลย วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:3:58:06 น.
  
เคยดูเรื่องของหมอ 5 บาท ทางทีวีเหมือนกัน
หนูว่าคุณหมอดีมากเลยน่ะค่ะพี่รุ่ง
ที่เสียสละเวลาและเงินทองส่วนตัว
เพื่อมาแบ่งปันในด้านการรักษาให้กับคนไข้
มีตั้งแต่เด็กเล็กไปถึงคนแก่เฒ่าอีกด้วย
แล้วยังคิดค่ารักษาแค่ 5 บาท .. นับว่าเป็นหมอ
ที่ประเสริฐจริง ๆ เลยล่ะ


ป.ล.คอมซ่อมไม่ได้ แย่เลย ตอนนี้กำลังกระเบียดกระเสียนเงินไปซื้อจอคอมอันใหม่ เดือนนี้ทั้งเดือนนู๋จะกินอะไรดีเนี่ย
โดย: ดอยปุย วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:12:58:29 น.
  
ทึ่ง
โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:3:52:59 น.
  
ชอบเรื่องนี้มาก อ่านแล้วน้ำตาซึม กลับไปเรียนหมอได้จะไปเรียน
โดย: คนขับช้า วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:4:21:41 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

gripenator
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




: Users Online

hawaiihawaii
ยินดียิ่งแล้ว แขกแก้วมาเยือน ต้อนรับพ้องเพื่อน ทั่วทุกๆคน
hawaiihawaii
พฤศจิกายน 2550

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
30 พฤศจิกายน 2550
All Blog
Friends Blog
[Add gripenator's blog to your weblog]