เรารักพระเจ้าอยู่หัว
ตั้งแต่จำความได้ ข้าพเจ้าได้ยินคำว่าในหลวง มาตลอด จนเมื่อรู้หนังสือก็ได้รู้จักคำว่า พระเจ้าอยู่หัว เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคำเพราะแม่สอนให้ท่องจำพระนามพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ถึงรัชกาลที่ ๙ กระทั่งจำขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ และพระเจ้าอยู่หัวที่เด็กไทยส่วนใหญ่จดจำพระราชประวัติได้มากที่สุดรวมทั้งยังสามารถวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ได้ใกล้เคียงที่สุดคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ซึ่งนับเป็นโชคดีของเด็กไทยในยุคสมัยเดียวกับข้าพเจ้าที่ได้มีโอกาสชมพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัวจากข่าวในพระราชสำนักทางสถานีโทรทัศน์แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายทุกช่องในประเทศไทยเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. ของทุกวัน เนื่องจากข่าวในพระราชสำนักกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพ.ศ. ๒๕๒๐ ทำให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้โดยทั่วกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาว่าพระองค์ทรงงานนานัปการอันเป็นประโยชน์อเนกอนันต์แก่แผ่นดินไทยและทรงงานเพื่อราษฎรโดยไม่มีวันหยุด ในอดีตข้าพเจ้าเข้าใจผิดว่าประเทศอื่นๆที่มีสถาบันกษัตริย์เหมือนประเทศไทยคงจะมีกษัตริย์ที่ทรงงานเช่นนี้จวบจนมีความรู้มากขึ้นถึงทราบว่าไม่มีกษัตริย์ใดในโลกยกเว้นประเทศไทยที่ทรงงานหนักและเข้าถึงราษฎรได้เฉกเช่นเดียวกับพระเจ้าอยู่หัวอีกแล้วดังนั้นทุกครั้งที่ข้าพเจ้าชมข่าวในพระสำนักจึงตระหนักอยู่เสมอว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อชาวไทยอย่างหาที่เปรียบมิได้ กระทั่งเวลาล่วงไปพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษามากขึ้น พระราชกรณียกิจที่ปรากฏในข่าวในพระราชสำนักจึงลดน้อยลงแต่น้ำพระราชหฤทัยและความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์มิได้ลดลงแม้แต่น้อย เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้นในประเทศไทยจะถึงพระเนตรพระกรรณทุกครั้งเช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ถุงยังชีพพระราชทานจะไปถึงมือราษฎรเป็นลำดับต้นๆ เสมอ ซึ่งหลายครอบครัวที่ได้รับถุงยังชีพพระราชทานดังกล่าวจะเก็บไว้บูชาบนหิ้งเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ครอบครัว อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังทรงสละเวลาเพื่อพระราชทานพระบรมราโชวาทแด่พสกนิกรเนื่องในวันสำคัญต่างๆด้วย อาทิ วันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม พิธีพระราชทานกระบี่พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ฯลฯ ซึ่งครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เป็นหนึ่งในผู้ที่สดับตรับฟังพระบรมราโชวาทจากพิธีพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ แม้เวลาผ่านไปนับสิบปีแต่ภาพความทรงจำในวันนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่เสมอ ขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา๗๐ พรรษาแล้ว แต่พระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวธรรมศาสตร์ที่ยังคงเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตนับพันคนทันทีที่พระองค์ปรากฏพระวรกาย และเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น ข้าพเจ้าตัวเย็นวาบไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นพระองค์จริงอยู่ตรงหน้าเพื่อนบัณฑิตที่ยืนเคียงกันเอื้อมมาจับมือข้าพเจ้า มือของเราทั้งคู่เย็บเฉียบ แล้วหันมายิ้มให้กันด้วยอิ่มเอิบในหัวใจพร้อมเปล่งเสียงร้องเพลงดังกล่าวอย่างภาคภูมิทั้งน้ำตา แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆไม่กี่วินาทีที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระเจ้าอยู่หัว แต่นับเป็นช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของใครหลายคนรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย จากความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นในคราวนั้นทำให้ข้าพเจ้าเชื่อคำกล่าวอย่างสามัญที่ว่า พ่อมองเห็นเราเสมอ เพราะแม้แต่ละอองธุลีเล็กๆ อย่างข้าพเจ้า ก็ยังอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ และข้าพเจ้ายังเชื่ออีกว่าคนไทยทุกคนซึ่งเกิดในยุคสมัยที่ได้รับรู้ถึงพระราชกรณียกิจพระราชดำริ พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัวมาตลอดชีวิต พวกเขาจะจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และพูดเป็นเสียงเดียวกันกับข้าพเจ้าว่า "เรารักพระเจ้าอยู่หัว". ------------------------------------------------ เรียงความนี้เขียนเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2555 โดยได้ส่งประกวดในโครงการหนึ่ง แม้ว่าเรียงความเรื่องนี้จะเข้ารอบ แต่โครงการดังกล่าวได้ยุติการประกาศลงโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เราก็ยังคงเก็บไว้เป็นบันทึกความทรงจำและนำมาร่วมแบ่งปัน ณ ทีนี้
Create Date : 21 ตุลาคม 2559 |
|
0 comments |
Last Update : 21 ตุลาคม 2559 16:26:43 น. |
Counter : 2066 Pageviews. |
|
|