I AM SOMEONE
<<
สิงหาคม 2555
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
15 สิงหาคม 2555

ได้สักครึ่ง...ก็พึงใจ

จริงๆ แล้วปีนี้ตั้งใจว่าจะไปเซอร์ไพร้ส์แม่ถึงที่บ้าน แต่เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย ก็เลยไม่ได้เจอะเจอกัน แต่ไม่เป็นไร วันไหนๆ ก็เป็นวันแม่ได้เสมอ

เรากับแม่ไม่ได้คุยกันทุกวัน จนแม่เองก็คงชินกับลูกคนนี้แล้วล่ะมั้งที่ไม่ค่อยโทรหา เพราะแม่เองก็ไม่ได้ชอบให้ลูกโทรตามตลอด และส่วนใหญ่แม่ก็จะเป็นคนโทรเราอีกต่างหาก โทรมาเม้าท์บ้าง โทรมาเสนอนู่นเสนอนี่บ้าง โทรมาด่าบ้าง โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบบ้าง ถ้าวันไหนเราบอกว่า “ไม่ค่อยสบาย” แม่จะร้อนรนทุกที และร่วมเป็นโรคเดียวกับเราเสมอๆ เพื่อที่จะหาทางช่วยรักษาอาการของเรา

นี่ยังไม่รวมอื่นๆ อีกมากมายที่แม่ทำให้เรานะ สมัยก่อนบ้านเราไม่ใช่บ้านคนที่มีฐานะดี ออกไปทางค่อนข้างจนด้วยซ้ำ มีหนี้สินตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อแม่เงินเดือนน้อย ต้องผ่อนบ้านหลังเล็กๆ (กว่าจะผ่อนหมด เงินที่ผ่อนสามารถซื้อบ้านแบบนั้นได้เพิ่มอีกหลัง) จนแม่เคยเล่าย้อนหลังให้ฟังแบบขำๆ ว่า “แทบจะนุ่งผ้าถุงไปทำงาน” ครอบครัวเราไม่เคยใช้รถใหม่ ใช้แต่มือสอง มือสาม มือสี่ตลอด กว่าจะได้ใช้รถมือหนึ่งก็ตอนที่พี่สาวคนกลางทำงานแล้ว แต่แม่ก็ไม่เคยเลี้ยงลูกให้ต่ำต้อยติดดิน โดยเฉพาะเรื่องเรียน แม่ทุ่มสุดตัว อะไรที่เกี่ยวกับการเรียน แม่ให้หมด อาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆ เราและพี่ๆ เรียนอยู่ในเกณฑ์ดี โชคดีของแม่ที่เราไม่เคยโกหกเรื่องเรียนด้วย และโชคดีที่พ่อแม่เป็นข้าราชการจึงได้สวัสดิการเรื่องค่าเทอมของลูกๆ สมัยนั้นค่าเทอมถูก ไม่เหมือนปัจจุบัน

ณ เวลานั้น บอกตรงๆ เราไม่ค่อยรู้สึกว่าที่บ้านจนนะ เพราะเพื่อนๆ ก็ดูเหมือนๆ กันจึงไม่เห็นความแตกต่าง คนต่างจังหวัดที่มีเงินหน่อยก็ไม่ได้เลิศหรูจนเวอร์ ทุกคนคบกันได้ไม่ว่าจนหรือรวย

พอเราเข้ามหาวิทยาลัย ข้าราชการเบิกไม่ได้แล้ว แม่ต้องจ่ายเต็มๆ โชคดีที่พี่คนโตทำงานแล้ว พี่คนกลางจบสามปีครึ่ง ส่วนเราดันเรียนสองมหาวิทยาลัยอีก (จะขยันไปไหน?) ช่วงนั้นเราใช้เงินเยอะมาก ทั้งค่าหอ (ชอบอยู่คนเดียวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะเลยไม่ได้หารกับใคร) ค่าเทอม (ไม่แพงเพราะเป็นม.ของรัฐ) ค่ากินอยู่ ค่าเพจเจอร์ ค่าเรียนภาษาอังกฤษ (เรียนหลายคอร์ส แต่ไม่ได้ผลสักคอร์ส) ค่าเครื่องพิมพ์ดีด (สมัยนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว) แต่เราเก็บเงินเก่ง ก็เอาเงินที่แม่ให้นั่นแหละมาเก็บ ตอนนั้นไม่บ้าช้อปปิ้งสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าผู้หญิงจำเป็นต้องแต่งตัว ก็เลยไม่ค่อยซื้ออะไรใหม่ หรือไม่ก็ใส่เสื้อมือสอง รองเท้าก็มีคู่สองคู่ คือรองเท้าใส่ไปสอบ กับรองเท้าฟองน้ำใส่ไปเรียน (สมัยนั้นแต่งชุดลำลองไปเรียนได้---แต่เราอาจจะลำลองมากไป)

จนเรียนจบ ทำงานได้หนึ่งปี ตอนนั้นมีเงินเดือนเป็นของตัวเองแต่เงินเดือนน้อยมาก แล้วก็ลาออกมาเรียนตอนโท ใช้เงินแม่อีกครั้ง เราทรมานกับการเรียนมาก นึกโทษตัวเองไม่น่ามาเรียนให้เป็นภาระเลย ทั้งเปลืองเงินและเปลืองเวลา ทั้งเสียน้ำตาด้วย จนเกือบเรียนไม่จบ เพราะอยากลาออก โทรเล่าให้แม่ฟังตลอดว่าเป็นทุกข์ แม่บอกว่าให้อดทนอีกเทอม ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยลาออก เรากลั้นใจสุดท้ายก็จบ

พอได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราวนี่แหละถึงรู้ว่า เมื่อก่อนที่บ้านเราจน ฮ่าๆๆ แต่เมื่อเราได้ทำงานแล้ว ฐานะที่บ้านก็ดีขึ้น หนี้ค่อยๆ ลดลงจนหมด พ่อแม่เออลี่รีไทร์จากงานหมดแล้ว แม้เงินเดือนพ่อแม่จะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่มีรายได้จากให้คนเช่าบ้าน มีชีวิตแบบพอเพียง เลี้ยงหลานแก้เบื่อ พอหลานโตก็ส่งกลับไปอยู่กับพี่สาวตามเดิม ก็เบื่ออีก ทั้งสองจึงเลยหาเรื่องเที่ยว

พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันสองคนตายาย ทะเลาะกันบ้างตามประสาคนอยู่ด้วยกันนานๆ แต่ก็ยังรักกันดี จนวันหนึ่ง “พ่อ” จากพวกเราไปไม่มีวันกลับอย่างกะทันหัน เราสงสารแม่มาก แม่เหงา แต่แม่เข้มแข็งมาก ไม่ร้องไห้ให้เราเห็น แต่จะร้องไห้เมื่ออยู่คนเดียว แม่บอกว่า “ลูกอยู่คนเดียวจนชิน แต่แม่ไม่เคยอยู่คนเดียว” เราฟังแล้วน้ำตาหยดติ๋งๆ

หลังจากตอนนั้นทำให้เราอยากกลับไปอยู่บ้านมาก รู้สึกอยากไปอยู่กับแม่ แม้ว่าทุกวันนี้แม่จะอยู่คนเดียวได้แล้วก็ตาม แต่เราไม่เคยมีโอกาสดูแลแม่เลย อยู่กรุงเทพฯ มาสิบกว่าปี อยู่มหาสารคามอีกห้าปี ช่วงเวลายี่สิบปีไม่ได้อยู่กับแม่หรือทำอะไรให้แม่เลย แม่แก่ลงทุกวัน แต่แม่ไม่แสดงอะไรที่ทำให้ลูกๆ ต้องเป็นห่วง เพราะแม่เป็นคนขี้เกรงใจ พยายามดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง แม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากที่สุด

แต่จนบัดนี้ แม่ยังไม่เคยเรียกร้องให้เรากลับไปอยู่กับแม่เลยสักครั้ง แม่มองแต่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร แม่เคยบอกกับพี่เราว่า “อย่าทิ้งน้อง” เพราะแม่รู้ว่าเราไม่เหมือนคนอื่น เราไม่มีครอบครัว เราคงต้องอยู่คนเดียวไปจนตาย ทุกวันนี้แม่ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของใคร แต่กลายเป็นว่า เรายังคงเป็นภาระของความห่วงใยของแม่เหมือนเดิม

ตั้งแต่เรารู้จักกับแม่สามสิบกว่าปี แม่มีเรื่องราวมากมายให้เขียนถึงไม่มีวันหมด แต่เราจำเรื่องของแม่ได้ ไม่เท่ากับแม่จำเรื่องของเรา คำสอนของแม่หลายๆ ครั้ง อาจจะดูเหมือนไม่ใช่คำสอน แต่เป็นคำเตือนสติหรือข้อคิดที่ดีและเป็นสัจจธรรม ทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง หรือปรับทัศนคติบางอย่างในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าแม่จะไม่ได้เป็นแบบอย่างในทุกๆ เรื่อง แต่ชีวิตของแม่ก็เป็นบทเรียนให้แก่เราได้เป็นอย่างดี

ถ้าเราเข้มแข็งได้อย่างแม่สักครึ่งหนึ่งก็พึงใจแล้ว


Create Date : 15 สิงหาคม 2555
Last Update : 19 สิงหาคม 2555 16:47:08 น. 0 comments
Counter : 2321 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Alex on the rock
Location :
มหาสารคาม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




Blog นี้เป็นพื้นที่ส่วนตัว เป็นความเห็นส่วนตัว ผู้อ่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อเขียนใน Blog กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยความสุภาพและเคารพสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญของเจ้าของ Blog ด้วย หากผู้อ่านที่แสดงความคิดเห็นไม่อาจจะปฏิบัติตามนี้ได้ เจ้าของ Blog สามารถลบความคิดเห็นของท่านโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ
[Add Alex on the rock's blog to your web]